Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Main Stand
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
4 พ.ย. 2020 เวลา 05:00 • กีฬา
The Peanut Butter Falcon : ภาพยนตร์มวยปล้ำที่ทำให้ "ไชอา ลาเบิฟ" มีชีวิตใหม่อีกครั้ง | Main Stand
หลังแจ้งเกิดกับบทพระเอกหน้าใสขวัญใจมหาชนใน Transformers ภาพยนตร์แอ็คชั่นหุ่นยนต์สุดระห่ำปี 2007 ชื่อของ ไชอา ลาเบิฟ (Shia LaBeouf) นักแสดงหนุ่มจากลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มถูกจับตามองในฐานะนักแสดงดาวรุ่งดวงใหม่แห่งฮอลลีวูด นำมาซึ่งการได้นำแสดงในภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้อีก 2 ภาคคือ Transformers: Revenge of the Fallen และ Transformers: Dark of the Moon
ทว่าหลังจากนั้น ด้วยความอินดี้ของเจ้าตัวที่เลือกรับงานตามใจตัวเองล้วน ๆ โดยไม่สนใจเรื่องเงินเท่าไรนัก เราจึงได้เห็น ไชอา ปรากฏตัวอยู่ในหนังพล็อตแปลกแหวกแนวหลายเรื่อง ประกอบกับปัญหาติดเหล้า บกพร่องระเบียบวินัยในชีวิต จากพระเอกดาวรุ่งที่ทุกคนคาดหวังกลับไม่เปรี้ยงปร้างเท่าที่ควร และมีแนวโน้มที่ชื่อของเขาจะค่อย ๆ หายไปจากวงการมายา
1
อย่างไรก็ตามในปี 2017 ไชอา ก็ได้รับเล่นภาพยนตร์ฟอร์มเล็กนอกกระแสเรื่องหนึ่งชื่อ The Peanut Butter Falcon ที่บอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยตามหาฝันการเป็นนักมวยปล้ำของเด็กหนุ่มผู้ป่วยออทิสติก และมันก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล
1
เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร ติดตามได้ที่ Main Stand
นอนกลางดินกินกลางทราย ก่อนจะกลายเป็นหนัง
กว่าที่ "The Peanut Butter Falcon คู่ซ่าบ้าล่าฝัน" จะกลายเป็นภาพยนตร์เข้าฉายในโรง เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นที่ ไมเคิล ชวาร์ซ (Michael Schwartz) และ ไทเลอร์ นิลสัน (Tyler Nilson) สองเพื่อนรักผู้มีมิตรภาพอันเหนียวแน่นยาวนานนับ 10 ปี ซึ่งถึงแม้ทั้งคู่จะเป็น "มนุษย์ฮอลลีวูด" แต่ก็ไม่ใช่คนเด่นคนดังหรือทำเงินได้มากมาย โดยฝ่ายแรกประกอบอาชีพเป็นนักตัดต่อ ส่วนฝ่ายหลังเป็นนายแบบมือ (แสดงแทนนักแสดงดังในฉากที่ปรากฎเพียงแค่มือ)
ทว่าถึงจะเบี้ยน้อยหอยน้อย แต่ทั้ง ไมเคิล และ ไทเลอร์ ต่างก็เป็นคนจิตใจดี เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยในปี 2014 ทั้งคู่ได้สมัครเข้าไปเป็นอาสาสมัครในแคมป์เวิร์กช็อปเสริมสร้างทักษะการแสดงสำหรับผู้ด้อยโอกาส ณ Zeno Mountain Farm รัฐแคลิฟอร์เนีย และที่นี่เองที่โชคชะตาได้นำพาพวกเขาให้มารู้จักกับ แซค กอตซาเจน (Zack Gottsagen) ชายหนุ่มวัย 29 ปี ผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม แต่กลับมีพรสวรรค์ด้านการแสดงอันโดดเด่น
"แซค เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของผม เขาเป็นนักแสดงดาวน์ซินโดรมที่น่าทึ่งและยังเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ยอมรับความยากลำบาก ตรงกันข้ามเขาสู้มาโดยตลอด และมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าที่จะฝ่าฟันทุกสถานการณ์" ไมเคิล กล่าวถึงความประทับใจต่อเพื่อนใหม่
Photo : Vanity Fair
ถึงจะป่วยตั้งแต่กำเนิด แต่ แซค ก็หลงรักในการแสดงมาตั้งแต่เด็ก ๆ เขาหมั่นเรียนการแสดงและมีผลงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่อยมา ความใฝ่ฝันของ แซค คืออยากเป็นนักแสดงฮอลลีวูด และเมื่อ ไมเคิล กับ ไทเลอร์ รับรู้ถึงฝีมือ พรสวรรค์ รวมถึงความตั้งใจจริงของ แซค พวกเขาก็เกิดแรงบันดาลใจในการสานฝันนี้ที่ดูยากยิ่งให้เป็นจริง
ไทเลอร์ เผยความในใจของพวกเขาให้ แซค ได้ฟัง และทันทีที่กล่าวจบ เขาก็รู้ทันทีว่างานนี้จะเล่น ๆ ไม่ได้แล้ว เพราะแซคดีใจมาก ๆ ความหวังส่องประกายขึ้นในดวงตา ก่อนที่หลังจากนั้นจะถามย้ำเขาอีกบ่อย ๆ ว่ามันจะทำได้จริงใช่ไหม
"พูดตามตรงเลยว่าการที่ผู้ป่วยออทิสติกจะกลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ แซค เก่งมากในเรื่องการอ้อนวอน เซ้าซี้ เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ พวกเราเลยอยากจะลองดูกันสักตั้ง" ไทเลอร์ กล่าวกับ Los Angeles Times
1
Photo : AP
นอกจากอาการป่วยของ แซค แล้ว อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่ดูจะหนักหนากว่าด้วยซ้ำ คือการที่พวกเขามีแค่ "ความฝัน" แต่ไร้ซึ่งลู่ทางในการจะทำให้มันเป็นจริง เนื่องจากทั้งคู่เป็นเพียงบุคลากรตัวเล็ก ๆ ในฮอลลีวูด ไม่ได้มีเส้นสายหรือคอนเนคชั่นใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่ในเมื่อเริ่มฝันแล้ว การจะถอยหลังกลับไม่ได้อยู่ในสารบบของ ไมเคิล กับ ไทเลอร์ เลยแม้แต่น้อย พวกเขาเดินหน้าต่อไปด้วยการเริ่มจากสิ่งที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองก่อน นั่นคือการเขียนบท
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดูเหมือนจะง่ายที่สุด ก็ยังถือว่ายากอยู่ดี เนื่องจากทั้งคู่ไม่มีประสบการณ์เขียนบทมาก่อนเลยสักครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงเดินเข้าห้องสมุด ศึกษาวิธีการเขียนบทด้วยตัวเอง เริ่มเขียนพลอตโดยใช้บุคลิกลักษณะของตัว แซค เป็นศูนย์กลาง ให้ตัวละครหลักเป็นดาวน์ซินโดรม มีความหลงใหลในกีฬามวยปล้ำ
"แซค ไม่ใช่นักมวยปล้ำ และเขาไม่ได้ฝันอยากเป็นนักมวยปล้ำ ความฝันของเขาคือนักแสดง เพียงแต่เขาชอบมวยปล้ำ เราจึงดึงส่วนนี้มาใช้เล่าเรื่อง เป็นสัญลักษณ์ในการตามล่าความฝันของ แซค" ไมเคิล กล่าว
Photo : YouTube | Moviebill
ความยากลำบากยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้มีเงินทองมากมายอยู่แล้ว การที่ต้องสละเวลาจากงานประจำบางส่วนมาทุ่มให้กับการเขียนบทยิ่งทำให้สถานะทางการเงินติดลบเข้าไปอีก พวกเขาไม่มีเงินในการจ่ายค่าเช่าบ้าน ถึงขั้นต้องออกมากางเต็นท์นอนข้างนอก
2
"ผมประทังชีวิตด้วยการกินไก่ 1 ชิ้น มันหวานครึ่งหัว และเนย 1 ช้อน นี่คืออาหารใน 1 วันของผม ผมต้องเจียดค่าใช้จ่ายให้อยู่ภายใน 5-10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันเท่านั้น" ไทเลอร์ย้อนความหลัง
ผ่านไป 1 ปี ในปี 2015 บทภาพยนตร์เรื่อง The Peanut Butter Falcon ก็เสร็จสมบูรณ์ ทว่าพวกเขาก็มาเจอทางตัน เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับบทนี้ต่อ เนื่องจากการที่ใครก็ไม่รู้จะเดินเข้าไปเสนอบทภาพยนตร์ให้ค่ายหนังนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
Photo : Los Angeles Times
อย่างไรก็ดี นี่เป็นอีกครั้งที่โชคชะตาทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อตอนที่ปี 2015 กำลังจะผ่านพ้นไป อยู่ ๆ ไม่รู้อะไรดลใจให้ จอช โบรลิน (Josh Brolin) นักแสดงซูเปอร์สตาร์แห่งฮอลลีวูด ที่หลายคนน่าจะคุ้นกับการรับบท ธานอส มหาวายร้ายแห่งจักรวาลภาพยนตร์ Marvel โพสต์ลงในอินสตาแกรมส่วนตัวว่า
"ไหน ๆ ปีนี้ก็จะจบลงแล้ว ผมอยากจะทำความดีในการช่วยเหลือผู้คนเพื่อเป็นการตอบแทนสังคมดูบ้าง"
ไมเคิล บังเอิญเห็นโพสต์นี้เข้าพอดี จึงไม่รอช้าส่งบทภาพยนตร์ The Peanut Butter Falcon ให้ จอช ผ่านทางอีเมล และเพียง 10 นาทีหลังจากนั้นก็มีข้อความตอบกลับมาว่า "ผมยินดีที่จะช่วยพวกคุณ"
เมื่อนักแสดงระดับนี้อาสาเป็นป๋าดันให้ บทหนังก็เดินหน้าฉลุยสู่ความเป็นจริง จอช ได้จัดหานายทุน อีกทั้งยังยินดีให้ ไมเคิล และ ไทเลอร์ นั่งแท่นเป็นผู้กำกับด้วยตัวเองอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่ติดคิวถ่ายเรื่อง Deadpool 2 จอช ก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้
Photo : New York Post
ในส่วนนักแสดงนำ ตอนแรกถูกวางตัวให้เป็น เบน ฟอสเตอร์ แต่อยู่ ๆ ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ ไชอา ลาเบิฟ จึงเป็นรายชื่อต่อไปที่ได้เข้ามาร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้ในตอนนั้นชื่อเสียงของเขาจะไม่ค่อยสู้ดีนัก มีพฤติกรรมฉาวให้สื่อได้รายงานเป็นประจำก็ตาม
เรื่องนี้ยังสมทบด้วยทัพนักแสดงอีกหลายชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ดาโกตา จอห์นสัน นางเอกจากไตรภาค Fifty Shades, บรู๊ซ เดิร์น และ จอห์น ฮอว์ค นักแสดงผู้เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว
ส่วน แซค ในตอนแรกทางสตูดิโอผู้สร้างก็ดูไม่ค่อยให้ความเชื่อมั่นเขาเท่าไรนัก แต่หลังจากที่ แซค ได้อัดคลิปฝีมือการแสดงของเขาให้ดู พวกเขาจึงรู้ถึงศักยภาพของผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมคนนี้ และยินดีที่จะอนุมัติเงินทุนให้ในที่สุด
ภาพยนตร์แห่งมิตรภาพ
The Peanut Butter Falcon คือภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องของ แซค เด็กหนุ่มผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมที่หลงรักกีฬามวยปล้ำเป็นชีวิตจิตใจ เขาอาศัยอยู่ในบ้านพักสวัสดิการของรัฐ เพราะไม่มีครอบครัวไหนอยากจะรับไปเลี้ยง ถึงแม้ว่าสภาพความเป็นอยู่จะไม่ได้เลวร้ายมากนัก แต่ แซค ก็ไม่เคยพอใจกับชีวิตเลย และหวังที่จะออกไปเผชิญโลกภายนอกอยู่เสมอ
วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านหลังนั้น โดยมีจุดหมายปลายทางคือโรงเรียนสอนมวยปล้ำของ Salt Water Redneck อดีตนักมวยปล้ำชื่อดัง อย่างไรก็ตามระหว่างการเดินทางแสนทุลักทุเล แซค ก็ได้พบกับ "ไทเลอร์" ชาวประมงเถื่อนที่ดูไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ตกลงที่จะร่วมทางกัน เพื่อไปถึงจุดหมายของตัวเอง คนหนึ่งต้องการความความฝันการเป็นนักมวยปล้ำ ส่วนอีกคนต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่และทิ้งอดีตที่เหลวแหลกไว้เบื้องหลัง
ในตอนที่ ไมเคิล และ ไทเลอร์ เขียนบทนี้ขึ้นมา พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าจะได้ ไชอา ลาเบิฟ มารับบทนำ แต่มันกลับสะท้อนชีวิตของ ไชอา ได้อย่างตรงประเด็น เพราะในขณะนั้นอดีตพระเอกดังจาก Transformers ก็กำลังโดนอดีตตามกัดกินอยู่เช่นเดียวกับตัวละคร ไทเลอร์
Photo : Austin Chronicle
ดังนั้น หากจะกล่าวว่า The Peanut Butter Falcon คือภาพยนตร์ที่หยิบยกชีวิตจริงของสองนักแสดงนำอย่าง ไชอา และ แซค มาปรุงรสชาติใหม่บนแผ่นฟิล์มก็คงไม่ผิดนัก
นอกจากนี้ ความบกพร่องทางใจของทั้งสองตัวละครดูจะเป็นสิ่งที่ดูดจับและเติมเต็มกันและกันได้เป็นอย่างดี โดยในฉากหนึ่งตัวละคร แซค ได้พูดคุยกับตัวละคร ไทเลอร์ ว่า
"ผมเป็นฮีโร่ไม่ได้หรอก เพราะผมเป็นดาวน์ซินโดรม"
"ใครบอก"
"โค้ชบอก ครูก็บอก"
"ช่างพวกมันปะไร"
Photo : Hollywood Reporter
ไม่ใช่แค่มิตรภาพบนจอเท่านั้นที่ผลิบาน แต่เบื้องหลังกล้องก็ไม่ต่างกันนัก เนื่องจากกองถ่าย The Peanut Butter Falcon เป็นกองถ่ายเล็ก ๆ มีทีมงานรวมกันไม่เกิน 40 คน พวกเขาจึงอาศัยกันอย่างครอบครัว สนุกสนาน จริงใจ และไม่มีการแบ่งชนชั้น
โดยเฉพาะ แซค กับ ไชอา คู่หูนักแสดงนำที่ต้องเข้าฉากร่วมกันแทบตลอดเวลา ทั้งคู่สนิทสนมกันมากราวกับเป็นพี่น้องแท้ ๆ ทั้ง ๆ ที่ในตอนแรกผู้กำกับค่อนข้างกังวลเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เพราะอย่างที่รู้ว่า ไชอา ขึ้นชื่อเป็นนักแสดงจอมเหลวแหลก ดื่มสุราเป็นน้ำเปล่า ส่วน แซค เป็นผู้ป่วยดาวน์ซินโดรมใสซื่อ ช่างจ้อ ช่างคุย ดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันได้เลยแม้แต่นิดเดียว
มิตรภาพอันสวยงามของ แซค กับ ไชอา พิสูจน์ได้ด้วยเหตุการณ์หนึ่ง ในขณะที่ The Peanut Butter Falcon กำลังถ่ายทำในช่วงปลายปี 2017 อยู่ ๆ ก็มีข่าวว่า ไชอา โดนจับในข้อหาเมาสุราในที่สาธารณะ อีกทั้งตอนที่โดนควบคุมตัว ไชอา ในสภาพมึนเมายังพูดเชิงเหยียดผิวเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุมตัวเขาอีกด้วย กลายเป็นอีกหนึ่งคลิปฉาวที่ทุกสำนักข่าวพร้อมใจกันลงหน้าหนึ่ง
Photo : TMZ
"ผมอยากให้ ไชอา ได้กลับมาแสดงหนังเรื่องนี้ด้วยกันอีกครั้ง ผมรู้จัก ไชอา ผมไม่ชอบที่ ไชอา ทำตัวนิสัยไม่ดี แต่ผมรู้ว่าที่เขาเป็นแบบนี้เพราะเขามีปัญหากับพ่อของเขาในตอนเด็ก ผมเข้าใจว่าเขาต้องเจอกับอะไร ไชอา ต้องหาทางกลับมาแสดงหนังด้วยกันให้ได้"
"ผมชอบอยู่กับ ไชอา เขาเป็นคนสนุก ตลก และเขาก็รักผมมาก" แซค กล่าวอย่างใสซื่อหลังจากรู้ข่าว
Photo : AP
สุดท้าย ไชอา ก็ได้กลับมาที่กองถ่าย The Peanut Butter Falcon ก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับเพื่อนรักว่า
"ผมกลับมาที่กองถ่ายโดยไม่กล้าสบตามองใครทั้งนั้น แต่ แซค เป็นเพียงคนเดียวที่มองผมโดยไม่มีอคติ ไม่ตัดสินผมเลยแม้สักนิดเดียว เขายังมองผมเป็นเพื่อนรักแม้ผมจะมีแต่เรื่องแย่ ๆ ผมซาบซึ้งใจกับเรื่องนี้อย่างมาก"
ไม่ใช่เพียงแค่มิตรภาพอันสวยงามเท่านั้น ที่ ไชอา ยังกล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า แซค นี่แหละคือคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล
ขอบคุณนะเพื่อน
อย่างที่ทุกคนทราบว่าปัญหาการติดสุราของ ไชอา ลาเบิฟ นั้นร้ายแรงขนาดไหน โดยในช่วงแรกของการถ่ายทำ The Peanut Butter Falcon ปัญหานี้ก็ยังคงอยู่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าด้วยเหตุการณ์เล็ก ๆ เพียงเหตุการณ์เดียว กลับทำให้เขาไม่อยากยกเหล้าขึ้นมาดื่มอีกเลย
วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง นักแสดงและทีมงานกำลังพักผ่อนตามอัธยาศัยหลังจากถ่ายทำกันมาทั้งวัน ไชอา กับ แซค ก็มานั่งเล่นด้วยกันบริเวณหน้าบ้านพักเหมือนเช่นเคย ในมือของ ไชอา มีแก้วบรรจุเหล้าจิน เป็นภาพที่ทุกคนคุ้นตา ส่วน แซค ก็มีไอศกรีมถังใหญ่ที่เขาโปรดปรานวางอยู่บนตัก
ในขณะที่กำลังจิบเหล้าดื่มด่ำบรรยากาศอยู่นั้น ไชอา ก็หันไปมอง แซค ที่กำลังจ้วงกินไอศกรีมอย่างไม่บันยะบันยัง อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกเป็นห่วงสุขภาพเพื่อนคนนี้ขึ้นมา จึงได้เอ่ยปากออกไปว่า "นายน่าจะหยุดกินไอศกรีมได้แล้วนะ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แซค ก็หันขวับมามองตาเขม็ง สลับกับมองแก้วเหล้าในมือ ไชอา ก่อนที่จะกล่าวออกมาซื่อ ๆ ตามสไตล์เขาว่า "นายก็น่าจะหยุดดื่มจินได้แล้วเหมือนกัน"
Photo : Screen Rant
เหตุการณ์ทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ แต่สำหรับ ไชอา เหมือนเขาโดนหมัดฮุคเข้าเต็มปลายคาง ให้ตระหนักคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ที่ผ่านมาเขาทำอะไรลงไป และทำไปเพื่ออะไรกันแน่
ไชอา นิ่งเงียบไปครูหนึ่ง ก่อนที่เขาจะคว้าศีรษะของ แซค มาไว้ในอ้อมกอด พร้อมเอ่ยคำสั้น ๆ ว่า "ฉันรักนายว่ะเพื่อน"
หลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้นลง ไชอา ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าเขาจะเลิกเหล้า พร้อมเดินหน้าเข้าสู่สถานบำบัด และทนทุกข์ทรมานอยู่ในนั้นนาน 10 สัปดาห์ แต่เขาก็ยินดีอย่างยิ่งถ้าแลกกับการที่จะกลายเป็นคนใหม่
Photo : AP
ส่วนมิตรภาพระหว่าง ไชอา กับ แซค นั้นไม่ได้จบลงตามภาพยนตร์ไปด้วย พวกเขายังคงเป็นเพื่อนที่รักกันมาก ๆ โดยในระหว่างที่อยู่ในสถานบำบัด ไชอา ได้เขียนจดหมายส่งไปให้ แซค หลายฉบับ
"นายเป็นเพื่อนที่ตัดสินฉันน้อยที่สุด ให้กำลังใจฉันมากที่สุด และเสมอต้นเสมอปลายที่สุด" ข้อความส่วนหนึ่งจากจดหมาย
10 สัปดาห์ผ่านไป ไชอา ก้าวออกจากสถานบำบัดอย่างผู้ชนะ เขาเลิกเหล้าได้สำเร็จ และแน่นอนว่าคนแรกที่เขาโทรหาก็คือ แซค
Photo : AP
ตราบถึงทุกวันนี้ ไชอา กับ แซค ก็ยังคงเป็นเพื่อนรักกันไม่เปลี่ยนแปลง ไม่สิ ต้องบอกว่าพวกเขาแทบจะกลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันด้วยซ้ำ ความรักที่ทั้งคู่มอบให้กันยิ่งใหญ่มากจนไม่อาจอธิบายเป็นตัวหนังสือได้
"ผมจมอยู่ในความสับสนก่อนที่จะเจอเขา ที่ผ่านมาผมพึ่งเหล้าเพราะผมเกลียดตัวเองเอามาก ๆ แซค เป็นคนมอบความกล้าและความเชื่อมั่นให้กับผม" ไชอา กล่าวในการสัมภาษณ์กับ Hollywood Reporter
ส่วน แซค ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ตอบกลับไปว่า "ผมอยากช่วย ไชอา เพราะผมไม่อยากเห็น ไชอา ตอนแก่แล้วยังทำตัวแบบนี้ ผมอยากให้ ไชอา กลายเป็นคนใหม่ ผมไม่อยากให้ ไชอา ทำตัวไม่ดีกับคนอื่น ยกเว้นคนที่ทำไม่ดีกับ ไชอา ก่อน"
Photo : Amazon
ส่วน The Peanut Butter Falcon หลังจากที่เข้าโรงฉายในปี 2019 ก็ทำเงินไป 23.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงจะไม่มากมาย แต่ถ้าเทียบกับทุนสร้าง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ถือว่าได้กำไรพอสมควร ส่วนคำวิจารณ์อยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม ถึงแม้จะไม่สามารถคว้ารางวัลจากเวทีใหญ่ระดับโลกได้ก็ตาม
1
The Peanut Butter Falcon อาจจะเป็นภาพยนตร์ที่ใครหลายคนมองข้าม หรือแม้กระทั่งไม่รับรู้การมีอยู่ของมันด้วยซ้ำ แต่การที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ปูทางให้กับ 2 ผู้กำกับหน้าใหม่ฝีมือดี เติมเต็มความฝันให้ผู้ป่วยออทิสติกคนหนึ่ง และมอบชีวิตใหม่ให้กับนักแสดงจอมเหลวแหลก เท่านี้ก็ถือว่ามันได้ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
บทความโดย เพรียวพันธ์ แสนลาวัณย์
แหล่งอ้างอิง
https://screenrant.com/peanut-butter-falcon-movie-true-story-real-zak/
https://www.vanityfair.com/hollywood/2019/08/peanut-butter-falcon-shia-labeouf-movie
https://www.latimes.com/entertainment-arts/movies/story/2019-12-30/peanut-butter-falcon-writers-crafted-film-for-down-syndrome-actor-friend
https://www.hollywoodreporter.com/news/how-a-peanut-butter-falcon-star-helped-changed-shia-labeoufs-life-1263308
https://www.austinchronicle.com/daily/screens/2019-08-08/spread-your-wings-with-the-peanut-butter-falcon/
https://www.insider.com/shia-labeouf-zack-gottsagen-peanut-butter-falcon-arrest-2019-10
https://thepeople.co/the-peanut-butter-falcon-movie/
https://apnews.com/article/b2e3757a6d3f4004825937b082ef59de
6 บันทึก
28
2
4
6
28
2
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย