26 พ.ย. 2020 เวลา 03:35 • กีฬา
‘ดิเอโก้ มาราโดน่า’ ตำนาน 'หัตถ์พระเจ้า' ที่โลกลูกหนังต้องจดจำ
หลังการเสียชีวิตของ "ดิเอโก้ มาราโดน่า" หนึ่งในตำนานลูกหนังโลก เราจะพาย้อนกลับไปดูเหตุการณ์อันลือลั่น ที่ทำให้โลกรู้จักอัจฉริยะลูกหนังผู้นี้ในนามของ "หัตถ์พระเจ้า" (Hand of God)
‘ดิเอโก้ มาราโดน่า’ ตำนาน 'หัตถ์พระเจ้า' ที่โลกลูกหนังต้องจดจำ
“ผมเป็นคนที่ไม่ดำก็ขาวไปเลย ในชีวิตผมไม่เคยทำตัวสีเทา” คือคำพูดอันจริงใจไร้การปรุงแต่งที่ ดิเอโก้ มาราโดน่า เคยกล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อน
ทั่วโลกทั้งในและนอกวงการฟุตบอล ต่างร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของ “ดิเอโก้ มาราโดน่า” อัจฉริยะลูกหนังระดับตำนาน เจ้าของฉายา “เสือเตี้ย” ชาวอาร์เจนตินา แทบไม่เคยปิดบังบุคลิกด้านมืดและนิสัยเสียของตัวเอง และสำหรับแฟนบอลบางส่วน เขาอาจไม่ใช่ไอดอลลูกหนังที่เล่นใสสะอาดเหมือนกับนักเตะตำนานคนอื่น ๆ เช่น “เปเล่” ราชาฟุตบอลแห่งบราซิล
มาราโดน่า กลายเป็นดาวเตะระดับโลกทันที หลังพาทีม “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโกเป็นเจ้าภาพ
แม้เขาจะมีรูปร่างเตี้ย ซึ่งดูจะเป็นข้อเสียเปรียบในการเล่นฟุตบอล แต่เขาชดเชยจุดนี้ด้วยความแข็งแกร่งและความว่องไวในสนาม นอกจากนี้ มาราโดน่ายังเป็นผู้เล่นที่ดุดัน และเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เมื่อใดก็ตามที่ได้บอล เขาจะไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามหยุดง่าย ๆ แม้จะถูกรุมเล่นงานก็ตาม
เหนือสิ่งอื่นใด เสือเตี้ยยังมีทักษะลูกหนังจัดจ้านและมีช็อตมหัศจรรย์ให้แฟนบอลได้อ้าปากค้างอยู่เสมอ
“ไม่มีประสบการณ์ไหนดีไปกว่าการได้ดูลูกฟุตบอลเวลาอยู่กับเท้าซ้ายของเขาอีกแล้ว” ฮอร์เก บัลดาโน อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติอาร์เจนตินากล่าวยกย่องมาราโดน่า
อย่างไรก็ตาม แม้มาราโดน่าจะถูกจดจำในฐานะเทพลูกหนัง แต่เขามีชื่อเสียงด้านลบในการควบคุมตัวเองทั้งในและนอกสนาม และเคยประสบปัญหาติดยาเสพติดโดยเฉพาะโคเคน รวมถึงปัญหาน้ำหนักเกินมาแล้ว
ตลอดชีวิตค้าแข้ง มาราโดน่าได้ร่วมทัพฟ้าขาวสู้ศึกฟุตบอลโลก 4 ครั้ง รวมถึงในปี 1986 ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
.
“ผมมีความฝัน 2 อย่าง” มาราโดน่าเปิดใจกับสื่อท้องถิ่นตอนอายุ 17 ปี “อย่างแรกคือ ได้ลงเล่นฟุตบอลโลก และอย่างที่สองคือ คว้าแชมป์โลกให้ได้”
เกมที่สร้างชื่อให้กับดาวเตะซ้ายพิฆาตไม่ใช่นัดชิงชนะเลิศที่เขามีส่วนแอสซิสต์ประตูชัย หรือนัดรองชนะเลิศกับเบลเยี่ยมที่เขาเหมา 2 ประตู แต่เป็นแมตช์รอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีม “สิงโตคำราม” อังกฤษ หนึ่งในเจ้าลูกหนังยุคนั้น ที่อาร์เจนตินาชนะ 2-1 จากการเหมายิงคนเดียวของมาราโดน่า
ประตูแรกเกิดขึ้นในนาที 51 ขณะที่ปีเตอร์ ชิลตัน ผู้รักษาประตูของอังกฤษกระโดดจะชกบอลแถวหน้าปากประตู มาราโดน่าซึ่งมีส่วนสูงน้อยกว่าชิลตัน 7 นิ้ว กลับกระโดดตัดหน้าพร้อมทำท่าเหมือนจะโหม่ง ก่อนอาศัยความไวและใช้ “มือ” สะกิดบอลสวนตัวชิลตันเข้าประตูไปแบบเนียน ๆ ชนิดที่ผู้ตัดสินยังมองไม่ทัน ยกเว้นกล้องถ่ายทอดสดที่จับภาพไว้ได้
จากนั้นอีก 4 นาที เสือเตี้ยก็โชว์ความเทพเลี้ยงบอลจากแดนตัวเองกระชากหนีผู้เล่นอังกฤษ 6 คนรวมถึงโกล์ ก่อนยิงประตูที่สองให้ทีมฟ้าขาว
หลังจบเกมที่ฟ้าขาวชนะสิงโตคำราม 2-1 มาราโดน่าบอกว่า ประตูแรกที่เขาทำได้ ส่วนหนึ่งมาจากศีรษะตัวเองและอีกส่วนหนึ่งจาก “หัตถ์พระเจ้า”
ขณะที่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า (FIFA) ตั้งฉายาให้กับประตูที่มาราโดน่ารับบทพ่อเลี้ยงเดี่ยวยิงใส่ทีมอังกฤษอย่างเหนือชั้นว่า “ประตูแห่งศตวรรษ”
ถึงแม้โลกฟุตบอลยุคปัจจุบันจะมีนักเตะระดับโลกรุ่นใหม่อย่าง “คริสเตียโน โรนัลโด” และ “ลิโอเนล เมสซี” รันวงการอยู่ แต่แฟนบอลจำนวนมากทั่วโลก จะไม่มีวันลืมชื่อ ดิเอโก้ มาราโดน่า ได้อย่างแน่นอน
โฆษณา