Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ
•
ติดตาม
4 ธ.ค. 2020 เวลา 07:03 • การศึกษา
เราทราบหรือไม่ว่า “สมาธิ” คืออะไร แล้วมีวิธีการปฏิบัติอย่างไรให้สามารถทำสมาธิได้ดี ประโยชน์ต่างๆ ที่ได้จากสมาธิคืออะไร การนั่งสมาธิกับสมถ-วิปัสสนากรรมฐาน มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
1
สมถ-วิปัสสนากรรมฐาน
สมถกรรมฐาน คือ “สมาธิ” และ วิปัสสนากรรมฐาน คือ “ปัญญา” หากกล่าวถึงในแง่หลักการ สมถ-วิปัสสนากรรมฐานเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกัน โดยเริ่มต้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฝึกสมถกรรมฐานก่อน “สมถะ” แปลว่า “การทำใจให้เป็นสมาธิ ให้ใจนิ่ง ใจสงบ” ซึ่งเป็นเป้าหมายของสมถกรรมฐาน
“วิปัสสนา” คือ เมื่อฝึกสมถกรรมฐานจนใจสงบกระทั่งเกิด “ญาณทัสนะ” แล้วอาศัยญาณทัสนะนี้ ไปรู้ ไปเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เช่น ระลึกชาติได้ เห็นการไปเกิดมาเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เห็นไตรลักษณ์ เห็นอริยสัจ เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่การนึกเอาธรรมดา
“วิปัสสนา” ศัพท์นี้มาจากคำ 2 คำ คือ
1
“วิ” แปลว่า “วิเศษ, แจ้ง, ต่าง”
4
และ “ปัสสนา” หรือ “ทัสสนา” แปลว่า “การเห็น”
แปลรวมกันว่า “การเห็นอย่างวิเศษ” ให้เราสังเกตว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงใช้คำว่า “ความคิด” แต่ใช้คำว่า “ความเห็น” คือคำว่า “ปัสสนา” วิปัสสนาจึงเป็นการเห็นอย่างวิเศษ
“เห็นอย่างวิเศษ” คือ ไม่ต้องคิด แต่ให้ทำสมาธิให้ใจนิ่งจนเกิดญาณทัสนะ แล้วอาศัยญาณทัสนะไปเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นการเห็นด้วยใจอย่างแจ่มกระจ่าง
ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ระลึกชาติไปดูก็ได้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ เรียกว่า “วิปัสสนา” ถ้าเป็นการคิดเอา เราไม่เรียกว่า “วิปัสสนา” แต่เป็น “วิปัสสนึก” คือ เป็นเพียงการนึกเอาเท่านั้น
เมื่อเห็นแจ้งถึงสิ่งต่างๆ แล้วเราจะสามารถลดกิเลสในใจได้จริงๆ แต่สำหรับผู้ที่ “วิปัสสนึก” ใช้การคิดเอา เช่น คิดว่าสังขารเรา ตอนนี้ดูเป็นหนุ่มเป็นสาว อีกหน่อยก็ต้องแก่เฒ่า แล้วหมดสภาพไป มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
พอนึกเสร็จเรียบร้อยไม่นานก็ลืม พอไปเจอสาวๆ สวยๆ หรือเจอหนุ่มๆ หล่อๆ ก็หลงใหลชอบพอ เขาเข้าอีก เพราะว่าเป็นแค่ “วิปัสสนึก” ยังไม่ใช่ขั้น “วิปัสสนา”
ถ้าเป็นวิปัสสนาจริงๆ จะต้องเป็นการเห็นอย่างวิเศษ เห็นชัดๆ โดยไม่ต้องคิด ทั้งนี้ต้องฝึกสมถกรรมฐานก่อน ให้ใจเป็นสมาธิจนเกิดญาณทัสนะ แล้วก็เจริญวิปัสสนาต่อเนื่องไป กิเลสก็จะค่อยๆ ร่อนหลุดจากใจ จนกระทั่งใจหมดกิเลสในที่สุด นี่คือหลักการสมถะ- วิปัสสนาซึ่งจะปฏิบัติต่อเนื่องกัน
คนทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจคำว่า “สมถะ” “วิปัสสนากรรมฐาน” อย่างลึกซึ้งมากนัก มักมีความรู้สึกว่าเวลาที่ตนได้ไปทำสมาธินั้น คือ การไปวิปัสสนา แต่ไม่ว่าจะใช้คำว่าอะไร หรือถนัดการปฏิบัติธรรมแบบไหน
