1 ธ.ค. 2020 เวลา 02:00 • ท่องเที่ยว
ประสบการณ์ 101 : นี่หรือ!?! เชียงใหม่ การเดินทางแบบที่พระเจ้าสั่งไว้ไม่ให้ขึ้นเขา
ตอนที่ 0 Plan C
“ไปขึ้นเขากันเถอะ ครบรอบปีที่ไปสุโขทัยพอดี เอาให้มันเป็นประเพณีของพวกเราเลยก็แล้วกัน”
นั่นคือสิ่งที่ผมหมายมั่นตั้งใจเอาไว้ และบอกกับเพื่อนเสียดิบดีในค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศไทย เพื่อนของผมคนหนึ่งตอบกลับมาในกรุ๊ปที่เราตั้งกันขึ้นมาเมื่อคราวไปขึ้นเขาหลวงสุโขทัยเมื่อคราวที่แล้ว “ก็ไปสิ เคลียร์เรื่องวันมา จะได้ลาถูก” ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไม่รีรอที่จะส่งลิงค์สถานที่ที่เป็นเป้าหมายของเขาในครั้งนี้มาให้ “ภูสอยดาว”
ตามแผนการแรกเริ่มเดิมที่ A นี้ เราจะออกเดินทางด้วยรถทัวร์ไปยังพิษณุโลกราว 8 ชั่วโมง โดยเริ่มเดินทางกันในช่วงเย็นครับ จากนั้น ติดต่อจ่าเอ๋สำหรับรถที่จะพาเราไปกลับระหว่างอุทยานภูสอยดาวและสถานีขนส่งพิษณุโลก ซึ่งกินเวลา 3 ชั่วโมงครับ (เวลามาตรฐานที่ทางจ่าเอ๋แนะนำคือ ขึ้นรถจากขนส่งก่อนตีห้า ดังนั้นควรนั่งรถทัวร์โดยรอบเวลาไม่เกินสี่ทุ่มครับ) โดยราคาค่างวดในการเดินทางของจ่าเอ๋นั้น จะอยู่ในช่วงราคา ไม่เกิน 600 บาทสำหรับการไปกลับครับ แต่เนื่องจากเราดันไปเจอสถานที่น่าสนใจเป็นหมู๋บ้านเล็กๆ น่ารักๆ อย่าง บ้านน้ำจวง ที่มีบริการที่พักสไตล์โฮมสเตย์ในราคาคนละ 600 บาทซึ่งรวมมื้ออาหารสองมื้อไว้ให้ด้วยแล้ว เราเลยตกลงกับจ่าว่าจะให้ไปส่งเราบริเวณปากทางเข้าหมู๋บ้าน แล้วเราก็ได้ทำการจ้างคนในหมู่บ้านผ่านทาง Facebook ของหมู่บ้าน ในราคา 1500 บาทครับ ในการเดินทางเข้าไป สัมผัสอากาศเย็นๆ บนที่ราบสูงกัน
คุณผู้อ่านอาจจะงงงวยว่าชื่อทริปมันคือไปเชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ ก็ใช่แล้วละครับ เราคงได้ไปภูสอยดาว แล้วกลับลงมาแวะพักที่ บ้านน้ำจวง ที่ได้ชื่อว่า ซาปา เมืองไทยกันไปแล้วหล่ะ ถ้าหากว่า พายุที่มีชื่อว่า โนอึล ไม่เข้าพัดถล่มทลายจนต้นสนบนเขาสวยอย่าง ภูสอยดาว ลื่นหล่นล้มลงมาจนต้องปิดอุทยานอย่างไม่มีกำหนดซะอย่างนั้น
“พระเจ้าคงกำลังบอกกับพวกเราว่า พวกเจ้ายังไม่พร้อมสำหรับเขาที่ความสูง 2102 เมตรหรอกน่า”
“เขาลูกนี้ไม่พร้อมใช่ไหม งั้นเราไปแม่ฮ่องสอนกันเลยละกัน” แผน B นี้เกิดขึ้น 3 วันก่อนการเดินทาง การจะไปให้ถึงแม่ฮ่องสอนนั้นยากมากสำหรับคนขับรถยนต์กันไม่เป็น ดังเช่นพวกเราสามคน เราจะต้องออกเดินทางด้วยรถทัวร์ รถไฟ หรือนั่งเครื่องไปลงยังเชียงใหม่ แล้วนั่งรถตู้ต่อไปยังแม่ฮ่องสอนอีกราวห้าชั่วโมง จากนั้น การจะเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เราต้องพึ่งพาการเดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซต์เช่า สุดท้ายด้วยความยุ่งยากเหล่านี้ เราเลยร่นจากที่ต้องเดินทางไปเชียงใหม่ก่อนแล้วค่อยต่อรถตู้ไปแม่ฮ่องสอน ให้กลายเป็น แผน C เดินทางไปเชียงใหม่ แล้วไปลุยกันที่นี่เลยแล้วกันเนอะ
แล้วทริปการเดินทางประจำปีของพวกเราที่เชียงใหม่ ก็เริ่มต้นขึ้นง่ายๆ อย่างนี้นี่เองละครับ
