6 พ.ย. 2020 เวลา 08:59 • ปรัชญา
คุณเคยคิดมั้ย ว่าทำไมคนถึงวิ่งมาราธอน
เนื่องจากครบ 2 ปี ที่วิ่งมาราธอนแรกจบไป ภาพเก่าๆในเฟสบุ้คก็ remind ขึ้นมา เลยอยากมาแชร์ความรู้สึก ของคนวิ่งมาราธอนคนหนึ่ง
มาราธอน หรือ ระยะ 42.195 กม.นั้น เป็นระยะทางที่ไกล สำหรับเรา ตอนแรกๆที่เข้าวงการวิ่ง ไม่คิดเลยว่าจะวิ่งมาราธอน คิดแต่ว่า ไกลไป ไม่เอาหรอก เสียเวลาซ้อมหลายชม.
แต่เมื่อคุณเข้าวงการวิ่งมา อยู่ๆไป ยังไงมันก็คันค่ะ คือ จะมีคนมาแชร์นู่นแชร์นี่ เยอะแยะ ให้มันอยากลองสัมผัส รสชาติของมาราธอน
เห็นคนพูดกันนัก ว่า"มาราธอน เปลี่ยนชีวิต" มันจะอะไรนักหนา....
จึงได้เลือก บางแสน42 เป็นมาราธอนแรก (ปี2018)
หลังจากสมัคร ก็เริ่มซ้อม จากนั้นก็เข้าใจ ว่าเราเปลี่ยนไป.....
การซ้อมวิ่ง เป็นการซ้อมตามตาราง ซึ่งตารางหลากหลายต่างสำนักกัน
ที่สำคัญ เราจะซ้อมแต่วิ่งไม่ได้ ต้องทำอย่างอื่นด้วย เช่น เวท ครอสเทรนนิ่ง เพื่อลดการเกิดการบาดเจ็บ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
1. วินัย
เกิดมา ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนมีวินัย บางวันที่เหนื่อยมากๆจากการทำงาน เดินทำงานก็ปาไปสองหมื่นก้าวแล้ว แต่วันนั้นเป็นวันที่ต้องซ้อม หลังเลิกงานก็ต้องไปซ้อม
บางวันวิ่งเช้า ง่วงแสนง่วง ก็ต้องพยายามขุดตัวเองขึ้นมา ไปวิ่ง
สิ่งที่ได้มาคือ ศรัทธาในตัวเอง ความเคารพในตัวเอง แล้วรู้สึกขอบคุณตัวเอง
จริงอยู่ที่การฝืนตัวเองในนาทีที่เริ่มทำมันยาก
แต่ทุกครั้ง...เมื่อทำเสร็จ จะรู้สึกดีกับตัวเองเสมอ
2. การซ้อมวิ่งไม่ใช่การเสียเวลา
แต่เป็นการได้เวลาคืนมา
จากเดิม คิดว่า เสียเวลาซ้อมอะไรบางวันปาไปสาม สี่ ชม. ทำไมไม่เอาเวลาไปทำอย่างอื่น...