บ้านอยู่ใกล้สถานที่ใด สะดวกแบบใด อะไรที่ชอบ ถูกอัธยาศัยก็ให้ไปปฏิบัติได้เลย เพราะยังดีกว่าไปดื่มเหล้าเมายา ให้เราเข้าวัดที่ตัวเองชอบ ตั้งใจสวดมนต์ ทำสมาธิ จะเรียกว่า สมถะหรือวิปัสสนาก็ได้ตามความถนัด ที่สำคัญเราอย่าไปโจมตีให้ร้ายกันว่าสำนักนี้ดี สำนักนั้นไม่ดี การโจมตีกันอย่างนี้ไม่ดี ผิดหลักพระพุทธเจ้า
ปัญหาสังคมในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้คนเข้าวัดกันมากเกินไป จนต้องมานั่งทะเลาะกันว่าควรจะไปปฏิบัติธรรมที่ไหนดี แต่ปัญหาคือ คนเข้าวัดน้อยเกินไป และหมกมุ่นอยู่ในอบายมุขมากเกินไป
เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่วัดทุกวัด หรือชาวพุทธทุกคนที่สนใจการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว อย่าได้เสียเวลามาทะเลาะกันเลย ให้เอาเวลาไปสู้กับกิเลสในใจคน หาวิธีการว่าเราจะไปสู้กับอบายมุขอย่างไรจะดีกว่า
โดยทุ่มเทความคิด สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ ช่วยกันดึงผู้คนออกมาจากกองอบายมุข จากเหล้า บุหรี่ ยาบ้า การพนัน แล้วมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม เรื่องที่จะเข้าวัดไหน ปฏิบัติอย่างไร ชอบแบบไหนก็ให้ทำไปเลย ถ้าทุกคนชวนกันทำความดีอย่างนี้ ไม่ช้าไม่นานสังคมโดยรวมก็จะดีขึ้นตามลำดับ
ลำดับขั้น สมถ-วิปัสสนากรรมฐาน
ถ้าเราลงรายละเอียดการทำสมาธิ สมถ-วิปัสสนากรรมฐาน จะมีลำดับขั้นของมัน แต่ว่าหลักสำคัญ คือ ต้องระวังอย่าไปเหมาเอา ความรู้จำหรือความรู้คิดว่าเป็นความเห็นแจ้ง คือ บางคนเป็นนักศึกษา อ่านหนังสือมามากก็จะรู้ว่าวิปัสสนานั้นจะต้องมีขั้น 16 ขั้น เรียกว่า ญาณ 16 (โสฬสญาณ) เป็นญาณที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญวิปัสสนาโดยลำดับ ตั้งแต่ต้นจนถึงจุดหมาย คือ มรรคผลนิพพาน เวลาปฏิบัติก็นั่งคิดเอา ว่าตอนนี้ตนคงจะถึงญาณขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว
ซึ่งนั่นเป็นความ “รู้จำ ไม่ใช่รู้แจ้ง” หลักสำคัญ คือ ตราบใดที่ยังใช้ความจำความคิดอยู่ แสดงว่านั่นยังไม่ใช่ขั้นวิปัสสนา จะเป็นวิปัสสนาได้จริงๆ ต้องพ้นขั้นตอนของการจำการคิด ไปสู่ขั้นตอนของการเห็นแจ้งนั่นเอง
ปัญญามีอยู่ 3 ระดับ
1. สุตมยปัญญา คือ
ปัญญาขั้นต้นที่เกิดจากการอ่านหรือการฟัง โดยไปอ่านหนังสือมา หรือไปฟังใครเขาพูดมา แล้วจำได้ เรียกว่า “รู้จำ” เป็นปัญญาขั้นต้น
2. จินตามยปัญญา คือ
ปัญญาที่เกิดจากการคิด อ่านหรือฟังมาแล้วก็คิดทบทวน ตรึกตรอง ทดลอง ค้นคว้าจนเข้าใจ เรียกว่า “รู้คิด” หรือความรู้จากการคิด มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
3. ภาวนามยปัญญา คือ
ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิ ภาวนาจนเกิดญาณทัสนะ และอาศัยญาณทัสนะเห็นแจ้งสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เรียกว่า “รู้แจ้ง” หรือ “เห็นแจ้ง” เป็นปัญญาที่จะนำเราไปสู่การตรัสรู้ธรรมได้ เป็นปัญญาขั้นสูงสุด ไม่ใช่การคิด แต่ใช้การเห็นแจ้ง
วิปัสสนาเป็นขั้นภาวนามยปัญญา จะต้องไม่ใช้การคิด เมื่อใดยังใช้ความคิดอยู่แสดงว่ายังอยู่ในขั้นจินตามยปัญญา ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ต้องข้ามความคิดไปจนเป็นขั้นตอนของการเห็นแจ้งไปตามความเป็นจริงด้วยญาณทัสนะ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่า “วิปัสสนา คือ การเห็นอย่างวิเศษ” นั่นเอง
2
เราต้องเข้าใจตรงนี้ อยากรู้ว่าเราเข้าสู่ขั้นตอนการวิปัสสนาหรือยัง ให้เราตรวจสอบตัวเองว่า เรายังใช้ความคิดอยู่หรือเปล่า ถ้ายังใช้ความคิดอยู่แสดงว่ายังไม่ใช่วิปัสสนา เป็นแค่วิปัสสนึก
คนทั่วไปอาจจะสงสัยว่า เราไม่ได้นอนหลับจะให้ไม่คิดเลยนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร นั่นเป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยมีประสบการณ์ในขั้นตอนนี้ แต่ถ้าทำใจเป็นสมาธิให้นิ่งๆ ถึงจุดเมื่อใด เราก็จะก้าวพ้นจากขั้นตอนของความคิดไปสู่ขั้นตอนของการเห็น ซึ่งเป็นปัญญา ความรู้ที่เกิดขึ้นจากความเห็นแจ้งภายในโดยไม่ใช้ความคิดเลย
อธิบายอย่างนี้แล้ว บางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจ ขอยกตัวอย่าง ถ้ามีเต่าไปอธิบายให้ปลาฟังว่าข้างบนบกมีลมพัดมาพลิ้วๆ เย็นสบาย เมื่อปลาได้ฟังแล้วก็ชักมึน บอกว่าลมพัดพลิ้วๆ นี่มันเหมือนกับกระแสน้ำมาโดนตัวหรือไม่ เต่าจึงตอบว่าไม่เหมือน ปลาสงสัยบอกว่าแล้วมันอย่างไรล่ะ
1
หากไม่เหมือนน้ำมาโดนตัวแล้วมันเหมือนอะไร เต่าอธิบาย ว่ามันจะรู้สึกโล่งๆ พลิ้วๆ ไงล่ะ ปลานึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เพราะในความจริงแล้ว หากเราจะนึกเข้าใจอะไรได้นั้น ต้องอาศัยประสบการณ์ที่ตัวเองเคยพบเจอนำมาเปรียบเทียบ แต่ในชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมาปลายังไม่เคยอยู่บนบกเลย ไม่ว่าเต่าจะอธิบายอย่างไร ปลาฟังแล้วก็ไม่สามารถเข้าใจได้
3
ดังนั้น ในเบื้องต้นให้เราเข้าใจโดยภาพรวมอย่างนี้ก่อน แล้วตั้งใจปฏิบัติ ทำสมาธิต่อไปให้ดี เมื่อถึงจุดเราจะพบจากประสบการณ์ของตัวเราเองว่า วิปัสสนา “การเห็นอย่างวิเศษ” ที่ไม่ใช่ “การนึกคิด” นั้นเป็นอย่างไร
1
สรุปในขั้นต้นโดยหลักการก็คือ ไม่ว่าใครจะปฏิบัติอย่างไรก็ขอให้ปฏิบัติเถิด แล้วก็ให้ชักชวนกันมาปฏิบัติธรรมมากๆ สุดท้ายภาพรวมของสังคมก็จะดีขึ้น ที่สำคัญ คือ เมื่อปฏิบัติแล้วอย่าไปติดทิฐิ ติดสำนักอาจารย์ แล้วมุ่งโจมตีให้ร้ายกัน
จะกลายเป็นว่า เข้าวัดแล้วแบกบาปเข้าไปด้วยโดยไม่รู้ตัว กรณีต่างศาสนากันเรายังไม่ว่าร้ายกันเลย แล้วจะมาว่าร้ายคนในศาสนาเดียวกันนั้นไม่ควรอย่างยิ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสั่งว่า “อนูปวาโท” คือ “ห้ามว่าร้ายใคร” เราจึงไม่ควรว่าร้ายกัน เพราะผิดหลักการในพระพุทธศาสนา
2
เจริญพร
6 บันทึก
21
5
16
6
21
5
16
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย