27 พ.ย. 2020 เวลา 02:00 • ธุรกิจ
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ต้องกล้าได้กล้าเสีย ต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และกล้าหาญพอที่จะลาออกจากงานประจำเพื่อทุ่มเทพลังงานและเวลาให้กับการทำธุรกิจอย่างเต็มที่
นี่คงเป็นสิ่งที่หลายคนคิดอยู่ในหัว เกี่ยวกับภาพของคนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการได้รับอิทธิพลจากหนังสือสอนรวยหรือสื่อขายฝันต่างๆ
แต่คำถามคือ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ ?
โจเซฟ ราฟฟี่ และ เจี๋ยเฟิง ได้ทำการวิจัยกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันจำนวนกว่า 5,000 คน ตั้งแต่ช่วงอายุ 20, 30 ,40 และ 50 ปี โดยตั้งคำถามอันเรียบง่ายว่า “เมื่อก่อตั้งธุรกิจพวกเขาควรทำงานประจำต่อไป หรือ ลาออกดี” จากนั้นก็ทำการติดตามกลุ่มตัวอย่างที่กลายเป็นผู้ประกอบการในภายหลังตั้งแต่ปี 1994-2008
ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ทำให้คนที่ก่อตั้งธุรกิจลาออกจากงานประจำ ไม่เกี่ยวกับความจำเป็นด้านการเงิน คนที่มีรายได้สูงไม่ได้มีแนวโน้มมากกว่าหรือน้อยกว่าที่จะลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจเต็มตัว แต่ปัจจัยที่แท้จริงอยู่ที่ระดับของความกล้าเสี่ยงและความมั่นใจต่างหาก
แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ ผลการวิจัยพบว่า คนที่ก่อตั้งธุรกิจไปพร้อมๆ กับการทำงานประจำต่อไป มีแนวโน้มที่จะล้มเหลวน้อยกว่าคนที่ลาออกถึง 33 เปอร์เซ็นต์
Adam Grant ได้เขียนไว้ในหนังสือ Originals โดยอ้างอิงข้อมูลจาก ไคลด์ ดูมส์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ที่พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับความเสี่ยง โดยเปรียบเทียบความเสี่ยงกับการลงทุนในหุ้น กล่าวคือ เมื่อเราลงทุนแบบมีความเสี่ยงสูงในตลาดหุ้น เราก็จะป้องกันตัวเองด้วยการเลือกลงทุนในสิ่งอื่นที่ปลอดภัยไปพร้อมกัน
ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจก็ใช้วิธีนี้ โดยการก่อตั้งธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็ยังทำงานประจำที่ปลอดภัยกว่าควบคู่เพื่อรักษาสมดุลของความเสี่ยงนั้น
ในปี 1964 ฟิล ไนต์ ผู้ก่อตั้ง Nike เริ่มขายรองเท้าวิ่งโดยใช้กระโปรงหลังรถเป็นหน้าร้าน แต่เขาก็ยังคงทำงานเป็นนักบัญชีจนถึงปี 1969
ในขณะที่ สติฟ วอชเนียก ที่ร่วมกับ สตีฟ จ็อปส์ ก่อตั้งบริษัท Apple Computer Inc. ในปี 1976 ก็ยังทำงานประจำด้านวิศวกรรมที่ฮิวเล็ตต์-แพคการ์ดจนถึงปี 1977
แม้กระทั่ง บิล เกตส์ ที่คนทั่วไปคิดว่าเขาเรียนไม่จบเพราะลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกลางคันเพื่อมาทำธุรกิจ ก็ไม่ได้ลาออกทันทีที่มีความคิดจะก่อตั้งบริษัท Microsoft แต่เขาขายซอฟต์แวร์ใหม่ได้ขณะเรียนอยู่ปี 2 อยู่อีก 1 ปีเต็ม กว่าจะเลิกเรียนหนังสือ แต่เขาก็ไม่ได้เดินไปยื่นใบลาออกอย่างแท้จริง เขาใช้วิธียื่นคำร้องขอลาพักการศึกษาก่อน เผื่อเอาไว้ถ้าธุรกิจล้มเหลวจะได้กลับมาเรียนต่อได้
และยังมีหลักฐานจากงานวิจัยจำนวนมากที่บ่งบอกว่าผู้ประกอบการไม่ได้ชื่นชอบความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากกว่าประชากรทั่วไปอีกต่างหาก
1
