Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
THINK FUTURE
•
ติดตาม
15 พ.ย. 2020 เวลา 10:27 • สิ่งแวดล้อม
การสร้างเขื่อนส่งผลเสียต่อระบบนิเวศมากกว่าที่เราคิด
เขื่อน (Dam) เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่สำหรับกั้นทางน้ำ เพื่อใช้ในการเก็บกักน้ำและป้องกันอุทกภัยรวมถึงผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนบนของเขื่อนจะประกอบไปด้วยส่วนที่เรียกว่าทางน้ำล้น สำหรับให้น้ำที่สูงกว่าระดับที่ต้องการไหลผ่านมาที่ฝั่งปลายน้ำ มากกว่าครึ่งหนึ่งของแม่น้ำสายหลักทั่วโลกจะมีเขื่อนกั้นไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในทางใดทางหนึ่ง
-- เขื่อนแห่งแรกในโลกและจุดเริ่มต้นของเขื่อนคอนกรีต--
เป็นเขื่อนที่สร้างจากอิฐชื่อว่า Sadd-el-Kafara ตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงไคโรประมาณ 25 กิโลเมตร มีความยาวถึง 110 เมตร และสูง 14 เมตร โดยถูกสร้างเพื่อใช้ป้องกันน้ำท่วม
ต่อมาเขื่อนขนาดยักษ์ซึ่งเป็นต้นแบบของเขื่อนคอนกรีตสมัยใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น มีชื่อว่าเขื่อนฮูเวอร์ (Hoover Dam) ถูกสร้างขึ้นในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีความสูงราว 220 เมตร ที่เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2484 เป็นการเปิดยุคของเขื่อนขนาดใหญ่ และเป็นนวัตกรรมที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ รวมถึงชัยชนะของมนุษย์ในการควบคุมธรรมชาติ
--ยุคสมัยของเขื่อนขนาดใหญ่ดำเนินต่อเนื่องร่วม 50 ปี --
โดยมีจุดสูงสุดในช่วงยุค 1970s ซึ่งมีเขื่อนขนาดใหญ่เกิดขึ้นราว 10 แห่งทั่วโลก เขื่อนที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นคือเขื่อนกูรี (Guri Dam) ในประเทศเวเนซุเอลาซึ่งถือเป็นหนึ่งในเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ความสูง 162 เมตร ยาวถึง 7,426 เมตร โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 47,000 GWh
หากคิดคร่าวๆ จากคอนโดห้องไม่เกิน 30 ตารางเมตรปกติใช้ไฟฟ้าประมาณเดือนละ 200 - 400 kWh เท่ากับปีละ 2,400 - 4,800 kWh นั่นหมายความว่าเขื่อนกูรีสามารถรองรับการใช้ไฟจากคอนโดกลุ่มนี้ได้มากถึง 9.8 - 19.5 ล้านห้องเลยทีเดียว
ในยุคนั้นเงินจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ธุรกิจการก่อสร้างเขื่อน และการดัดแปลงแม่น้ำก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งในการป้องกันอุทกภัย จัดการปริมาณน้ำในช่วงหน้าแล้ง และผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของประชากร โดยรายงานที่เผยแพร่เมื่อปี 2018 ระบุว่าพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนนั้นคิดเป็นถึงร้อยละ 16 ของการผลิตไฟฟ้าทั่วโลก
ไม่มีอะไรที่ได้มา โดยไม่เสียอะไรไป
การที่มนุษย์สร้างเขื่อนก่อให้เกิดประโยชน์มากมายหลานด้าน แต่ก็มีผลเสียที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติเช่นกัน
--- ผลกระทบต่อระบบนิเวศของการสร้างเขื่อน --
ถึงแม้เขื่อนแต่ละแห่งมีลักษณะการก่อสร้างและรูปแบบแตกต่างกัน แต่เขื่อนที่เราคุ้นชินกันคือโครงสร้างคอนกรีตขนาดใหญ่ที่กั้นขวางทางไหลธรรมชาติของแม่น้ำ ทำให้อ่างเก็บน้ำ (Reservoir) หลังสันเขื่อน และยังมีเขื่อนประเภทที่ปล่อยน้ำไหลผ่านตลอดปี (Run-of-the-river) ซึ่งจะไม่มีอ่างเก็บน้ำและมีจุดประสงค์หลักคือผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนรูปแบบใด การตั้งโครงสร้างขวางกั้นทางน้ำไหลของธรรมชาติย่อมส่งผลต่อระบบนิเวศอย่างแน่นอน
ปัญหาระบบนิเวศที่เราเคยได้ยิน และเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคงไม่พ้นเรื่องที่เรื่องปริมาณตะกอนซึ่งถูกกักเก็บไว้เหนือสันเขื่อนลดลงในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย โดยตะกอนเปรียบเสมือนสารอาหารสำหรับระบบนิเวศแม่น้ำ เมื่อตะกอนที่เคยมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ถูกลิดรอนจากเขื่อน ปลายน้ำก็ย่อมเกิดปัญหาหิวตะกอน (Sediment Starvation) เมื่อวัฏจักรการเติมสารอาหารตามธรรมชาติถูกกีดกัน สิ่งที่ตามมาคือการพังทลายของตลิ่ง ร่องน้ำที่ลึกขึ้น พื้นที่ราบโดยรอบก็สูญเสียความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติไป
ผลกระทบนี้หลักๆแล้ว เกิดมาจากการที่ประเทศจีนได้สร้างเขื่อนยาวตามแม่น้ำโขงเป็นเขื่อนแบบขั้นบันไดถึง 11 เขื่อน ซึ่งประเทศจีนสามารถควบคุมระดับน้ำของเขื่อนบนแม่น้ำโขงในจีนได้เอง จึงส่งผลกระทบให้ระดับน้ำ ในแม่น้ำโขงท้ายน้ำ บริเวณพรมแดนไทย- ลาว ผันผวนขึ้นลงไปตามการใช้งานของเขื่อนผลิตไฟฟ้าในจีน
เขื่อนที่ใกล้ชายแดนไทยมากที่สุดคือเขื่อนจิงหง (Jinghong dam) ตั้งอยู่ในเมืองเชียงรุ้ง ดินแดนสิบสองปันนา เป็นเขื่อนตอนล่างสุดของจีนที่ห่างจากบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงรายประมาณ 340 กิโลเมตร
แน่นอนว่านี่ยังไม่รวมถึงการสูญเสียพื้นที่ธรรมชาติจากการเกิดอ่างเก็บน้ำ การแพร่ระบาดของโรคที่เกิดจากน้ำนิ่ง หรือแม้แต่การบังคับย้ายถิ่นฐานของประชาชนในพื้นที่ ประเด็นเหล่านี้จึงทำให้เราเห็นได้ว่าในปัจจุบันเขื่อนอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไรสำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้า
1 บันทึก
6
1
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย