13 ธ.ค. 2020 เวลา 00:50 • หนังสือ
สรุปหนังสือ | หนังสือเสียง 8 | คิดแค่หนึ่งแต่ได้ผลร้อย
ผู้เขียน #โมะริกะวะ อะกิระ อดีต CEO แอพพลิเคชั่น Line เป็น 40 มุมมอง 40 แนวคิดที่ทรงคุณค่ามากที่ ทำให้ Line ขึ้นมาผงาดเป็นแนวหน้าขึ้นมาได้อย่างไร มีติดตามกันค่า
องศาที่หายไปจะสรุปให้ฟัง
หนังสือเสียง https://youtu.be/3d5iyXk6DK0
จูลอยากจะบอกว่าหนังสือเล่มนิดเดียวแต่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาจริงๆ เป็นหนังสือที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังถึงแนวคิดในการทำให้ line เกิดขึ้นและดังขึ้นมาเป็นที่ต้องการของลูกค้าได้อย่างไรในเวลาอันสั้น และมีคู่แข่งมากมายในสมัยนั้น
....แก่นแท้ของการทำธุรกิจคือการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าให้ได้อย่างต่อเนื่อง
....เวลารับพนักงานให้เลือกคนที่มีไฟในการทำงาน และสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ จากนั้น สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เขาปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่
....ความกลุ้มใจ คือ สัญญาณที่บอกว่าเรากำลังสับสน เรื่องนี้ก็สำคัญ เรื่องนั้นก็สำคัญแต่เราทำได้ทีละอย่างเท่านั้น เพราะฉะนั้นหาแก่นแท้ให้เจอ อย่ามัวสนใจคุณค่าที่เปลือกนอก
40 แนวคิดของคุณโมะริกะวะ อะกิระ
1. ไฟในตัวเป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จ
ภารกิจสำคัญที่สุดคือการทุ่มเทเพื่อผู้ใช้บริการ
....ถามตัวเองว่าสิ่งที่จำเป็นในเวลาแบบนี้คืออะไร จะเห็นว่าบริการแบบไหนผู้คนกำลังต้องการ รีบทำให้เป็นรูปเป็นร่าง และส่งถึงมือผู้ใช้ให้เร็วที่สุด
....หน้าที่ประธานบริษัทคือ มอบหมายงานให้กับคนที่เชี่ยวชาญ เลือกพนักงานที่มีไฟในตัวเข้ามาทำงาน กำจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ไว้ให้พร้อมจะสามารถรักษาไฟในตัวของพนักงานให้เขาจดจ่อกับงานได้อย่างเต็มที่
2. แก่นแท้ที่เรียบง่ายของการทำธุรกิจคืออะไร
ธุรกิจคือห่วงโซ่ของการจัดหากับความต้องการ
....ข้อดีของการกังวลเรื่องอนาคตทำให้เราพยายามมองไปข้างหน้าได้ไกลที่สุดเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างฉับไว
....ไม่ว่าผู้คนต้องการสิ่งใด คนที่สามารถจัดหาสิ่งนั้นให้พวกเขาได้ก็จะอยู่รอดถึงแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป
....เราต้องหมั่นลับสายตาให้แหลมคมเพื่อที่จะได้มองออกว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้คนกำลังต้องการจริงๆ ขัดเกลาความรู้ด้านเทคโนโลยีที่ใช้สร้างสิ่งนั้นให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
....การจดจ่อกับความต้องการของผู้คนเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะช่วยให้เราไม่ต้องวิตกกังวลกับความไม่แน่นอนของโลกปัจจุบัน
....อย่ายึดติดกับการแสวงหาความอุ่นใจโดยเลือกทำงานกับบริษัทใหญ่ เชื่อฟังเจ้านาย พยายามดิ้นรนให้ได้เลื่อนตำแหน่ง เราจะถูกกำจัดออกในสักวัน
3. ธุรกิจไม่ใช่การแข่งขัน
จับจ้องไปที่ผู้ใช้บริการ ไม่ใช่คู่แข่ง
....แก่นแท้ของการทำธุรกิจน่าจะคล้ายกับการเล่นดนตรี ผู้ฟังต้องการฟังดนตรีแบบไหน และ จะเล่นดนตรีอย่างไรให้ออกมาไพเราะ
....การจดจ่อกับการแข่งขัน การต่อสู้ ทำให้เราหลงทาง จดจ่อกับลูกค้าน้อยลง ลูกค้าอยากฟังดนตรีเพราะๆเท่านั้น
4. การบริหารไม่ใช่การควบคุม
ความเป็นอิสระคือบ่อเกิดของนวัตกรรม
....การควบคุมเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม เพราะพนักงานไม่สามารถดึงจุดแข็งของตัวเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
....บริษัทโซนี่สร้างนวัตกรรมออกมามากมาย เพราะให้อิสระแก่พนักงานที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองได้อย่างอิสระและทำวิจัยโดยใช้ทรัพยากรของบริษัทได้ตามใจชอบ...เกิด WalkManและสามารถร่วมมือกับโครงการต่างๆที่เห็นตรงกันได้
....นวัตกรรมเกิดขึ้นได้เพราะมนุษย์ไม่มีระบบ ...สร้างสภาพแวดล้อมให้พนักงานทำงานอย่างมีชีวิตชีวา
5. อย่ามองเรื่องเงินเป็นหลัก
จดจ่อกับการสร้างผลิตภัณท์ที่มีคุณค่า
....บริษัทก่อตั้งเพื่อนำเสนอผลิตภัณท์ที่มีคุณค่าให้สังคม กำไรจะเข้ามาเอง ผลิตภัณท์อยู่ได้ยาว ต้องทำให้คนรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป ..ทำให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ใช้
...ให้ความสำคัญกับความรักที่มีต่อลูกค้า และ ความรักที่มีต่อผลิตภัณท์ คือหัวใจของความสำเร็จ
6. บุคลากรคือตัวกำหนดทุกอย่างของบริษัท
คนเจ๋งๆจะดึงดูดคนเจ๋งๆเข้ามา
....วัฒนธรรมองค์กรจะเป็นอย่างไร บริษัทจะรุ่งเรือง ตกต่ำ ล้วนถูกกำหนดด้วยลักษณะของคนที่เข้ามาทำงานในบริษัท
....เงื่อนไขของการรับคนนอกจากดูความสามารถ ประสบการณ์แล้ว ยังต้องสนใจทัศนคติ การใช้ชีวิตของคนนั้นด้วย หากถามว่า อยากทำงานแบบไหน มีความฝันอะไรที่อยากให้เป็นจริงบ้าง คุณจะทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ยังอยากพัฒนาและเติบโตต่อไปอีกไหม ให้ดูว่าดวงตาเขาเปล่งประกายแค่ไหนเวลาตอบ
(คนที่ต้องการเงิน ตำแหน่งที่สูงขึ้น ชื่อเสียงของบริษัท จะไม่ได้รับเลือกให้เข้ามาทำงาน)
....เวลาสัมภาษณ์จะไม่ได้พูดข้อดีของงานอย่างเดรยว จะบอกถึงความยากลำบากของงานด้วย คนไม่กลัว มีไฟในตัว จะดึงดูดมาก และต้องให้คนเจ๋งจากแผนกนั้นมาร่วมเป็นกรรมการสัมภาษณ์ด้วย พวกเขาจะมีสัญชาตญาณในการมองทะลุเห็นธาตุแท้ ซึ่งเป็นอาวุธที่ทรงพลังมาก
7. วิ่งเข้าไปหางานเอง
เปลี่ยนสิ่งที่อยากทำให้กลายเป็นงาน
....คนที่เห็นว่างานน่าสนุก อยากใช้ความสามารถตนเองให้เป็นประโยชน์ คนแบบนี้แหล่ะจะพัฒนาศักยภาพของตนเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
....ทำงานที่ได้รับมอบหมาย จะไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ทนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำไปเรื่อยๆ (ตั้งรับ รอให้งานเข้ามา)
....ทำงานที่อยากทำ คือมีความสุข กระตือรือร้น สร้างผลงานได้อย่างง่ายดาย กำหนดได้ด้วยตัวเอง (ลองทำสิ่งที่อยากทำจากงานเล็กๆก่อน เมื่อเรียนรู้จากการลงมือทำ จนสร้างผลงานออกมา ก็จะได้งานที่อยากทำ เรื่องดีๆก็จะเข้ามาในชีวิต
1
8. อย่าหวังเงิน ชื่อเสียง
ทำงานในบริษัทที่ตัวเองรู้สึกว่าได้เติบโตขึ้นตลอดเวลา
....การทำงานโดยอาศัยเงินกับชื่อเสียงเป็นแรงขับเคลื่อนเป็นสิ่งที่อันตราย เพราะจะพยายามรักษาไว้จนไม่สามารถทำสิ่งใหม่ๆที่ท้าทาย สุดท้ายจะหยุดพัฒนาตนเอง
....การใช้ชีวิตที่ยึดติดกับเงิน ชื่อเสียง เหมือนกับการใช้ชีวิตอยู่ในสวนสัตว์ที่มีคนมาคอยป้อนอาหารให้
9. งานหนักเป็นเรื่องธรรมดา
ความสุขของมืออาชีพเกิดขึ้นได้เมื่อได้เห็นผลงานออกมา
....จดจ่อความต้องการของลูกค้า สร้างความพึงพอให้ให้ลูกค้า ทุ่มเททำงานหนักเพื่อผลิตภัณท์ที่ยอดเยี่ยม และไม่ผิดพลาด การได้รับแรงกดดันอันหนักทั้งร่างกายและจิตใจ สิ่งเหล่านี้เรียกว่างาน
....เรายอมเหนื่อยล้า เผชิญภาระอันหนักอึ้งแต่ละวันอย่างใจเย็น เมื่อสร้างผลงานได้ จึงสัมผัสกับความสุข พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ได้มาเพื่อความสุข นี่แหล่ะคือมืออาชีพ
(ความสุข เกิดจากเวลาที่ผู้คนมีความสุขจากงานที่ทำ รู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับและมีคุณค่า)
10. ใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตนเอง
อย่ายอมให้บริษัทหรือหัวหน้าจูงจมูก
....คนเจ๋งๆมีเหมือนกัน คือ ทุกคนใช้ชีวิตโดยทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ ใช้ชีวิตตามความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง เพราะพวกเขายังมีความสดใสในวัยเด็กเหลืออยู่
....การทำสิ่งที่ชอบจริงๆย่อมสร้างผลงานที่ดีได้ การคลั่งไคล้ในบางสิ่งช่วยให้รู้ทั้งจุดเด่นและจุดด้อย
....เวลาจะอนุมัติโครงการจะดูว่ามีการใส่ความรู้สึกที่แท้จริงด้วยหรือไม่ โดยมีความรู้สึกว่าโครงการนี้น่าสนุก โครงการนี้พลาดไม่ได้นะ
11. อย่าใส่ใจคนรอบข้าง
สิ่งที่ควรกลัวคือผู้ใช้บริการ ไม่ใช่คำวิจารณ์ในที่ทำงาน
....การสร้างผลงานที่ดี ห้ามเอาไอเดียสารพัดมาประกอบเข้าด้วยกัน คนเจ๋งๆ จะไม่ใส่ใจว่าคนรอบข้างคิดและรู้สึกอย่างไร แต่เขาจะกลัวการสร้างผลิตภัณท์ที่คลาดเคลื่อนไปจากความต้องการของลูกค้า
12. ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคือตัวอันตราย
อย่าหลงลืมแก่นแท้ของสิ่งที่กำลังทำอยู่
....ถาม แรกเริ่มเดิมทีสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ อะไรคือแก่นแท้ เช่น ผลิตเกมเพื่อความสนุกไม่ใช่กราฟฟิกตระการตา
13. ฝึกฝนจากการไม่มีอะไรเลย
การขาดแคลนทรัพยากรทำให้คนเราคิดได้เฉียบคมขึ้น
....เมื่อขาดแคลนทรัพยากร เราจำเป็นต้องเค้นสติปัญญาที่มีอยู่ หาทางสร้างผลงานออกมาให้ได้ หาหนทางและลองผิดถูกไปเรื่อยๆ จะช่วยลับคมทักษะการทำงานของเราและช่วยให้เราแกร่งขึ้น
....คนเราจะเติบโตได้มากกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพยากร
....ขณะที่กำลังลองผิดถูกไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มเชื่อมั่นมากขึ้นว่า ถึงมีทรัพยากรไม่พอ เราก็สามารถทำให้สำเร็จได้ ความเชื่อมั่นนี้ เป็นบ่อเกิดความมั่นใจในตัวเองของคนทำธุรกิจ
14. ขบคิดจนกว่าจะมั่นใจ
ถ้าขบคิดมาเป็นอย่างดี ต่อให้ล้มเหลวก็สามารถใช้เป็นรากฐานของความสำเร็จได้
....ความล้มเหลวที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของคนเราคือ การกลัวล้มเหลวจนไม่กล้าลงมือทำอะไรสักอย่าง
....ถึงจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไร ไม่ควรคิดแบบนี้ เพราะเสียมารยาทกับลูกค้า คนที่ลงทุน เป็นการทำงานแบบไร้ความรับผิดชอบ คนเจ๋งๆจึงเข้มงวดกับตัวเอง และ คนอื่น เพื่อป้องกันการล้มเหลว
....เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าแผนของเรา จะสำเร็จหรือไม่จนกว่าจะได้ลงมือทำ การสร้างผลิตภัณท์ใหม่จึงเปรียบเสมือนการวางเดิมพัน ไม่ยอมอะลุ้มอล่วย พยายามทุกวิถีทางจนกว่าจะมั่นใจว่ามันจะประสบความสำเร็จแน่นอน
....อาศัยการคิดด้วยเหตุผลเหมือนกับตกปลาที่ตั้งสมมติฐานว่าปลาน่าจะอยู่บริเวณนี้ แล้วค่อยๆตรวจสอบ บีบให้แคบลง จะจับปลาได้อย่างแน่นอน
....การตั้งสมมติฐานอย่างแม่นยำ คือการขบคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกระทั่งมั่นใจสุดๆ เมื่อฝึกคิดรอบคอบแล้วก็ฝึกคิดอย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์
15. สนุกไปกับเรื่องน่ากังวลเพราะอนาคตไม่แน่นอน
โอกาสจึงมีอยู่อย่างไร้ขีดจำกัด
....เพราะไม่รู้อนาคตเราถึงมีโอกาสอยู่ไม่จำกัด โอกาสดีๆมาพร้อมกับคลื่นลูกใหญ่เสมอ
16. อย่าทำให้บริษัทกลายเป็นสวนสัตว์
จงให้บริษัทที่ให้ผลตอบแทนแก่คนที่มีผลงาน
....การให้เงินเดือนตามอายุงาน พนักงานจะสูญเสียสัญชาติญาณแบบสัตว์ป่าไปราวกับว่าเขาถอดเขี้ยวเล็บออกหมดเพราะเมื่อคนเราอยู่ในจุดที่มีความสุขอยู่แล้ว จะไม่มีใครคิดทุ่มเททำงานจนสายตัวแทบขาดเพื่อลูกค้า
17. ทิ้งความสำเร็จที่ตัวเองสร้างไว้ไปเรื่อยๆ
นี่เป็นวิธีเดียวที่จะเพิ่มพูนความสามารถในการทำงาน
....การทิ้งความสำเร็จที่ตัวเองสร้างขึ้นมา แล้วหันไปสร้างสิ่งใหม่ๆ เป็นเส้นทางที่ยากลำบาก แต่คนเราจะพัฒนาขึ้น การทำสิ่งใหม่มีความเสี่ยงสูงที่จะล้มเหลว คนจึงยึดติดกับความสำเร็จในอดีตและพยายามรักษามันไว้
....จะเป็นไปได้หรือที่คนเราจะทำเรื่องใหม่สำเร็จไปตลอด แน่นอนเรื่องใหม่โอกาสที่จะล้มเหลวสูงมาก จนท้อแท้ จนเกือบถอดใจ แต่ถ้าไม่ย่อท้อและทุ่มเทพยายามจนสำเร็จได้บ่อย เราก็มั่นใจขึ้นมา
18. พูดอย่างตรงไปตรงมา
พูดอ้อมค้อมทำให้เสียงาน
....ความรวดเร็ว คือ หัวใจของการทำธุรกิจ ดังนั้นแทนที่จะพูดจากำกวม เพราะมัวแต่นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ขอแนะนำให้พูดความคิดเห็นของตัวเองให้ชัดเจน
....สาเหตุที่คนเราไม่อยากทำร้ายอีกฝ่ายเพราะเราไม่อยากทำร้ายตัวเองต่างหาก เราไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเราไม่ดี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าตัวเองจะถูกมองยังไง แต่ถ้ามันจำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมาย เราต้องบอกอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา นี่คือความจริงใจของคนทำธุรกิจ
19. คนเก่งจะไม่ทะเลาะกับใคร
คนที่ยึดติดกับเรื่องแพ้ชนะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง
....เกณท์คนเก่ง คือ ความคิดเห็นใครเป็นประโยชน์ต่อลูกค้ามากกว่า จะนำทุกความคิดมาถกกันแล้วยอมรับความคิดเห็นที่มีน้ำหนักมากกว่า อาจจะได้ความคิดใหม่ที่ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อได้ข้อสรุปที่ทุกคนยอมรับ ก็ทุ่มเททำงานอย่างสุดพลัง เป็นการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์
....คนที่ทะเลาะกับอีกฝ่ายไม่เลิก เพื่อปกป้องความถูกต้องของสิ่งที่ตนเองคิด แค่ทำเพื่อตัวเอง
20. จงใช้วิธีประเมินผลปฎิบัติงานที่เรียบง่ายที่สุด
ยิ่งซับซ้อนก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจ
21. บริษัทไม่ใช่โรงเรียน
ความอยากเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้
....คนที่มีไฟในตัวคิดว่ามีสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ พวกเขาจะขวนขวายหาความรู้ด้วยตัวเอง เป็นฝ่ายรุก เป็นความกระหายของตนเอง แต่การอบรมเป็นฝ่ายรับ
....คนเราจะเริ่มเรียนรู้อย่างจริงจังก็ต่อเมื่อรู้ตัวแล้วเท่านั้น
22. อย่าสร้างแรงจูงใจ
คนที่ไม่มีไฟในการทำงานคือคนที่ขาดคุณสมบัติของมืออาชีพ
....บริษัทคือสถานที่รวบตัวกันของคนมีไฟ คนที่ไม่อยากศึกษา ลงมือทำด้วยตัวเองไม่มีทางทำงานที่ต้องอาศัยความรับผิดชอบได้ ไม่มืออาชีพ เป็นตัวถ่วงของคนเก่งๆ
....หากหัวหน้าต้องสร้างแรงจูงใจให้ลูกน้องอีก เขาจะเหนื่อยล้า จนพานล้มเลิกความตั้งใจทำงานเพื่อลูกค้า
....สัตว์ป่าในทุ่งหญ้าสะวันน่าไม่คิดว่า ช่วงนี้ไม่มีแรงจูงใจในการล่าเหยื่อ มีแต่คิดว่า ต้องพยายามอย่างสุดกำลัง เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป การทำงานในบริษัทก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
23. เอาเจ้านายไปไกลๆ
ผู้นำที่แท้จริงต้องใช้ความฝันของตัวเองขับเคลื่อนคนอื่น
....คนฉลาดมักเกลียดการใช้อำนาจบาตรใหญ่ หากลูกน้องยอมทำตามโดยไม่มีทางเลือก ไม่ใช่วิธีการดึงศักยภาพของคนในทีม แถมเป็นข้ออ้างด้วยว่าประธานบอกแบบนี้
....ผู้นำ คือ คนที่พูดถึงความฝัน จะพูดในทำนองว่า ลูกค้าต้องการแบบนี้ เรามาทำให้เป็นจริงกันเถอะ
....ผู้นำ มีความกระตือรือร้น และ ความสามารถโน้มน้าวใจให้ทุกคนคล้อยตามได้
....ผู้นำ ถึงแม้จะต้องลงมือทำคนเดียว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะทำภารกิจนั้นให้สำเร็จจนได้