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ในเมื่อคนส่วนใหญ่ก็ต่างคิดว่า การลาออกมาทำธุรกิจเต็มตัวมันก็น่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าไม่ใช่หรือ
นั่นเป็นเพราะความรู้สึกมั่นคงในด้านหนึ่งจะทำให้เรามีอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานในอีกด้านหนึ่ง พูดง่ายๆ คือ เมื่อเรามีรายได้ที่มั่นคงจากงานประจำเราก็ไม่ต้องรีบนำสินค้าออกมาขายทั้งที่ยังไม่สมบูรณ์ หรือ ไม่ต้องรีบเปิดตัวธุรกิจโดยที่ยังไม่ได้ทดสอบตลาด
ส่วนตัวผมเองก็ทำงานประจำควบคู่กับการเริ่มก่อตั้งธุรกิจใหม่โดยทำเป็นแค่งานอดิเรกและหารายได้เสริมเท่านั้น
ซึ่งมันก็จริง เพราะเมื่อผมมีรายได้ที่แน่นอนจากงานประจำ ผมก็ไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อเงินอย่างเดียว มันจึงทำให้ผมไม่กลัวที่จะทดลองหรือสร้างสรรค์ผลงานใดๆ ไม่เอาสินค้าไปยัดเยียดให้กับลูกค้าจากแรงกดดัน เพราะถึงแม้ว่างานที่ทำมันไม่ได้ผลหรือล้มเหลวเราก็ไม่อดตาย
จนเวลาผ่านไป 6 เดือน หลังจากธุรกิจเริ่มทำเงินได้ ทดลองโมเดลธุรกิจจนมีฐานลูกค้าแน่นอน และผมมีรายได้มากกว่างานประจำ 6 เท่า รวมถึงมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินมากพอที่จะไม่ทำให้ผมเดือดร้อนเป็นเวลา 2 ปี ถ้าผมไม่มีรายได้เลย ที่สำคัญมีงานเขียนหนังสือเล่มนี้เข้ามาที่เห็นอนาคตชัดเจน ผมถึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ
ถ้าคนที่ไม่ได้รู้จักผมเป็นการส่วนตัวจะมองว่าผมกล้าเสี่ยงและมีความมั่นใจสูงมากที่กล้าลาออกในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ มีแต่คนใกล้ชิดผมเท่านั้นที่รู้ว่าความจริงแล้วผมต้องต่อสู้กับความกลัว ความไม่แน่ใจ และความสงสัยในตัวเองว่าจะทำได้ไหมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผมต้องคิดคำนวณความเสี่ยงเกือบทุกวัน คิดจนถี่ถ้วนกว่าจะตัดสินใจลาออก
1
ซึ่งคนภายนอกอาจจะคิดว่าการที่ผมตัดสินใจลาออกมาคือ การแบกรับความเสี่ยง แต่สำหรับผมถ้าธุรกิจมันเติบโตได้ขนาดนี้แล้ว การยังทำงานประจำอยู่ดูจะเป็นความเสี่ยงมากกว่า สรุปคือ ผมไม่ได้กล้าเสี่ยง แต่ผมกำลังหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างหาก
นอกจากนี้ Adam Grant ยังบอกไว้ในหนังสือ Originals อีกว่า ถึงแม้คนภายนอกจะมองว่าคนที่ประสบความสำเร็จจะดูเป็นพวกกระหายความเสี่ยงมากแค่ไหน แต่อันที่จริงแล้วคนเหล่านั้นเป็นคนธรรมดายิ่งกว่าที่คุณคิดในทุกๆ ด้าน
คนสำเร็จไม่ใช่คนที่กระโดดออกไปโดยไม่มองทาง แต่เขาค่อยๆ เดินออกไปยังขอบหน้าผาอย่างลังเลใจ พร้อมทั้งคำนวณอัตราการร่วงหล่น ตรวจสอบร่มชูชีพอีกสามรอบ แถมยังกางตาข่ายนิรภัยไว้ที่ก้นเหวอีกต่างหาก
4
ใครที่กำลังเริ่มธุรกิจเป็นงานเสริมควบคู่กับการทำงานประจำอยู่ ก็ลองพิมพ์เข้ามาแชร์ประสบการณ์กันได้นะครับ ว่าเป็นยังไงกันบ้าง ?
1
เพราะการทำอะไรที่แตกต่างมักถูกผู้คน “ต่อต้าน” คนส่วนใหญ่จึงเลือกหนทางที่ปลอดภัยกว่า ด้วยการคิดและทำตามๆ กัน
1
แต่โลกไม่เคยจดจำคนที่ “เดินตามคนอื่น” ค้นหาคำตอบขององค์ประกอบของคนสำเร็จได้ไหม หนังสือ Original
“เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”
แต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน
ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ง่ายๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ
ได้ที่ Inbox เพจ #สมองไหล
โฆษณา