พอได้เริ่มทำจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ งานทุกอย่าง ยังเสร็จเหมือนเดิม
ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ยังดีเหมือนเดิม
แล้วเอาเวลาที่ไหนมาซ้อม คนถามตลอด
ได้แต่บอกว่า ถ้าคิดจะทำ มันมีเวลาเสมอสำหรับสิ่งนี้ แต่ถ้าคุณไม่คิดจะทำ มันก็จะไม่มีเวลาสำหรับสิ่งนี้
ดังนั้น การจัดสรรเวลาดีขึ้นมาก ตัดสิ่งไร้สาระออกไปจากชีวิตได้ง่ายขึ้น
3. สมาธิ ความสงบ การพักผ่อน
ตอนซ้อมวิ่ง จะไม่มีอะไรนอกจาก
- ทำให้เสร็จ
- หัวโล่ง ไม่ต้องคิดอะไรเลย
- อยู่กับลมหายใจ กับรอบขาที่วิ่งไปไม่หยุด
ชอบความรู้สึกตอนนั้นมาก
เหนื่อยนะ แต่รู้ว่าเหนื่อย เราเบาแต่เราจะไม่หยุด
แล้วเหนื่อย ทำให้รู้ว่าเรามีขีดจำกัด
และความเหนื่อย ทำให้รู้คุณค่าของความสุขเล็กๆแค่น้ำเปล่า หรือ น้ำเกลือแร่จิบนึง ก็มีความสุขแล้ว
4. ความคิดดีๆ หลายๆอย่างเกิดขึ้นตอนวิ่ง
ด้วยความที่หัวโล่ง สงบ idea ดีชอบโผล่ขึ้นมา หลายครั้งเลยต้องพยายามจำให้ได้ ยิ่งบางทีวิ่งยาว โผล่มาหลายอันไม่ทันจด ลืมๆไปก็มี
5. รู้ว่าร่างกายนั้นเปราะบาง
นอนน้อย กินน้ำน้อย มีผลต่อสมรรถนะร่างกายหมดทุกอย่าง
แล้วทำให้เรารู้ว่า เราต้องดูแลตัวเองให้ดี เพื่อสมรรถนะที่ดีของร่างกาย
รู้ว่ามีการบาดเจ็บได้ ถ้าเราซ้อมมากไป ซ้อมน้อยไป ไม่เวท ไม่ยืดเหยียด ไม่วอรมอัพ ไม่คูลดาวน์
สอนให้เรารู้ว่าจงอย่าทนงตน ว่าตนนั้นเก่งกล้า
6.มาราธอน คือกีฬาที่แข่งกับตัวเอง
แข่งกับจิตใจตัวเอง
แข่งกับมารดำในใจ ที่คอยกระซิบให้อู้
แข่งกับมานะ ความเพียรของเรา
เราไม่ได้แข่งกับใครเลย แค่แข่งกับด้านมืดที่ซ้อนตัวอยู่ในใจเราเท่านั้นเอง
7. ซ้อมอย่างไร ได้อย่างนั้น
ซ้อมอย่างไร วันจริงวิ่งอย่างนั้น
ซ้อมเยอะ คุณก็แกร่งขึ้น คุณไม่ซ้อมจะมาหวังใช้ใจมาวิ่งมาราธอน มันไม่ได้ มันอาจจะได้ในบางคน
แต่ถ้าอยากจบแบบไม่เจ็บ ก็ต้องยอมรับว่ามันต้องซ้อม
ถ้าคุณซ้อมแบบไหน วันจริงคุณไปวิ่งเร็วกว่าตอนซ้อม คุณก็อาจจะไม่จบมาราธอนนั้นๆก็ได้
8. มาราธอน ไม่ได้วัดที่ 42.195 กิโลที่คุณวิ่ง
แต้วัดที่ วันที่คุณซ้อม
วันที่คุณฝืนตัวเอง มาซ้อม
วันที่คุณ ปฏิเสธงานคอนเสริฐ ปฏิเสธปาร์ตี้ มาซ้อม
วันที่คุณ เกลียดเสียงนาฬิกาปลุกสุดๆ แต่คุณก็ยังยอมลุกมาซ้อม
นี่ต่างหาก คือสิ่งที่มาราธอนเปลี่ยนคน
ไม่ใช่ที่ 42.195 โลตรงนั้น
ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ อยากไปวิ่ง คุณออกไปวิ่ง 1โล ก็ได้วิ่งแล้ว
แต่ถ้าคุณอยากเห็นมุมมองชีวิตใหม่ๆ ลองดูซัก 1 มาราธอน
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังจะวิ่งมาราธอนแรก จริงๆแล้ว วันวิ่งจริง มันก็เหมือนวันสอบ
เราอ่านหนังสือ เราเรียนมาเป็นร้อยๆพันๆชม. ไม่ใช่เพื่อสอบหรอก
เราเรียนมา เพื่อเปลี่ยนตัวเราเอง
แล้วการสอบ มันแค่เป็นวัน ที่ทำให้เรารู้ว่าเราทำได้ แค่นั้นเอง
จริงๆมันก็แค่เหมือนเลิกอ่านของคนอื่น แล้วลุกขึ้นมามี chapter ของตัวเองซะที ^^
ใครอยากอ่านมาราธอรแรกของหมอ อ่านได้ข้างล่างนี่เลย ถ้าใครไม่อยากอ่าน แต่อยากไปวิ่งแล้ว ก็หางานสมัครได้เลย ^^
ขอให้คุณมีความสุขกับตัวคุณเอง
แชร์ปสก มาราธอนแรก 5/11/2018
่1 ปีที่แล้ว อ่านๆคนไปบางแสนมาโพสต์ ก็หนุกๆ ไม่อินเลย คิดแค่ดูโหดร้ายจัง กลัววว
จนกระทั่ง ไปๆมาๆ เพื่อนๆที่วิ่งหลังเราไป ฟูลกันหมดแล้ว เลยเริ่มมองตัวเองว่า เฮ้ย ทำไมใจไม่สู้เลย
เลยลองสมัคร world marathon สมัคร Berlin ก็แห้ว เลยจัด BS42 ไป ตอนสมัครรีบมาก กลัวเต็ม
หลังจากสมัครก็เริ่มตื่นเต้นละ จะซ้อมยังไง ทำยังไง เพราะเป้าหมายคือไม่ใช่แค่วิ่งจบ ไม่เจ็บ แต่อยากจะจบแบบประทับใจด้วย
เลยขอตารางมาจากพี่นุ่น แล้วก็เริ่มซ้อม ซ้อม ซ้อม ซ้อม แม้วันที่ทำงานเหนือยมากๆๆๆๆก็ ฝืนซ้อม แม้วันที่อารมณ์เบื่อหน่ายมากๆ ไม่อยากวิ่งเลย ก็ฝืนซ้อม ทุกครั้งหลังซ้อมเสร็จ จะรู้สึกดีทุกครั้ง และคิดว่า นี่สินะ มาราธอนที่เปลี่ยนชีวิต
จนเดือนสุดท้าย มีไปตปท. ต้องข้ามตารางซ้อมเป็น 10 วัน กลับมา ก็ขยันใหญ่ บางวันรู้สึก over train อยู่บ้าง เพราะพักผ่อนน้อยด้วย recovery ก็ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ก็บอกตัวเองว่า จบแน่ เวลาเท่าไหร่ช่างมัน
ตอนซ้อมวิ่งยาวที่ไร จะรู้สึกเหมือนจะตายทุกที เมื่อยมากกกก ก็คิดตลอดว่า จะไปวิ่ง 42 โล เพซเท่านี้ ไหวได้ไง สงสัยโลหลังๆต้องลดเพซลง บลาๆๆ คิดไปเรื่อยเปื่อยตลอด
พออาทิตย์สุดท้ายมาถึง ตื่นเต้นอยู่ลึกๆ แถมมามีท้องเสีย ไข้ขึ้นตอนก่อนวิ่ง 4 วัน เพลียมาก ตอนนั้นคิดว่า สงสัยความฟิตต้อง drop แน่เลย แต่ก็ปลอบใจตัวเองต่อไป ว่า ยังไงก็จบแน่ เพราะเราเป็น homo finisher (แบบที่คุณเอ๋ นิ้วกลมเรียก) เวลาเท่าไหร่ช่างมัน
วันจริงมาถึง มีเพื่อนพี กะครูเค ไปด้วย กินข้าว โหลดอาหารมากมาย เข้านอนทุ่มนึง ยอมรับว่านอนไม่หลับเท่าไหร่ ตื่นตีหนึ่ง ตื่นมาก็กินกล้วยไปอีกลูกนึง แล้วก็แย่ง energy bar จากครูเคมาอีกนิดนึง 555 (อร่อยมากกก) แต่ตัวจัดเต็ม ยกเว้น ลืมเอาเจลมา!!! ขอเพื่อนสิคะะ เพื่อนแสนดี ก็แบ่งให้ 2 ถุง ที่เหลือไปคว้าเอาข้างหน้า
ตีสอง 15 เริ่มจ้อกวอรมหน้าโรงแรม ไม่มี drill ไม่มี stride พอเหงือซึมๆ ก็กระจายตัวเข้า block
งานนี้พี่กัลยาณมิตรที่ดี จะพาวิ่ง ให้เรากำหนดเพซได้เลยว่าจะเอาเท่าไหร่ ประหนึ่งมี personal pacer ดีงามที่สุด จริงๆเกรงใจครูเคมาก เพราะอยากให้ครูไปล่าคิงคองนะคะ แต่ครูก็แสนดีบอกว่ากำลังใจสำคัญมาก ในฟูลแรก ยืนยันจะมาลากแนต ^^ เลยบอกครูว่าเอาเพซ6 ค่ะ ครูอยู่ block C หลังๆ เพื่อให้เราตามทัน
ประธานพูดสั้นๆ ได้ใจความ ได้ใจนักวิ่ง นาทีนี้ใจเต็นแรงมากขึ้น ตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่ตื่นเต้นตอนจะวิ่ง ถถถ ก้มดูนาฬิกา HR 90 เลยหายใจเข้าออกลึกๆ ทำสมาธิแป๊บนึง ขยับเชื้อกรองเท้าดีๆอีกทีนึง
และแล้วตอนปล่อยตัวมาถึง พลุมาแล้วตามมาด้วยเพลงชาติงานวิ่ง แสงสุดท้ายของพี่ตูน ยืนยิ้มคนเดียวอยู่ตอนนั้น เพราะกว่า block D จะขยับ ก็พักนึง ก้มดูนาฬิกา HR เหลือ 70 ละ ขยับตัววิ่งได้ แรกๆ ก็วิ่งตามหาเพื่อนไป ไม่นานก็เจอกัน โลแรก ตามเป้า pace 6.05 สบายใจ ไปเรื่อยๆ รับน้ำโล 4 กับ 8 และหลังจากนั้น รับทุกจุด ไม่ต้องบอกว่าโต๊ะน้ำงานนี้ดีงามขนาดใด ใครได้ไปคงคิดตรงกัน ยาวสะใจ ปิดท้ายด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง
วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไร รู้สึกว่า นิ่งดี pace อยู่ 5.5 โดยประมาณ HR 145 มาเรื่อยๆ
ถึงสะพาน ก็วิ่งได้สบายดี ยาวๆ ยอมรับว่าไม่รู้สึกว่าสะพานคอนกรีตสะท้านขาแต่อย่างไร อาจเป็นเพราะใส่รองเท้า support ด้วย ประมาณโลที่ 15-16 ก็เริ่มได้ปรบมือกะ elite ทีสวนๆมา นับๆดู ผญ ไม่ถึงร้อยแน่ ถ้าไม่มีอะไร น่าจะได้พาน้องคองกลับบ้าน
ตรงนี้ขาไปก็พักจุดน้ำไปเรื่อยๆ มีเกลือแร่ก็กิน มีกล้วยก็เอา หลังกลับตัวมี milo ก็กิน มี milo bar ก็เอา กินตลอดทาง กินเยอะมาก ยังคิดว่าจะปวดฉี่ปวดอึมั้ยเนี่ย ระหว่างทางเห้นคนพักยืด พักพ่นสปรย์กันบ้าง แต่เราก็ไม่ได้พ่น เพราะเอาจริงๆ ยังไม่รุ้ benefit ชัดเจนเท่าไหร่
พอถึงโล 28 ฟ้าเริ่มเป็นสีชมพูเรื่อๆ พอสวยๆ ชมฟ้าเพลินๆ เพซยังเท่าๆเดิมอยู่ ไม่ตก ไม่รู้สึกอะไรมาก บางช่วงรู้สึกเจ็บข้อเท้านิดๆ ตอนซ้อมก็เคยเป็น ซื่งวิ่งๆไปมันจะหายไปเอง ก็เลยไม่ได้กังวลอะไรมากนัก