การเดินทางไปเชียงใหม่นั้น มีหลากหลายวิธีสารพัดนึกมากๆ เราลองชั่งความคุ้มค่าเอาไว้ ทั้งการเดินทางด้วยรถทัวร์ ด้วยราคาราวๆ 800 บาท นั่งจากสถานีขนส่งหมอชิต ตอนเย็นวันพุธหลังเลิกงาน ไปโผล่ที่อาเขต ซึ่งเป็นท่าจอดรถที่เชียงใหม่ในยามเช้าอีกวัน ก็ดูจะเป็นทางเลือกประหยัดๆ ทางหนึ่งที่อาจจะเมื่อยก้นอยู๋หน่อยๆ แต่ขอยืนยันว่า สมบัติทัวร์ VIP ราคานี้ นั่งสบายมากๆ เก้าอี้นั่งมีที่รองค่อให้เสร็๗สรรพ พร้อมทีวีส่วนตัว และการปรับเอนเบาะสุดทาง หมอนและผ้าห่มก็พร้อม อยากให้คุณผู้อ่านได้ลองพิจารณาเป็นทางเลือกเอาไว้ครับ
หรือไม่เช่นนั้น สายชิลล์จะนั่งรถไฟตู้นอนกันไป ในราคา พันต้นๆ ก็อาจจะน่าสนใจสำหรับสายค่อยเป็นค่อยไป แต่เพื่อนผู้รักในการหาโปรโมชั่น ดันไปเจอของดีใน Line TravelGo ซึ่งรับจองตั๋วเครื่องบินในราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่นมาได้ สุดท้ายแล้ว เราจึงได้ไฟลท์ สุวรรณภูมิ - เชียงใหม่ แบบไปกลับกันรอบดึก มาในราคา 1355 บาท ตกต่อเที่ยวคนละ 600 กว่าบาทเท่านั้นเอง นี่มันถูกเสียยิ่งกว่า รถทัวร์หรือรถไฟอีกนะ การจองตั๋วเที่ยวบินที่ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 20 นาทีในครั้งนี้กลายเป็นชัยชนะแรกที่น่าภาคภูมิใจของเราไปซะอย่างนั้นเลยละครับ
ขยับจากตั๋วเครื่องบินก็คือเรื่องของที่พักโรงแรม แผนการของพวกเราคือ เดินทางไปเชียงใหม่จากสุวรรณภูมิ โดยออกเดินทางในช่วงกลางคืน ทำให้เราต้องจองโรงแรมไว้หนึ่งคืน ก่อนจะเปลี่ยนผ่านไปเป็นการเดินทางขึ้นไปยัง ดอยแม่โถ ในอำเภอ ฮอด เพื่อไปตั้งแค้มป์บนยอดดอยหนาวๆ กินหมูกระทะร้อนๆ กัน แล้วกลับลงมานอนโรงแรมเที่ยวในเมืองกันอีกวัน โดยการจับจองดอยแม่โถนั้น พวกเราก็ได้จัดแจงโทรไปจอง รถ 4WD สำหรับเดินทางขึ้นไปบนดอยพร้อมไกด์นำทางสู่ยอดดอยในราคา 1500 บาท ซึ่งหารสามตกคนละ 500 ก็ถือว่าไม่เลวร้ายเลย มีค่าเต้นท์ที่พักอีกหลังละ 300 บาท โดยรวมแล้วดูไปได้สวยมากๆ เลยหล่ะ
สำหรับการจองไกด์และรถสำหรับเดินทางขึ้นไปยังดอยแม่โถนั้น จากการหาข้อมูลมาได้ ก็พบว่า คุณผู้อ่านสามารถเข้าจองได้ผ่านทางเบอร์นี้เท่านั้น 061-312-6106 หรือไปติดต่อทางเพจทางการ ได้เลยครับ ปลายสายใจดีสุดๆ มีพร้อมทุกอย่างยกเว้นการเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ที่เราสามารถใช้วิธีทั้งการเช่ารถขับไปกลับในราคาราวๆ 2500 บาท รถแท็กซี่ที่ราคา 3000 บาทแบบไปถึงที่ หรือเลือกไปแค่อำเภอฮอดในราคาราว 1200 บาท แล้วต่อรถเข้าหมู่บ้านอีกทีหนึ่ง หรือเลือกนั่งรถประจำทางจากสถานีขนส่งช้างเผือก (ขอเน้นย้ำตรงนี้เลยว่า ถ้าจะไปอำเภอฮอดที่ตั้งของดอยแม่โถด้วยวิธีนี้ จะต้องไปที่สถานีช้างเผือกเท่านั้น) และการการเดินทางด้วยรถตู้ที่อาเขตครับ
หลังจากที่พวกเราจัดแจงเรื่องที่พัก การเดินทางต่างๆ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแต่เพียงการจัดกระเป๋าและออกเดินทางไปก็เท่านั้นเอง พวกเราพากันนั่ง Airport Rail Link จากสถานีพญาไทในยามเย็นที่ผู้คนกำลังเลิกงาน มุ่งตรงไปสู่สนามบินสุวรรณภูมิกันอย่างตื่นเต้นในใจ การไปเชียงใหม่ครั้งนี้ จะทำให้ลืมภาพความผิดหวังจากการที่ไม่ได้ภูสอยดาวได้หรือไม่กันนะ
การเดินทางครั้งนี้สำหรับผมต่างกับที่ผ่านมาอยู่หลายส่วนมากๆ แผนการครั้งนี้แน่นหนาเสียจนแน่ใจว่าเราจะได้ในสิ่งที่ใฝ่หา แต่ก็นั่นแหละครับคุณผู้อ่าน ทุกการเดินทาง อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาปาปริก้า….
โฆษณา