24. ไม่จำเป็นต้องควบคุม
คนที่คลุกคลีกับงาน คือคนที่ตัดสินใจได้ดีที่สุด
....พนักงานที่ทำงานเต็มสูบ สิ่งที่เขาต้องการคือการตัดสินใจที่แม่นยำ ฉับไว หากผู้นำตัดสินใจช้า อาจเกิดการหยุดชะงักของงาน อาจหลงทาง
....วิธีทำให้ตัดสินใจเร็วคือ ลดจำนวนเรื่องที่ต้องตัดสินใจ โดยมอบให้คนคลุกคลีกับงานตัดสินใจ
....ให้อิสระ แต่อิสระต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ คนที่ได้อำนาจก็ต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ออกมา ..วิธีนี้ทำให้ไปในตัวยังลุกโซน
....งานของประธานคือ การเลือกคนที่มาตัดสินใจ
25. ไม่มีความเห็นใจในการทำธุรกิจ
อย่าสร้างระบบพึ่งพาซึ่งกันและกัน
....โครงการไหนมีผลงานก็เพิ่มคน
โครงการไหนไม่มีผลงาน ก็ลดคน
....หากปล่อยให้พนักงานอยู่ในตำแหน่งเดิมทั้งที่ความสามารถไม่ถึงก็กลายเป็นว่าไปทำลายโอกาสที่เขาจะได้พัฒนาตนเอง หรืออาจทำให้บริษัทอยู่ในภาวะวิกฤต
26. ไม่ต้องสร้างปรัชญาในการทำงาน
ปรัชญาการทำงานที่สร้างขึ้นมาเป็นตัวการทำลายบริษัท
...เพราะสิ่งสำคัญคือแก่นแท้ ไม่ใช่เปลือกนอก
27. ไม่จำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์
สนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดีกว่าคาดการณ์อนาคต
....คิดว่าวิสัยทัศน์คือการตีกรอบ เป็นตัวถ่วง มานั่งคาดการณ์อนาคต ทำให้อุ่นใจ แต่พนักงานจะไม่ตื่นตัว ประสาทสัมผัสเราอาศัยความวิตกมาช่วยกระตุ้น จึงมักเฉียบคมและสังเกตเห็นความจ้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้าอย่างรวดเร็ว พนักงานที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา จะเป็นกลุ่มที่ตอบสนองได้เร็วที่สุด
28. กลยุทธ์ที่ดีต้องเรียบง่าย
สารที่เข้าใจยากจะทำให้คนที่ปฎิบัติงานสับสน
....หลักสำคัญของการบริหารคือ ต้องเข้าใจง่าย ผู้บริหารควรส่งสารที่มีความสำคัญจริงๆและเข้าใจง่าย คือหลักสำคัญจะดึงศักยภาพสูงสุดของคนในองค์กรออกมา
...เช่น เอาตัวเลขหรือผลวิเคราะห์ไปให้พ่อครัวที่กำลังปรุงอาหาร มีประโยชน์ไหม แค่บอกให้ช่วยทำอาหารให้อร่อยๆนะ เท่านั้นเอง
....ตอนเห็นแววว่า Line ได้รับความนิยม ก็แจ้งพนักงานว่า ไม่ต้องมีกำไรก็ได้ เน้นไปที่การเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการอย่างเดียวก็พอ
29. ถ้ามัวแต่คอยปกป้อง ก็จะบุกต่อไปไม่ได้สักที
เตรียมใจพร้อมทิ้งความสำเร็จในอดีต
....ประสบการณ์ที่เจ็บปวด ตอนอยู่บริษัทโซนี่ ที่กำลังเร่งพัฒนาผลิตภัณท์คล้าย Ipod แต่ผมมุ่งเน้นไปสร้างเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันการคัดลอกเนื้อหาของบริษัทและลิขสิทธิ์ (พยายามปกป้องสิ่งเดิม) แต่ไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าต้องการ)
30. ไม่ต้องสนใจแผนงาน
แผนงานจะทำให้มีความยืดหยุ่นน้อยลง
2
....เหตุผลง่ายมากเพราะวงการอินเตอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงยากที่จะคาดการณ์อนาคตอย่างแม่นยำ หากมีแผนงานก็เปลี่ยนบ่อยสิ้นเปลืองทั้งเวลาและกำลังคน
แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีแผนงานเลย แค่ไม่แจ้งรายละเอียดให้รู้ทั้งองค์กร แค่บอกหัวหน้างานถึงเกณท์ขั้นต่ำที่ต้องทำให้สำเร็จ ที่เหลือปล่อยให้ขึ้นกับการตัดสินใจของพวกเขา
31. ไม่ต้องมีฝ่ายวางแผน
อย่าแยกคนวางแผนออกจากคนปฎิบัติงาน
....งานสร้างสรรค์คือการสร้าง 0 ให้เป็น 1 เป็นงานที่ไม่สามารถมากำหนดตารางเวลาได้ หากแนวคิดดีๆไม่ผุด ก็ไม่มีทางที่งานจะคืบหน้า
....การตั้งเป้ายอดขาย ต้องเร่งทำยอด บางครั้งก็ยอมปล่อยผลิตภัณท์ที่มีคุณภาพต่ำออกสู่ท้องตลาด
....การให้ฝ่ายวางแผนมีอำนาจเหนือกว่าพนักงานที่ลงมือปฎิบัติ ทำให้เป้าหมายในการทำงานถูกบิดเบือนไป และคนเก่งก็อยากไปอยู่ฝ่ายวางแผน เพราะเป็นทางลัดไปสู่ความก้าวหน้า เพราะไม่มีทางจะเกิดข้อผิดพลาด ทำไม่ได้ โยนให้เป็นการรับผิดชอบของฝ่ายปฎิบัติงานแทน
32. กำจัดคู่มือการทำงานทิ้งไป
คู่มือการทำงานคือตัวการทำลายความคิดสร้างสรรค์
....คู่มือการทำงานมีประโยชน์สำหรับธุรกิจที่ต้องทำสิ่งเดิมซ้ำไปมา
....บริษัท Line ไม่มีคู่มือการทำงาน สิ่งที่ต้องการจากพนักงานคือ สร้างผลิตภัณท์ที่คุณภาพเยี่ยมออกมาให้เร็วกว่าที่อื่น วิธีการขึ้นกับความคิดสร้างสรรค์ส่วนบุคคล (ตีกรอบความคิดสร้างสรรค์)
....นักแต่งเพลงไม่มีคู่มือสำหรับการแต่งเพลงยอดนิยม ไม่งั้นใครก็คงเป็นบีโธเฟนกันหมด
33. ไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบ
ทิ้งทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อความรวดเร็ว
....วิธีเอาชนะแบบเรียบง่ายในโลกธุรกิจอินเตอร์เน็ตคือทำให้เร็วกว่าคู่แข่ง เร่งความเร็วโดยทำทุกอย่างให้เรียบง่ายโดยกำจัดเรื่องไม่จำเป็นทิ้งไป เช่นการประชุมที่เปล่าประโยชน์ การกรอกแบบฟอร์มที่ยุ่งยาก ให้พิจารณาว่า มันจำเป็นจริงๆหรือเปล่า
....ช่วยให้ผู้เล่นกองหน้าวิ่งได้สุดฝีเท้า ดังนั้นจึงต้องปรับองค์กรให้สอดคล้องกับความเร็วของผู้เล่นกองหน้า
34. ไม่ต้องประชุม
กำจัดคนที่เป็นตัวเพิ่มการประชุม
....ถ้าไม่จำเป็นจริงๆจะติดต่อกันทางEmail
....การกระจายอำนาจให้ลูกน้องที่ไว้ใจได้ จะสามารถทุ่มเทเวลาอย่างเต็มที่ให้กับงานที่ต้องอาศัยการตัดสินใจของเราแต่เพียงผู้เดียว
35. ไม่ต้องแบ่งปันข้อมูล
การรู้ข้อมูลเกินความจำเป็นจะทำให้คิดฟุ้งซ่าน
....เช่นการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับยอดขายแต่ละแผนก ก็ไม่ได้ทำให้ยอดขายดีขึ้น หรือ คิดว่าจะทำให้เกิดการแข่งกัน พนักงานไม่จดจ่อสิ่งที่ควรจดจ่อ ทำยอด แต่เป็นแก่นแท้บริษัทหรือเปล่า การทำงานคือการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า
36. ไม่เน้นสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณท์
ผู้ใช้บริการต้องการสิ่งที่มีคุณค่าไม่ใช่ความแตกต่าง
....หากคิดสร้างความแตกต่าง หมายความว่ากำลังมองไปที่คู่แข่งไม่ใช่ลูกค้า
