30 พ.ย. 2020 เวลา 09:30 • ความคิดเห็น
หลังจากที่ได้เข้าร่วมในงาน The Secret Sauce Club : Resilience ปัญญาล้มลุกไม่ได้มีคำตอบเดียว ไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ตามสัญญาว่า จะนำมาเล่าให้ทุกคนฟัง
1
ซึ่งจะขอเล่าเป็นเรื่อง ๆ นะครับ เพราะได้มาหลายเรื่องมาก อยากจะขยายแต่ละเรื่องให้เข้าใจกันได้มากขึ้น ได้เห็นภาพ จาก Case Study ต่าง ๆ ที่ได้ฟังมาด้วย
ค่อย ๆตามกันไปทีละตอน ทีละเรื่อง นะครับ
สำหรับตอนแรก ขอให้ชื่อว่า : สร้างบริษัทด้วยมาตรฐานโอลิมปิก
การจัดกิจกรรม​ครั้งนี้เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่​ ทาง​ The Secret Sauce ได้จัดในรูปแบบ​ นิกสถานที่แบบดี​ เพื่อเป็นการขอบคุณ​ผู้​ฟัง​ ที่ได้​ support โดยเสมอมา
ต้องบอกว่า​ น่าเสียดายเป็น​อย่างยิ่ง​ ที่คุณ​ ภิญโญ​ ติดธุระ​ด่วนกะทันหัน​ จึงไม่สามารถ​เข้าร่วม​กิจกรรม​ในครั้งนี้ได้​
บรรยากาศ​งานเป็นไปอย่างกันเองครับ​
ก่อนเริ่มงานมีอาหารและเครื่องดื่ม​ เตรียมพร้อมรอรับทุกคนที่มา
บรรยากาศงานเป็นการถาม-ตอบ​ ระหว่าง​ คุณ​เคน​ นครินทร์​ ที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรหลัก​ ถามคำถามแก่แขกรับเชิญ​ทั้ง​ 2 ท่าน
สำหรับในตอนแรกนี้
เรื่องราวนี้มาจากคำถามของคุณเคน​ นครินทร์ที่ถามว่า เราจะผ่านวิกฤตในปัจจุบันไปได้อย่างไร
ให้คำตอบโดย พี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ
โดยพี่โจ้ได้เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งในอดีตได้มีการพูดคุยกับโค้ชอ๊อดที่ทำหน้าที่เป็น เฮดโค้ช วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ว่าทำไมถึงสามารถยกระดับ วอลเลย์บอลหญิงของประเทศไทย ให้ก้าวเข้ามาสู่มาตรฐานสากลและลงแข่งในระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ได้คำตอบก็คือว่าแรกสุดเลยโค้ชอ๊อดได้มีการ ไปดูการฝึกซ้อมของทีมญี่ปุ่นแล้วก็ทีมจีน ทำให้เห็นได้ว่า มาตรฐานของการฝึกซ้อม ว่าทีมที่อยู่ในระดับโลกนั้นเป็นอย่างไร มีความแตกต่างมากแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยเอง
หลังจากนั้นจึงนำการฝึกซ้อมเหล่านั้น เข้ามาสู่ นักกีฬาของประเทศไทย ให้ทุกคนได้ฝึกซ้อมในมาตรฐานเดียวกับจีนและญี่ปุ่น จึงสามารถยกระดับ พัฒนาการ การเล่น ขึ้นมาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
พูดถึงเรื่องกีฬาจะเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่าการเตรียมความพร้อมหรือการฝึกซ้อมของนักกีฬาเพื่อแข่งในระดับซีเกมส์ กับการเตรียมความพร้อมของนักกีฬาเพื่อไปแข่งในระดับโอลิมปิก นั้นย่อมมีความแตกต่างกัน
ซีเกมส์มีการแข่งขันเพียงแค่ไม่กี่ประเทศในทวีปเท่านั้น ผิดกับการแข่งขันโอลิมปิก ที่ต้องเจอคู่แข่งขันระดับโลก หลากหลายประเทศ จึงทำให้การเตรียมตัวการฝึกซ้อมมีความแตกต่างกัน
พี่โจ้ก็เปรียบเทียบว่าบริษัทสตาร์ทอัพ หรือการให้บริการในประเทศของเรา หลายๆ อย่าง ส่วนมากนั้นเป็นเพียงแค่ในระดับซีเกมส์ แต่ที่สามารถเอาชนะตลาดและก้าวเข้ามาสู่ระดับต้นได้ ล้วนแล้วแต่มีมาตรฐานระดับโอลิมปิกด้วยกันทั้งนั้น
พี่โจ้ยกตัวอย่าง ของ 2 เคส ที่คนรุ่นใหม่ นำมาตรฐานระดับโอลิมปิกมาใช้แล้วประสบความสำเร็จ
1. ย่างเนย
ย่างเนยเป็นร้านหมูกะทะร้านหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 60 สาขาทั่วประเทศ และยังขยายสาขาอย่างต่อเนื่องยอดขายในแต่ละวันก็ยังขายดี เพราะอะไร จึงทำให้ร้านหมูกระทะ อย่างย่างเนย เติบโต ขึ้นมาแซงคู่แข่ง และก้าวขึ้นมาในระดับ ที่สูสีกับคนอื่นๆ ได้กัน??
สาเหตุหนึ่งก็คงเป็นเพราะ คุณไมค์ ธนะสิทธิ์ ผู้ก่อตั้ง ย่างเนย เขาใช้มาตรฐานแบบโอลิมปิกเข้ามา ช่วยในการบริหารเอง
เนื่องจากตัวเขาเองเคยฝึกงานอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาวมาก่อน จึงทำให้รู้ว่าการหาวัตถุดิบชั้นดีหาอย่างไร
กระบวนการขั้นตอนในการทำอาหารระดับพรีเมี่ยมเป็นแบบไหน รวมถึงการจัดการ เขาจึงนำสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับแบรนด์ของเขา และขายในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ สุดท้าย ก็ทำให้ประสบความสำเร็จในที่สุด
2. Flash express
ตอนนี้คิดว่า หลายๆคนน่าจะรู้จักชื่อนี้หรือผ่านหูผ่านตากันมาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะคนที่สั่งของออนไลน์ เรียกว่าเป็นบริษัทขนส่งเจ้าใหม่ ที่เข้ามาตีตลาดได้ไม่นาน แต่ก็ก้าวเข้ามาเป็น เจ้าหนึ่งที่เรียกส่วนแบ่งการตลาดได้พอสมควรในปัจจุบัน (หากใครไม่รู้มาก่อน นี่คือบริษัทขนส่ง สัญชาติไทย อย่างแท้จริง!!)
สาเหตุที่ทำให้ Flash Express ก้าวขึ้นมา อยู่ในลำดับต้นๆ ได้ก็คือผู้บริหารของ Flash Express คุณคมสัน นำเทคโนโลยจากจีนอย่าง Alibaba เข้ามาใช้ (โดยการทุ่มเงินซื้อตัวทีมงานของ Alibaba มาทำงานในบริษัทตัวเอง)
คุณคมสัน ทำงานด้านการขนส่งมานาน โดยเฉพาะในจีน จนสังเกตว่า การขนส่งในประเทศจีนนั้น มีจำนวนที่มากกว่าแถมอย่างรวดเร็วในประเทศไทยที่สำคัญราคายังถูกกว่า ทำไมเขาจึงทำได้ และได้ไปศึกษา และได้นำมาตรฐานเหล่านั้นมาใช้กับธุรกิจของเขาเอง
ด้วยมาตรฐานระดับโอลิมปิกที่ว่า ทำให้เขา สามารถก้าวขึ้นมาเป็น ที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว
จากตัวอย่างเราจะเห็นได้ว่าการที่เรานำมาตรฐาน ระดับโอลิมปิกมาใช้ในตลาดที่มีคู่แข่ง ระดับซีเกมส์ จะสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างง่ายดาย แต่การแข่งขันระดับโอลิมปิกที่มีคู่แข่งในระดับโอลิมปิกนั้นอาจจะทำได้เพียงแค่ก้าวขึ้นมาเพียงเป็นคู่แข่งกันเท่านั้น
ต้องไปวัดกันที่ข้ออื่น ซึ่งนั่นก็คือ ท่าไม้ตาย หรือ "ทีเด็ด" ตามภาษาของคุณ ธนินท์ เจียรวนนท์ นั่นเอง
ท่าไม้ตายคืออะไร??
ท่าไม้ตายคือ จุดแข็งของแบรนด์ หรือสิ่งที่เรามีแต่คนอื่นไม่มีนั่นเอง
ซึ่งความรุนแรงของท่าไม้ตายนั้น คงต้องวัดกันด้วยยอดส่วนแบ่งการตลาดที่ได้มานั่นเอง
ตัวผมเองพอฟังเรื่องนี้ก็นึกถึงแบรนด์ แบรนด์หนึ่ง นั่นก็คือศรีจันทร์ ของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ ที่ทำการรีแบรนด์ตัวเองสร้างมาตรฐานใหม่จากเครื่องสำอางระดับพื้นบ้านก้าวมาสู่เครื่องสำอางระดับ hi end ที่เจาะกลุ่มลูกค้าตลาดกลางถึงบนจนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน
ก็เป็นการนำมาตรฐานระดับโอลิมปิกเข้ามาใช้ในการทำงานของบริษัทนั้นเอง
จริงๆแล้วเรื่องของมาตรฐานโอลิมปิก นอกจากผู้การทำบริษัท ก็ยังรวมถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วยอย่างเช่นการทำงานในชีวิตประจำวันเป็นต้น ถ้าเราเป็นคนทำงานโดยมีมาตรฐานที่ดีและมาตรฐานที่สูง เหมือนกับโอลิมปิก ก็พลอยจะทำให้ ตัวเราเอง สูงตามไปด้วย
แต่หากทำตัวแค่มาตรฐานซีเกมส์ ก็คงประสบความสำเร็จแค่ในระดับต้นเพียงเท่านั้น
และสิ่งสำคัญที่พี่โจ้ ได้ทิ้งท้ายไว้ให้ก็คือ ถึงแม้การจะทำให้ตัวเองอยู่ในระดับโอลิมปิก นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น แต่สิ่งสำคัญและจำเป็นมากกว่านั้นก็คือการพาตัวเองให้ไปเจอประสบการณ์หรือพบเห็นมาตรฐานระดับโอลิมปิกเสียก่อนเพื่อที่จะนำมาตรฐานเหล่านั้นมาใช้ได้จริง
หาก หากรอบตัวยังมีเพียงมาตรฐานซีเกมส์ก็ไม่มีทางที่จะค้นพบมาตรฐานที่สูงกว่าเดิมได้แน่นอน ต้องพาตัวเองไปยังมาตรฐานใหม่ เพื่อยกระดับตัวเองให้ก้าวไปสู่ระดับโอลิมปิกนั่นเอง
สำหรับในตอนหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น รอติดตามกันต่อไปนะครับ แล้วพบกันในตอนที่2
โฆษณา