23 พ.ย. 2020 เวลา 09:34 • การเมือง
อีกมุมหนึ่งของการชุมนุมประท้วงใน “ฮ่องกง” ที่รัฐบาลจีนไม่อยากให้รู้
กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงที่รัฐบาลจีนประกาศใช้เมื่อวันที่30 มิถุนายน ปี 2020 เป็นจุดจบของการปกครองแบบหนึ่งประเทศสองระบบที่ “เติ้ง เสี่ยวผิง” นำมาใช้กับฮ่องกงเมื่อ 23 ปีที่แล้ว
ก่อนการออกกฎหมายฉบับนี้มีการชุมนุมประท้วงจากประชาชนฮ่องกงหลายครั้งมากและใช้เวลาร่วมกว่า 5 ปีในการประท้วงรัฐบาลจีน
โดยคนฮ่องกงทวงถึงคำสัญญาของ“เติ้ง เสี่ยวผิง” ที่พูดถึงการปกครองหนึ่งประเทศสองระบบที่จะใช้อีก 50 ปี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าคนฮ่องกงประท้วงเพื่อไม่ต้องการปกครองแบบประเทศจีนและเรื่องความเลื่อมล้ำทางสังคมที่ถูกคนจีนที่ย้ายมาอยู่ใหม่เอาเปรียบคนฮ่องกงเดิมก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง
แท้จริงแล้ว ทั้งสองเรื่องนี้ล้วนเกิดจากความขัดแย้งและการแก่งแย่งอำนาจภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งสิ้น
พูดถึงการก่อสร้างอิทธิพลและอำนาจในด้านต่างๆในฮ่องกงของ
พรรคคอมมิวนิสต์จีน ต้องเท้าความไปถึงหลังเหตุการณ์ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน
ที่ประเทศจีนถูกนานาชาติต่อว่าเรื่องการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม(เบื้องหลังการชุมนุม สามารถอ่านได้จากบทความนี้ https://www.blockdit.com/articles/5f9d41b6c87f090ce27dff65)
1
โดยในเวลานั้น “เติ้ง เสี่ยวผิง” ที่ยังยึดถือแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นนโยบายนำพาประเทศ ได้ชักชวนชาวจีนโพ้นทะเลมาลงทุนในจีนทดแทนการหายไปของชาติตะวันตก
1
“หลี เจียเฉิง”李嘉誠หรือที่คนไทยรู้จักกันในคือ ลีกาซิง นักธุรกิจมหาเศรษฐีชาวฮ่องกงก็เป็นหนึ่งในคนแรกๆที่เข้าไปคุยกับรัฐบาลจีนในการลงทุนในยุคนั้น
ในช่วงแรก “เจียง เจ๋อหมิน” ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวทางของ “เติ้ง เสี่ยวผิง”
การลงทุนของ “หลี เจียเฉิง” ยังเป็นแบบดูท่าที เพราะคนภายนอกทุกคนต่างกังวลในความไม่แน่นอนภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน
แต่แล้วการลงทุนได้เพิ่มขึ้นมากมายในโครงการพัฒนาที่ดินสำคัญเกือบทุกที่ในกรุงปักกิ่ง ทุกแห่งล้วนตกเป็นของ “หลี เจียเฉิง” หลังจากที่“เจียง เจ๋อหมิน” ได้ขึ้นเป็นผู้นำจีนในปี 1993
ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ ตามมาด้วยทรัพย์สินของ“หลี เจียเฉิง” ก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวตามเศรษฐกิจจีนที่เจริญเติบโตตลอด เกือบสามสิบปี
1
นอกจาก “หลี เจียเฉิง” แล้วเศรษฐีฮ่องกงคนอื่นก็ได้อานิสงส์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะด้าน อสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงที่เป็นเหมือนเครื่องมือในการแปลงสภาพเงินร้อนเป็นเงินเย็นหรือที่เรียกว่าการฟอกเงินนั่นเอง
ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเศรษฐีอันดับหนึ่งของฮ่องกงกับอดีตผู้นำจีน (ภาพจากรอยเตอร์)
ข้าราชการระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้อาศัยฮ่องกงเป็นช่องทางถ่ายโอนและบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนตัวที่ได้จากการคอรัปชั่นผ่านการลงทุนบริษัทของฮ่องกง
และบริษัทรัฐวิสาหกิจจีนเองที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกง ถ้าจะบอกว่าเปรียบเสมือนแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นของทรัพย์สินส่วนตัวของข้าราชการก็น่าจะพูดได้
แต่แล้วตามสุภาษิตจีนที่ว่าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่วันเลิกรา วิธีการเงินต่อเงินของข้าราชการในพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ถึงจุดเปลี่ยนเมื่อผู้นำที่ชื่อ “สี จิ้นผิง” ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2012
นโยบายปราบคอรัปชั่นที่ใช้ในการจัดการฝ่ายอำนาจเก่าและฝ่ายตรงข้ามจึงเกิดขึ้นและฮ่องกงจึงเป็นเป้าหมายต้นๆที่ต้องทำการเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่ “สี จิ้นผิง” ขึ้นเป็นผู้นำประเทศจีนได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นำมาสู่การออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกง ดังนี้
ปี 2013 เป็นช่วงแรกของนโยบายปราบคอรัปชั่นของ “สี จิ้นผิง” ซึ่งเวลานั้น ยังไม่มีนักธุรกิจคนไหนเข้าข่ายถูกจับเลย
แต่ “หลี เจียเฉิง” มหาเศรษฐีชาวแต้จิ๋วที่ติดอันดับชาวจีนที่ร่ำรวยที่สุดหลายสมัยเริ่มทยอยขายทรัพย์สินและ กิจการในจีนอย่างเงียบๆ
เพราะน่าจะรู้ว่าความสัมพันธ์อันสนิทสนมกับ “เจียง เจ๋อหมิน” ไม่เป็นผลดีกับตัวเองนัก
ดูจากการพบปะกับ
“สี จิ้นผิง”ในฐานะผู้นำครั้งแรกแทบไม่มีการพูดคุยอะไรเลย
และในช่วงปลายปี 2019 การประชุมนุมประท้วงในฮ่องกงเริ่มรุนแรงสำนักข่าวทางการจีนได้ออกข่าวว่าอย่าปล่อยให้ “หลี เจียเฉิง” หนีไป
1
ซึ่งในช่วงเวลานั้นกิจการในจีนและฮ่องกงก็ถูกทยอยขายไปจนเกือบหมด และนำเงินที่ได้เหล่านี้ไปเข้าซื้อกิจการสาธารณูปโภคทั้งในอังกฤษและแคนาดา
โดยเงินเหล่านี้มีส่วนหนึ่งเป็นของข้าราชการระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย
1
หลานชายเจียงเจ๋อหมินหนึ่งในหุ้นส่วนใหญ่อาลีบาบา มีตั้งบริษัทระดมทุนที่ฮ่องกง. (ภาพจากNTD)
ปี 2015 เหตุการณ์เจ้าของร้าน Causeway Bay และหุ้นส่วนรวม 5 คนหายตัวไปอย่างลึกลับ จากนั้นมีการออกข่าวถูกจับตัวที่ประเทศจีนในสิบวันถัดมา
1
ก่อนถูกส่งกลับในร้อยวันให้หลังเป็นก่อให้เกิดความไม่พอใจและกังวลต่อความปลอดภัยของชาวฮ่องกง
1
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนการทลายระบบการปกครองแบบหนึ่งประเทศสองระบบของฮ่องกงที่รัฐบาลปักกิ่งไม่สามารถใช้กฎหมายเข้าจับกุมคนในฮ่องกงได้และ
2
เป็นหนึ่งในฉนวนที่ทำให้ชาวฮ่องกงออกมาชุมนุมประท้วงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เหตุผลที่ทำให้ร้านหนังสือแห่งนี้ถูกรัฐบาลปักกิ่งจัดการเพราะมีการจำหน่ายหนังสือต้องห้ามของจีนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความขัดแย้งแก่งแย่งชิงดีกัน
ภายในพรรคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่สมัยเหมาเจ๋อตุงเลยทีเดียว
มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวในฮ่องกงว่าในช่วงเวลาที่หุ้นส่วนและเจ้าของร้านถูกจับ ทางร้านกำลังจะจำหน่ายหนังสือเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของ”สี จิ้นผิง” โดยเฉพาะความรักสมัยวัยรุ่น
1
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้ 1 ปี
มีแหล่งข่าวอ้างถึง李波“หลีปัว” หนึ่งในหุ้นส่วนร้านได้พูดถึงแหล่งข้อมูลที่มาจากของหนังสือเหล่านี้
เริ่มถูกปล่อยออกมาเยอะมากหลังจากปี 2012 หรือที่“สี จิ้นผิง” ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ จึงตอบข้อสงสัยที่ว่าฮ่องกงกลับสู่การปกครองของรัฐบาลจีนตั้งแต่ปี 1997 แล้ว
ทำไมเพิ่งจะมีปัญหาเกี่ยวกับเสรีภาพของคนฮ่องกงในช่วงหลายปีมานี้
หนังสือต้องห้ามเกี่ยวกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีจำหน่ายในฮ่องกง (ภาพโดย Billy H.C. Kwok )
ปี 2017-2018 เป็นช่วงเวลา ที่ประธานบริษัทในหลากหลายธุรกิจของจีนหายตัวและเสียชีวิตเยอะที่สุดในช่วงหลายสิบปีหลัง
2
王健“หวังเจี้ยน” ประธานสายการบินไห่หนาน(สายการบินที่เคยมูลค่ามากที่สุดของจีน)เสียชีวิตที่ฝรั่งเศสอย่างลึกลับ
吳小暉“อู่ เสียวหุ่ย” ประธานบริษัท Anpang Insurance บริษัทประกันชีวิตอันดับต้นๆของจีน ได้ถูกจับกุมและจำคุก17ปี
葉簡明”เหย่ เจียนหมิง” ประธานบริษัท CEFC China Energy บริษัทพลังงานเอกชนที่ใหญ่ที่สุดของจีน ถูกจับกุมตัวและไม่ปรากฎตัวอีกเลย
2
肖建華“เสา เจี้ยนหัว” ประธานบริษัท Tomorrow Group บริษัทบริหารจัดการการลงทุน มีถือหุ้นธนาคารในจีนหลายแห่งได้ถูกจับกุมตัวจากห้องพักส่วนตัวของโรงแรม Four season ฮ่องกง
“เสา เจี้ยนหัว” คนนี้เป็นนักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับข้าราชการระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมากว่ายี่สิบปี
1
บริษัท Tomorrow group เริ่มก่อตั้งใน 1993 ในระยะเวลาไม่ถึง 20 ปีนี้มีทรัพย์สินที่อยู่การบริหารจัดการกว่าล้านล้านหยวน และมีบริษัทที่จดทะเบียนไว้กว่า 4000แห่ง
“เสา เจี้ยนหัว” เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว
New York time ว่าเค้าเป็นแค่คนช่วยแนะนำการลงทุนให้กับรรดา ลูกหลานเครือญาติของข้าราชการระดับสูงของรัฐบาลจีนเท่านั้น
ผลงานที่เป็นข่าวดังคือ กรณีการเข้าซื้อกิจการรัฐวิสาหกิจบริษัทพลังงาน魯能Luneng Group หลูเหนิง เมื่อปี 2006 ใช้เงินแค่ 3700 ล้านหยวน
เข้าซื้อบริษัทที่มูลค่ากว่า 73,800 ล้านหยวนให้กับลูกชายของ曾慶紅เจินซิ่งหง อดีตรองประธานาธิบดีของจีน ที่มีความสนิทสนมกับ “เจียง เจ๋อหมิน” อย่างมาก
นอกจากนี้สำนักข่าวฮ่องกงยังมีรายงานข่าว โดยกล่าวถึงปี 2013
“เสา เจี้ยนหัว” ได้ร่วมทำธุรกิจกับพี่สาวและพี่เขยของ “สี จิ้นผิง” ซึ่งในเวลานั้นเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ
1
ก็น่าจะพูดได้ว่าผู้นำหรือข้าราชการระดับสูงของจีนส่วนใหญ่จะใช้บริการของ “เสา เจี้ยนหัว”ในการบริหารจัดการทรัพย์สินหรือแม้แต่บริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้าไปลงทุนในจีนก็ต้องอาศัยความสัมพันธ์ของ “เสา เจี้ยนหัว” เหมือนกัน
ซึ่งก็มีบริษัทไทยที่จดทะเบียนในฮ่องกงก็ใช้บริการในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทประกันชีวิตของจีนอย่าง Ping An Insurance บริษัทไทยเจ้านี้น่าจะมีความสัมพันธ์อันดี
ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาก็มีข่าวว่าบริษัทไทยเจ้านี้จะเข้าซื้อหุ้นของธนาคารแห่งหนึ่งในไต้หวันที่ “เสา เจี้ยนหัว” ถือหุ้นอยู่
จากรายงานข่าวของสำนักข่าว BBC เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2017
ว่าคืนวันที่ 27 มกราคม มีกลุ่มคนชุดดำ ได้พาคนใส่ผ้าคลุมหัว นั่งอยู่บนรถเข็นออกจากโรงแรม Four Season พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางอีกหลายใบขึ้นรถตู้ออกไป
1
ต่อมารายงานว่าคนที่ถูกจับไปคือ “เสา เจี้ยนหัว” ซึ่งปกติแล้วจะมีบอดี้การ์ดหญิงและชาย 4-5คน คอยติดตามตัวตลอดเวลาและโรงแรม Four Season ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาจึงเป็นที่ชื่นชอบของเศรษฐีและนักธุรกิจทั้งฮ่องกงและจีนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
1
ภาพข่าวเสาเจี้ยนหัว ถูกชายชุดดำ6คนนำตัวออกโรงแรมFour season ในช่วงเวลากลาง
ตามรายงานข่าวกล่าวว่าทางการจีนต้องวางแผนและเฝ้าจับตา “เสา เจี้ยนหัว” เป็นเวลาหลายเดือนกว่าจะหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าจับกุมตัว
ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลปักกิ่งทำลายโครงสร้างการปกครองแบบหนึ่งประเทศสองระบบ
1
และหลังจากที่รัฐบาลปักกิ่งเริ่มทำสงครามการค้าเต็มรูปแบบกับอเมริกาในปี 2018 ข่าวลือที่ว่าข้าราชการระดับสูงของจีนจะอาศัยฮ่องกงเป็นช่องทางโอนถ่ายทรัพย์สินก็มากขึ้นเรื่อยๆ
จนเป็นที่มาของการออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงในที่สุด
จนถึงวันนี้การชุมนุมประท้วงของคนฮ่องกงยังมีอยู่บ้างแต่ไม่มีการชุมนุมใหญ่เหมือนกับปี 2019 อีกแล้ว
เพราะคนฮ่องกงทราบดีว่าเวลานี้คำว่าปกครองพิเศษฮ่องกงจะเป็นแค่ชื่อเท่านั้น สถานะในวันนี้แทบไม่ต่างกับเมืองหนึ่งในประเทศจีนเลย
1
แถมในช่วงเดือนตุลาคม “สี จิ้นผิง” มาตรวจดู โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจปากอ่าว ที่กำหนดให้เมืองเซินเจิ้นเป็นศูนย์กลางยิ่งทำให้ความสำคัญของฮ่องกงลดลงไปอีก
จึงไม่ต้องแปลกใจ
ถ้าจากนี้จะมีคนฮ่องกงพยายามอพยพย้ายถิ่นฐานมาเมืองไทยเพราะอย่างไรเสียการมาอยู่เมืองไทยก็ยังรู้สึกปลอดภัยกว่าการถูกปกครองภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ข้อมูลและแหล่งข่าวอ้างอิง:
คลิปคุยข่าวเกี่ยวกับการเข้าซื้อธนาคารไต้หวันที่มีบริษัทสัญชาติไทยกับเสา เจี้ยน หัว อยู่เบื้องหลัง
โฆษณา