28 ต.ค. 2020 เวลา 08:44 • การศึกษา
เพราะการเลือกวิธีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมีสิ่งอื่นที่น่าคิดมากกว่าคำว่า ราคาถูก!
วันนี้ดาวจึงสรุปสิ่งที่เราควรพิจารณาเมื่อจะต้องเลือกวิธีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศค่ะ
1.จำนวนวันที่ใช้ในการขนส่ง (เดินทาง) หรือที่ศัพท์ในวงการเราจะเรียกว่า Transit time
คือนับจากวันที่ยานพาหนะออกจากท่าหรือที่ต้นทาง ไปจนถึงสถานที่ปลายทางนั้นเอง ข้อนี้เราควรระวัง เพราะยิ่งระยะทางไกลยิ่งต้องใช้เวลาในการขนส่งสินค้าเพื่อไปให้ถึงปลายทางนานขึ้น หรือในกรณีที่ระยะทางเท่ากันแต่สินค้าที่ขนส่งนั้นเป็นคนละชนิดกัน ก็อาจทำให้ใช้เวลาในการขนส่งที่แตกต่างกัน ธุรกิจที่มีระบบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องจำเป็นต้องพิจารณา วิธีการการขนส่งและเวลาที่ใช้ในการขนส่ง ซึ่งระยะเวลาที่ใช้ในการขนส่งสินค้ามักจะแปรผกผันกับค่าใช้จ่าย แต่ถ้าช้าเกินไปก็อาจจะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าเดิมนะคะ
2.ความเร่งด่วนในการใช้สินค้า
ในกรณีที่ลูกค้าปลายทางต้องการสินค้าด่วนมาก เพื่อทำโปรโมชั่น เพื่อการผลิตหรือมีความต้องการจาก End User ที่เกินความคาดหมาย จนทำให้เกิดคำสั่งซื้อจำนวนมาก ความต้องการที่เร่งด่วนทำให้การขนส่งที่รวดเร็วเป็นทางเลือกและราคาค่าขนส่งก็แพงมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การเลือกวิธีการขนส่งที่รวดเร็วก็อาจจะต้องเป็น บรรทุกโดยเครื่องบิน รถบรรทุก หรือเรือตรง (Direct Vessel) ไม่มีการ transhipment (การถ่ายลำ) เป็นต้น
3. ต้นทุนในการขนส่ง
การบริหารต้นทุนการขนส่งไม่จำเป็นต้องต่ำที่สุดแต่ต้องมีประสิทธิภาพที่สุด ต้องพิจารณาคู่กับการบริการ service ที่เราจะได้รับกลับมาจากผู้รับจัดการขนส่งด้วยเช่นกัน ตามที่ทราบว่า การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การติดตามสถานะการขนส่งและการเคลียร์สิ่งที่คาดว่าจะทำให้สินค้าถึงปลายทางช้าลงจะต้องถูกจัดการ แต่โดยส่วนตัวของดาวแล้ว ดาวก็จะให้น้ำหนักของราคามาเป็นอันดับต้นๆเลยค่ะ คู่กับความพึงพอใจในการบริการด้วย
4.ชนิดของสินค้า
สินค้าของเราคืออะไร ต้องบรรจุแบบใด ต้องมีอะไรพิเศษที่ใช้ระหว่างการขนส่งหรือไม่ สินค้าธรรมดาๆ ใช้กันทั่วไปเราก็สามารถบรรทุกด้วยวิธีการใดก็ได้ขึ้นอยู่กับต้นทุนและความต้องการ แต่ถ้ามีข้อจำกัดในการนำเข้าหรือส่งออกอยู่ด้วย เช่น สินค้าของเหลว วัตถุอันตราย สินค้าควบคุมอุณหภูมิ สินค้าของสด หรือลักษณะพิเศษอื่นๆ เราจะต้องดูเรื่องข้อจำกัดของการข้ามพรมแดนหรือความปลอดภัยระหว่างการขนส่งควบคู่ด้วยเช่นกัน
5. ขนาดของสินค้า
ให้หมายรวมถึงการใช้ภาชนะบรรจุ (บรรจุภัณฑ์) ซึ่งจะมีข้อจำกัดเรื่องขนาดแตกต่างกันออกไป ถ้าสินค้ามีขนาดใหญ่มากก็อาจไม่สามารถบรรจุในตู้สำหรับเก็บสินค้าของรถได้ อาจจะต้องเปลี่ยนภาชนะที่ใช้บรรจุสินค้าที่เป็น Flat Rack Container ซึ่งมีคุณสมบัติที่ยืนหยุ่นมากกว่าและสามารถรองรับสินค้าที่มีขนาดใหญ่ได้ จึงอาจจะเหมาะสมมากกว่า ดังนั้นการจะขนส่งสินค้าแต่ละชนิด ก็ควรจะรู้ถึงขนาดของสินค้านั้นๆด้วย
6. น้ำหนักของสินค้ารวมกับวัตถุดิบหีบห่อ
น้ำหนักรวมของสินค้าหรือ Gross Weight คือน้ำหนักที่ชั่งจริงรวมสิ่งที่ห่อหุ้มทั้งหมดของสินค้า ซึ่งจะนำไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทที่รับขนส่งสินค้าและน้ำหนักของสินค้า มีผลต่อการเคลื่อนย้ายสินค้าด้วยเช่นกัน ซึ่งหากไม่สามารถใช้คนยกได้ อาจทำให้มีค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้เครื่องจักรจัดการในส่วนนี้เพิ่มเข้ามา ทำให้เสียค่าใช้จ่ายไปกับส่วนนี้โดยไม่จำเป็นก็เป็นได้ ดังนั้นหากสามารถลดน้ำหนักของวัสดุหีบห่อ หรือน้ำหนักรวมหีบห่อต่อชิ้นลงได้ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งลดลง พูดง่ายๆก็คือ แพ้คเท่าที่จำเป็นไม่ให้สินค้าเสียหายค่ะ
7. ต้นทางและปลายทาง
ปลายทางการขนส่งสินค้าในแต่ละประเทศ มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่ เราในฐานะผู้นำเข้า-ส่งออก จะต้องสอบถามจากผู้รับจัดการขนส่งสินค้าเพื่อประกอบการตัดสินใจ เพราะเราจะเจอเคสที่ปลายทางของสินค้าไม่ได้จบที่ท่าเรือ สินค้าจะต้องขนต่อไป in land เข้าไปด้วยรถไฟหรือรถบรรทุกขึ้นอยู่กับพื้นที่ในประเทศนั้นๆ ซึ่งเราจะต้องบวกเวลาการขนส่งเพิ่มเข้าไป หรือการส่งต่อนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสินค้าเราหรือไม่เพราะถ้าเราไม่รู้เรื่องนี้เราอาจจะไม่ได้คิดเรื่องบรรจุภัณฑ์ของสินค้ามาตั้งแต่ต้นก็ได้
โฆษณา