37. ไม่ตั้งเป้าไปที่การสร้างนวัตกรรม
ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการในตอนนี้
....เช่นไม่โฆษณา แต่เน้นไปที่ใช้สติกเกอร์เป็นรายได้แทน
38. เพิ่มคุณค่า x ความเร็วให้ได้มากที่สุด
โยนความพอใจส่วนตัวของคนคิดค้นทิ้งไป
....คุณภาพ x ความเร็ว คือกฎเหล็กสู่ความสำเร็จของทุกธุรกิจ โดยตอบสนองสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เช่น Line เกิดตอนเหตุการแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่นเพิ่งเกิด ลูกค้าอยากได้คือ ความรวดเร็วสะดวกสบายใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน นอกนั้นไม่จำเป็นทิ้งหมด
39. ให้ความสำคัญกับการออกแบบ
การใช้งานง่ายต้องมาก่อน
....การพัฒนาหลักๆมี 2 แนวทาง
แนวทางแรก คือการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี (เจ้าแห่งแนวทางนี้คือ Google) นำสิ่งที่น่าสนุกออกมาแสดงให้เห็นโดยไม่สนใจว่าคนต้องการไหม แล้วค่อยคัดที่โดนใจมาพัฒนาธุรกิจ
แนวทางที่สอง ออกแบบโดยใช้ความรู้สึก สร้างสิ่งที่มีคุณค่าที่คนต้องการ (ต้นแบบแนวทางคือสตีฟจ๊อบ)
....คิดว่าจะให้คนธรรมดาทั่วไปเป็นคนใช้แต่หากมีความคิดผู้เชี่ยวชาญมากไปอาจเผลอใส่ความยากลงไปโดยที่เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญคิดว่าง่าย ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงลูกค้าว่าเขาต้องการอะไร โดยตัดรสนิยมตัวเองทิ้ง
40. อย่าหวังคำตอบจากลูกค้า
เงี่ยหูฟังเสียงของลูกค้าแล้วขบคิดให้ลึกลงไปอีก
....การฟังเสียงลูกค้ามากเกินอาจทำให้พลาดสิ่งสำคัญ เพราะเสียงลูกค้ามีเพียงความต้องการ ไม่พอใจต่อส่ิงที่มีตอนนี้เท่านั้นเป็นเพียงผิวเผิน เราจำเป็นต้องคิดค้นคำตอบลูกค้าให้ลึกลงไป ...อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง ผู้คนกำลังต้องการอะไร ผู้คนกำลังเดือดร้อนเรื่องอะไร (ให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา)
....ก้าวแรกของการทำความเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นคือ ให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
เป็นยังไงกันบ้างคะ กับความคิดของอดีต CEO ท่านนี้ หากต้องการเข้าใจให้มากกว่านี้ อย่าลืมไปซื้อหนังสือมาอ่านกันนะคะ
เพิ่มการพัฒนาตัวเองวันละนิด
เหมือนเติมวันละ 1 องศา
1 วัน อาจจะไม่มีอะไร
10 วันไม่มีความต่าง
แต่ 100 วันล่ะ 1000 วันล่ะ
จะเปลี่ยนแปลงไปโดยแทบไม่เห็นร่องรอยเดิม
มาร่วมกันหา1องศา เพื่อเติมเต็มวงล้อชีวิตให้สมบูรณ์ไปกับเพจ #องศาที่หายไป
👍🏻เลื่อนนิ้วโป้งกด Like กด Share ให้จูลสักนิด..เพื่อชีวิตที่มีกำลังใจให้จูลนะคะ..ขอบคุณค่ะ
⭐️ติดตามที่ Blockdit
❤️ติดตามที่ Youtube
💙ติดตามที่ Facebook
#หนังสือ #สรุปหนังสือ #หนังสือเสียง #คิดแค่1แต่ได้ผล100 #รีวิวหนังสือ #อดีตCEOLine #ผู้ปั้นline

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา