31 ต.ค. 2020 เวลา 04:35 • ธุรกิจ
วันนี้ 30 ตุลาคม 2563 เป็นวันสุดท้ายของการทำงานประจำของผม และถือเป็นการเดินทางครั้งใหม่ ในรอบ 1 ปี กับหนึ่งในอีกเส้นทางที่ท้าทายที่สุดในชีวิต
1
และนี่คือ บทสรุป ตลอดเส้นทางการทำงานประจำของผม ว่า 1 ปีกว่าที่ผมได้ทำงานประจำ มันได้สอนอะไรผมบ้าง แล้วผมสามารถนำไปต่อยอดในการทำธุรกิจได้อย่างไร
- เป้าหมายในการเข้ามาทำงานประจำของผมตั้งแต่วันแรก ผมไม่ได้เข้ามาเพื่อทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ แต่เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของตัวเอง นั่นคือ “การเป็นเจ้าของธุรกิจ”
- จึงทำให้ผมเลือกเข้ามาทำงานใน บริษัท สตาร์ท อัพ สัญชาติไทยแห่งหนึ่ง เพราะชื่นชอบในตัวของซีอีโอ ที่มีบุคลิกของความเป็นเจ้าของธุรกิจ คือ มีแพชชั่น มีวิสัยทัศน์ มีความเชื่อ และมีเป้าหมาย
1
- โดยผมกับซีอีโอท่านนี้เราเจอกันในวันที่ผมแข่งขัน แผนธุรกิจสตาร์ท อัพ ตอนผมยังเรียนอยู่ปี 4 แล้วพี่เขามาเป็นกรรมการ เราจึงได้พูดคุยกัน จนผมได้มาทำงานในบริษัทของพี่เขา
1
- ถ้าเราอยากเป็นคนแบบไหน ก็จงเอาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางคนแบบนั้น ผมจึงตัดสินใจมาทำงานที่บริษัทแห่งนี้
2
- บริษัทแห่งนี้เป็นที่ทำงานแรกตั้งแต่ผมเรียนจบ โดยตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ผมทำงานได้ 1 ปี 3 เดือน พอดิบพอดี ถ้าไม่รวมระยะเวลาที่ผมเข้าไปเป็นเด็กฝึกงานขณะยังเรียนอยู่อีก 4 เดือน
1
- โดยบริษัทนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2558 ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และด้วยความที่ผมเข้าไปตั้งแต่บริษัทก่อตั้งได้ 3 ปี มีพนักงาน 10 กว่าคน เรียกได้ว่าเป็นบริษัทขนาดเล็ก มีความคล่องตัว และ ยืดหยุ่นในการทำงานสูง
1
- นั่นจึงทำให้ผมสามารถเรียนรู้การทำงานทุกอย่างในบริษัทได้ง่ายมากๆ ตั้งแต่ ฝ่ายขายปิดการขายลูกค้าแบบไหน การตลาดวางกลยุทธ์โน้มน้าวลูกค้าอย่างไร บัญชีใช้วิธีการแบบไหนในการเก็บเงินลูกค้า ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (ซึ่งเป็นตำแหน่งของผม) เวลาจะทำโปรเจคมีขั้นตอนการทำงานอย่างไร ไปจนถึงวันๆ ซีอีโอเขาทำงานอะไรบ้าง เวลาดีลธุรกิจเตรียมตัวอย่างไร ต่อรองธุรกิจอย่างไร ถ้าแผนที่เตรียมไว้ไม่สำเร็จ จะใช้แผนสำรองอย่างไร แล้วเวลาอยู่บนโต๊ะเจรจาเขามีวิธีพลิกแพลงอย่างไรบ้าง
1
- ตั้งแต่วันที่เริ่มทำงาน ผมได้ทำธุรกิจไปด้วย 2 อย่าง คือ โรงเรียนสอนเทควันโดที่จังหวัดยะลา และ ทำเพจสมองไหล โดย โรงเรียนสอนเทควันโดผมได้จ้างครูมาสอนแทน ในขณะที่ เพจสมองไหล ตอนนั้นยังไม่มีรายได้
- ซึ่งทุกครั้งที่ผมเจอเรื่องใหม่ และ มีธีการทำงานใหม่ๆ ในการทำงานประจำ ผมจะนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ทำให้ธุรกิจของผมเริ่มมี “ระบบ” มากขึ้น ทั้งการบริหาร การจัดการ และ การเงิน
- จนถึงช่วงเดือนเมษายน ไวรัส COVID-19 ระบาดหนัก จึงทำให้บริษัทต้องประกาศ Work from home ซึ่งทำให้ผมมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น และ ทำให้ผมสามารถคิดไอเดียธุรกิจใหม่ๆ ได้
- อย่างที่รู้กันว่า COVID-19 ทำให้คนใช้เวลาอยู่กับโลกออนไลน์มากขึ้น จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เพจสมองไหลเติบโดอย่างก้าวกระโดด จากผู้ติดตาม 3,000 คน เป็น 1 แสนคนภายในเวลา 3 เดือน และ ทะลุ 2 แสนคนในปัจจุบัน รวมระยะเวลาที่เพจโตแบบก้าวกระโดดประมาณ 7 เดือนพอดี
- ขณะที่ผมครุ่นคิดว่าจะทำธุรกิจอะไรต่อดี ซึ่งผมได้ประมาณ​ 2-3 ไอเดีย แต่เมื่อทดลองทำไปแล้วก็ดูท่าจะไปไม่รอด
- จนวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนอนคิดวนไปวนมาก่อนนอน ผมก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่า “หรือเราจะขายหนังสือดี แล้วถ้าขายหนังสือจะทำให้แตกต่างยังไง ซึ่งเราก็อ่านมาเยอะนะ เราน่าจะลองแนะนำหนังสือให้กับคนที่อยากอ่านได้ มันน่าจะมีแหละ คนที่อยากอ่านหนังสือ แต่ไม่รู้จะอ่านเล่มไหน หรือ คนที่มีปัญหาอะไรบางอย่าง เราก็แนะนำหนังสือที่ช่วยแก้ปัญหานั้นให้กับเขา”
1
- แต่ปัญหา คือ หนังสือเป็นสินค้าที่จะขึ้นราคาขายไม่ได้ เพราะมันมีราคาติดอยู่บนปก ไม่เหมือนสินค้าอื่นที่ซื้อมาแล้วบวกกำไรได้
- ในจังหวะนั้นเองผมก็คิดถึงวิธีการทำงานของบริษัทที่ทำงานอยู่ คือ บริษัทที่ผมทำอยู่เป็นเว็บไซด์ตัวกลางจองขนส่งออนไลน์
1
- ถ้าเขาอยากได้ราคาต้นทุนจากบริษัทขนส่งถูกๆ ก็จะต้องพยายามทำยอดขายให้ได้มากๆ ซึ่งแรกๆ อาจจะไม่เอากำไร แต่พอมียอดขายจำนวนมาก ก็เอาจำนวนนี้แหละไปต่อรองขอส่วนลด ผมจึงคิดว่า เราก็น่าจะเอามาใช้กับการขายหนังสือได้
- วันรุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอน ผมก็เขียนบทความลงแบบเดิม แต่เพิ่มเติมคือ ทิ้งท้ายบทความด้วยข้อความว่า “เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม” แต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
1
- วันแรกมีคนทักเข้ามาขอคำปรึกษาและสั่งซื้อหนังสือ 6 คน เมื่อลูกค้าโอนเงินสั่งซื้อ ผมก็ขับรถไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือมาใส่กล่องส่งทางไปรษณีย์ โดยใช้บัตรสมาชิกเป็นส่วนลด 5% ซึ่งนั้นแหละคือ “กำไร” ของผม ซึ่งเรียกได้ว่าน้อยมากๆ
- ผมทำอยู่อย่างนี้โดยไม่สต๊อกของประมาณ 2 เดือน ซึ่งทำกำไรได้ประมาณ 60,000 บาท โดยมียอดขายประมาณ 300 เล่มต่อเดือน
1
- เมื่อได้ยอดขายแล้วผมก็เริ่มปฏิบัติการนำยอดขายไปต่อรองกับบริษัทขายหนังสือต่างๆ เพื่อขอส่วนลด ตามโมเดลการทำงานของบริษัทที่ผมเรียนรู้มา ซึ่งผมถูกปฏิเสธหรือไม่ก็เงียบไปดื้อๆ เลยหลายครั้ง รวมๆ ผมใช้เวลาต่อรองกับบริษัทต่างๆ ประมาณ 1 เดือน จนได้ดีลจากบริษัท อมรินทร์ จากลูกเพจคนหนึ่งที่เข้ามาซื้อหนังสือกับผม แล้วบังเอิญเขาทำงานอยู่บริษัท อมรินทร์ พอดี จึงช่วยเป็นคนคอนเนคชั่นให้
- ประกอบกับมีนักเขียนอย่างพี่ปิ๊ก ผู้เขียน หนังสือ วิชาธุรกิจ ที่ชีวิตจริงเป็นคนสอน ติดต่อเข้ามาให้โอกาสและให้ส่วนลดหนังสือของเขาด้วย
- นั้นจึงทำให้ผมสามารถทำกำไรได้มากขึ้นจากการทำงานเท่าเดิม นอกจากนั้นก็ยังมีนักเขียนและสำนักพิมพ์อื่นๆ ติดต่อเข้ามาอีกมากมายพร้อมข้อเสนอที่ดีในการจำหน่ายหนังสือ
- แต่กฎของผมคือ หนังสือทุกเล่มผมต้องอ่านก่อน ถ้าดีจริง ผมจะขาย แต่ถ้าไม่ดีต่อให้ข้อเสนอดีแค่ไหน ผมก็ไม่ขอรับไว้ เพราะผมจะไม่แนะนำของไม่ดีให้กับลูกค้าของผมเด็ดขาด
- จากวันแรกที่เริ่มขายหนังสือออนไลน์จนถึงวันนี้ 5 เดือน ยอดขายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนทะลุ 1,000 เล่มติดต่อกัน 2 เดือน คือ กันยายน และ ตุลาคม
1
- จนวันหนึ่งผมเริ่มมีความคิดอยากจะเขียนหนังสือของตัวเอง ก็เลยคิดไปคิดมาว่าจะเขียนดีไหม แล้วถ้าเขียนจะเขียนเรื่องอะไร คิดไปคิดมาผ่านไป 3 วัน เจ้าของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งก็ติดต่อเข้ามา ถามว่า “สนใจออกหนังสือไหมครับ”
- คือ เข้ามาถูกที่ ถูกเวลา อย่างกับรู้ความคิดของเราเลย
1
- ผมจึงไม่รอช้าตอบ “ตกลง” ทันที และนัดพูดคุยรายละเอียด กับ ทางเจ้าของสำนักพิมพ์ ซึ่งสรุปคือ ผมต้องส่งต้นฉบับแรกภายใน 30 พฤศจิกายน ไม่รวมเวลาแก้ไข หรือ เพิ่มเติมอย่างอื่น
- ผมจึงกลับมาถามตัวเองว่า แต่เราไม่มีเวลาเยอะขนาดนั้นนะ ลำพังตอนนี้ก็แทบไม่มีเวลานอนแล้ว แล้วเราจะเขียนทันไหม กับเวลาที่เหลือแค่ 1 เดือนกว่าๆ ซึ่งทางเดียวที่จะทำให้ผมมีเวลามากขึ้นเพื่อเขียนหนังสือ คือ “ลาออกจากงานประจำ” เพราะมันจะทำให้ผมได้เวลากลับคืนมา วันละ 8 ชั่วโมง
- ผมใช้เวลาวางแผน ประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนจะลาออก โดยการตั้งโจทย์ในเคสที่แย่ที่สุดของตัวเองเอาไว้ว่า ถ้าลาออกไปแล้วไม่มีรายได้เลย เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินจะอยู่ได้กี่เดือน
- ผมคำนวณออกมาปรากฎว่ามันสามารถอยู่ได้อีก 1 ปี ซึ่งมันก็เพียงพอที่ผมจะมีเวลาตั้งหลักหากเป้าหมายที่ผมวางไว้ไม่สำเร็จ
- แต่ถ้ามันสำเร็จ มันก็ถือว่า “คุ้มค่า” กับความเสี่ยง บวกกับตอนนี้รายได้จากทางอื่นของผมก็แซงงานประจำ 4-5 เท่า ติดต่อกัน 6 เดือนแล้ว ผมคงไม่เป็นอย่างเคสที่แย่ที่สุดได้ง่ายขนาดนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น วางแผนไว้ก่อนดีที่สุด
- คำถาม คือ ถ้าผมไม่เสี่ยงเพื่อความฝันของตัวเองตอนนี้ แล้วจะเสี่ยงตอนไหน ถ้าให้ไปเสี่ยงตอนอายุ 30 ผมก็คงไม่กล้าเสี่ยงแล้ว และไม่รู้เลยว่าในช่วงเวลานั้นมันยังเป็นจุดพีคของผมหรือเปล่า
1
- เมื่อทุกอย่างวางแผนไว้อย่างรอบคอบแล้ว ผมจึงตัดสินใจ “แจ้งลาออก” ทันทีเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และวันนี้ก็มาถึงวันสุดท้ายที่ผมทำงานประจำ เพื่อเดินตาม “ความฝัน” ของตัวเอง
- สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ การทำงานประจำ ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ถ้าคุณตั้งโจทย์ให้กับตัวเองถูกว่าจะทำไปเพื่ออะไร
3
- อย่างผมเป้าหมายคือ “การเป็นเจ้าของธุรกิจ” การทำงานประจำมันจึงเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะคุณจะได้เรียนรู้ทุกอย่างฟรีๆ แถมได้เงินค่าจ้างอีกต่างหาก ได้ทดลองความสามารถ ได้ฝึกทำโปรเจคต่างๆ ถ้าคุณทำมันเจ๊งอย่างมากก็แค่ถูกไล่ออก แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ค่อยถูกไล่ออกกันหรอก เพราะแต่ละบริษัทเขาก็ให้เราทำโปรเจคในความเสี่ยงที่เขารับได้อยู่แล้ว
1
- สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณบริษัทที่ให้โอกาส และ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังทำตามความฝันของตัวเองนะครับ
- ทุกสิ่งที่คุณคิด ทุกงานที่คุณทำ มันมีประโยชน์กับคุณเสมอ ถ้าคุณรู้ว่าในแต่ละวัน คุณตื่นขึ้นมาทำเพื่ออะไร
หามันให้เจอ แล้วจงเดินตาม “ความฝัน” ของคุณครับ
“เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”
.
แต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน
ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
.
สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ง่ายๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ
ได้ที่ Inbox เพจ #สมองไหล
2
โฆษณา