คิดในใจว่า เขาสามมุก มันจะน่ากลัวแค่ไหนน้า เพราะไม่เคยซอ้มเนินเลยยย ตั้งใจจะหยุดยืดก่อนขึ้นเนิน พอวิ่งๆไป โล 32-34 ก็คิดในใจ ว่าทำไมตอนซ้อมถึงระยะแค่นี้ ปกติจะเป็นจะตายให้ได้ แต่วันนี้ไม่เป้นไรเลย ยังไหวอยู่ ก็เลยต่อไปเรือ่ยๆ ไม่ได้หยุดยืด ไม่ได้พักอะไร พอถึงโลที่ 36 ครุเคจะแวะทักทายเพื่อน ครูเห็นว่า เราจบแน่แล้ว เลยให้ลุยเดียวได้
วิ่งเพลินๆ มารู้ตัวอีกที โลที่ 37-38 แล้ว
ตกใจอยู่ อ่าวเห้ย ไหนปีศาจ กม. 35 ตอนนั้น ก็งงๆ ทำไมวันนี้มันไม่แย่เหมือนตอนซ้อม
พอถึงเนิน ก็คิดในใจ เห่ยยย มาแล้วเว้ยยย ก็ค่อยๆซอยเท้าถี่ๆ ไปเรื่อยๆ ดู HR ไม่ขึ้นเท่าไหร่ เมื่อยพองาม ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่ keep going ไป พอลงเนิน ก็กลัวตะคริว ก็พยามไม่ก้าวยาวๆ พยามงอเข่าให้ทัน เหมือนที่อจ.กิ้กสอน ก็ผ่านมาได้ด้วยดี สนุกดี พอลงเนินนึง ก็มีอีกเนินต่อกัน วิ่งไปยิ้มไป พี่ๆตากล้องก็คอยเชียร์ กองเชียร์ตามทางก็ประปราย ยิ้มให้กัน ปรบมือให้เค้าบ้าง ทุกจุดนำ้ก็ได้กำลังใจตลอด จนถึงทางเรียบทะเล ตอนนี้เร่งได้อีก pace ขึ้นเป็น 5.3 ไม่รู้ตัว ก็เลยไปประมาณนี้เรื่อยๆ คิดว่าทำให้ดีที่สุด เพราะฟูลแรกมีครั้งเดียว วิ่งให้ดีที่สุด ถ้ามีฟูลนี้ฟูลเดียวจะได้ไม่เสียใจ ช่วงนี้แซงคนอื่นมาได้เรื่อยๆ แต่ในใจคิดแค่ว่า มาราธอนนี่ดีจริงๆ แข่งกับตัวเองอย่างเดียว ไม่ต้องแข่งกับใครเลย จนถึง 500 ม.สุดท้าย ก็วิ่งชิลๆเข้าไป จบที่ 4.07 พอใจมากๆๆๆๆ กับเวลานี้ ดีใจมากแล้ว เป็นฟูลแรก ที่สนุก สงบ สมาธิดี ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เหนือย ไม่เจ็บ แค่นี้ก็ประทับใจมากแล้วค่ะ
เขียนมายาวมาก ขอบคุณคนที่ยังอ่านนะคะ สำหรับที่คิดจะไปมาราธอน บอกได้แค่ว่า ไม่มีทางลัดค่ะ มาราธอนจะสวยงามมากกๆๆ ถ้าคุณซ้อม ซ้อมทำให้คุณเปลี่ยนเป็นอีกคน คุณจะดึงสมรรถนะร่างกายออกมาได้อีก ทั้งด้านวิ่ง และการทำงานอื่นๆ การซ้อมทำให้คุณเลิกงอแง เลิกโอดครวญกะสิ่งที่ไม่ได้ดังใจต่างๆ
ใครยังไม่เคยลงฟูล แนะนำนะคะ สนุกมากๆจริง
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณครูเค พี่เพชร คนที่มาวิ่งที่หลังแต่จบฟูลก่อนแนต เป็นกลจให้มาตลอด บอกว่าเราจบแน่ๆ ตั้งแต่ยังไม่เคยซ้อม 555 โดยเฉพาะครูเค ที่เป็นโค้ช และเป็น personal pacer
ขอบคุณพีจัง เพราะเมิงเลย ประโยคที่ว่า “พีทำได้ ทุกคนทำได้”
ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ให้กำลังใจมากมาย
ขอบคุณ Kessara
ขอบคุณน้องตาลสำหรับ visor ใส่ดีงามมาก
ขอบคุณป๊าม๊า ที่ทนรอแนตซ้อมหลายๆครั้ง
และสุดท้าย ขอบคุณตัวเอง ที่กลายเป็นคนมีวินัย ได้ไงไม่รู้
1
โฆษณา