15 ธ.ค. 2020 เวลา 13:24 • ท่องเที่ยว
หมอกีฬาพาเที่ยว "อุทัยธานี ไหว้พระ เดินป่า" EP.2
ไปห้วยขาแข้งกัน
หลังจาก ค่อยๆขับรถตาม google map ลัดเลาะไปตาม ทิวเขาน้อยใหญ่ สลับทุ่งนา ป่าเขา ยอมรับว่าเมืองอุทัยธานีเป็นเมืองที่มีทิวทัศน์สวยงามมากๆ ขับไปเรื่อยๆประมาณ 75 กิโลเมตร ก็ไปถึง ห้วยขาแข้ง คันทรีโฮมรีสอร์ท เวลาประมาณ 17.00 น ใกล้จะพลบค่ำแล้ว ลักษณะรีสอร์ทเป็นแนวป่ามีบ้านพักแทรกตัวอยู่ในป่าต้นไม้สูงใหญ่ ต้องรีบเข้าห้องเพราะว่า อากาศเย็นมาก ตอนนั้น เช็คอุณหภูมิที่นาฬิกา เดินป่าของผม บอกว่าอุณหภูมิ 17 องศา
ห้วยขาแข้งคันทรี่โฮมรีสอร์ท
อาศัยนอนที่นี่ 1 คืน บอกได้เลยว่า ตอนกลางคืน อุณหภูมิลดต่ำลงไปกว่านี้แน่นอน ก่อนนอนก็ไหว้พระสวดมนต์อธิษฐานให้เจ้าที่เจ้าทาง พระภูมิเจ้าที่ รุขเทวดา ทั้งหลายจงปกปักรักษา ให้นอนหลับฝันดี อย่ามารบกวน มาทักมาท้วงให้ตื่นให้กลัว ปรากฏว่าในคืนนั้นก็หลับฝันดี ไม่มีอะไร ที่ต้องตกใจตื่น
ตอนเช้าตื่นขึ้นมา อาบน้ำ ที่ทำน้ำอุ่น ช่วยได้จริงๆครับ ไม่งั้นแย่แน่ออกไปทานข้าวตอน 07:00 น มีคนพักที่นี่เยอะมากครับ ตอนมาถึงใหม่ๆมีรถจอดแค่คัน 2 คัน แต่พอตื่นเช้ามามีรถจอดเป็นสิบๆคัน
ดูจากคนที่มาทานอาหารเช้า น่าจะประมาณ 50 คนได้ เจ้าของรีสอร์ทเดินทักทายพูดคุยกับแขกทุกคน สอบถามว่าจะไปเที่ยวไหนต่อ และอธิบายเส้นทาง จุดไฮไลท์ที่ต้องไปดู น่ารักมากเลยครับ เอาส้มโอที่ปลูกเอง มาให้ทานกัน แยมมะม่วง และแยมมัลเบอรี่ ก็ทำเอง กินกับขนมปังปิ้งและกาแฟก็เข้ากันได้ดี
แกถามผมว่าจะไปเที่ยวไหนต่อครับผมบอกว่าจะไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แกก็เลยแนะนำว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่านั้นจะห่างจากที่นี่ประมาณ 70 กิโลเมตรกว่า ถ้าไปถึงแล้ว ให้แจ้งเจ้าหน้าที่พาไป เดินซึ่งมีหลายเทรลมาก ตั้งแต่ระยะ 800 เมตรจนถึง 5 กิโลเมตร
และไฮไลท์ที่สำคัญคือ หอส่องสัตว์ ที่อยู่กม.8 ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยว่าขอเข้าหอส่องสัตว์ เขาจะมาเปิดประตูกั้นให้ ตรงหอส่องสัตว์นี้จะมีวัวแดงลงมากินหญ้าที่เจ้าหน้าที่ตัดไว้ เพื่อให้มันแตกใบอ่อน บางครั้งลงมาหลายตัวมาก 30-40 ตัวก็มี แต่มักจะลงช่วงบ่ายๆเป็นต้นไป จนถึงใกล้ค่ำ
ไกลเหมือนกันแฮะ
ได้ข้อมูลดังนั้นผมก็ ลาเจ้าของรีสอร์ทแล้วก็ขับรถไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งมรดกโลก ระหว่างทาง กลัวไม่มีอะไรกิน เป็นมื้อเที่ยงก็เลยแวะซื้อ ไก่ปิ้งและมันทอด ใส่ถุง พลาสติก มัดไว้อย่างดี แล้วเอาใส่ เป้สนาม ส่วนน้ำเอาใส่เป้ไว้2ขวด
พอเดินทางมาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ก็ไปลงทะเบียน วัดไข้ Check In ก่อนเข้า และขับรถไปตามทางลูกรัง ไปเรื่อยๆ จน ถึง กม.13 ซึ่งเป็นที่ตั้ง สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
พอไปถึงก็เจอกับคุณเจี๊ยบเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่มาคอยดูแล ผมก็แจ้งความจำนงว่า อยากจะไปเดินป่า ไปเทรลที่เดินไกลที่สุด ประมาณ 5 กิโลเมตร คุณเจี๊ยบก็บอกว่า ตอนนี้มีช้างป่าลงอันตรายไม่สามารถเดินได้  แต่มีเทรลที่ ขนาดย่อมลงมา ประมาณ 3 กม.เดี๋ยวเขาพาไปเดิน
ผมก็แจ้งด้วยว่าอยากจะไปหอส่องสัตว์เพื่อดูวัวแดงด้วย เขาก็บอกว่าไปเดินเทรลให้เรียบร้อยทานมื้อเที่ยงแล้วค่อยไปดูตอนบ่ายดีกว่าเพราะว่าวัวแดงชอบมาตอนบ่าย ก็ตกลงตามนั้น
ห้วยทับเสลา
เขาก็พาเดินข้ามสะพานแขวนซึ่งข้ามห้วยทับเสลาไปที่บริเวณสำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเดินไปตามถนนที่พึ่งทำเสร็จใหม่ๆ ชี้ให้ดูต้นยมหอม หรือยมหิน แถวบริเวณที่ทำการ ซึ่งยมหอมนั้นเป็นเป็นไม้โตเร็ว เนื้อไม้มีลวดลายสวยงามคล้ายไม้สัก น้ำหนักเบา สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ปัจจุบันถือเป็นไม้ขาดแคลน นิยมนำมาทำเป็นฝากระดาน ไม้วงกบ หน้าต่าง ไม้ฝ้าเพดาน ไม้บุผนัง ทำหีบใส่ของ เครื่องดนตรี อุปกรณ์กีฬา ต่อเรือ
สะพานแขวนข้ามห้วยทับเสลา
ต้นยมหอม
ซึ่งไม้ยมหอมนี้ ในหลวงร.๙ได้ทรงนำมาเป็นไม้ต่อเรือใบซีรีย์ เรือมด, เรือซูเปอร์มด และเรือไมโครมด ของพระองค์นั่นเอง
ขอบคุณภาพจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐครับ
จากนั้นก็เดินไปตามทางที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้นำรถแทรกเตอร์มาทำไว้ เป็นถนนดินร่วนปนทราย มาถึงทางเข้ามีหลักจารึกผู้เสียสละเพื่อปกป้องป่าทำเป็นเสาไม้ปักไว้ ซึ่งมีอยู่ 4 หลัก คุณเจี๊ยบเล่าว่า คุณสืบ นาคะเสถียร ตอนมารับตำแหน่ง หัวหน้าเขตฯ เคยพูดว่าจากนี้เป็นต้นไป จะไม่มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ต้องเสียชีวิตจากพรานป่าหรือผู้ลักลอบตัดไม้ในห้วยขาแข้งยิงอีกต่อไป แต่ปรากฏว่าหลังจากคุณสืบปลิดชีวิตตัวเองเพื่อผืนป่าเมื่อปี2533 คำที่ท่านกล่าวไว้ได้เป็นจริงจากนั้นมาไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ถูกพรานป่าหรือพวกลักลอบตัดไม้ ยิงตายอีกเลย
อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ
จนท.ป่าไม้จะมีการลาดตระเวณเข้าไปในป่าหลายวัน บางครั้งเจอกับพวกลักลอบตัดไม้ก็ถูกยิงก่อนเลยโดยไม่ทันตั้งตัว อาจารย์สอนเดินป่าผมเคยสอนว่าเวลาเข้าป่าห้ามแต่งตัวคล้าย จนท. หรือ ทหารเด็ดขาด ต้องใส่เสื้อสีให้สดใสแตกต่างไปเลย ป้องกันการเข้าใจผิดเผื่อไปเจอพวกนี้เข้า
ระหว่างเดินทางคุณเจี๊ยบชี้ให้ดูรอยที่ประทับบน พื้นดินในทางที่กำลังเดินเข้าไป ปรากฏว่ามีทั้งรอยเสือดาวหรือว่าเสือดำสองเสือนี้แยกรอยกันไม่ออก รอยเสือโคร่ง ซึ่งมีขนาดใหญ่ จะสังเกตว่าไม่มีรอยเล็บ เพราะว่าสัตว์พวกนี้สามารถซ่อนเล็บกลับเข้าไปในเท้าได้
รอยสรรพสัตว์ พวกนี้มันมาตอนกลางคืนนะครับไม่มาเดินเพ่นพ่านตอนกลางวันแน่นอน
มีรอยเท้ารอยเท้าสัตว์กีบน่าจะเป็นพวกกวาง หลังจากนั้นเมื่อมาถึง เทรลที่เต้องเดิน คือเขาหินแดง เราก็เริ่มเดินไปในป่า ของจริงกันล่ะทีนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นป่าที่อยู่ขอบๆ
ซึ่งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าน่ามีความอุดมสมบูรณ์มากกว่านี้ก็จริงแต่ก็ได้อารมณ์ของการเดินป่ามากกว่าที่เคยไปมา
เทรลเขาหินแดง
ลักษณะของป่าในตอนแรกจะเป็นป่าเต็งรังมีความโล่งมีต้นเต็งต้นรัง กระจายเป็นหย่อมๆ คุณเจี๊ยบชี้ให้ดูรอยบนพื้นดิน แล้วบอกว่าเป็นรอยที่เสือใช้เล็บครูดกับพื้นเพื่อแสดงอาณาเขต และมีการปล่อยฟีโรโมน โดยการฉี่ ในบริเวณรอบๆ พอเดินไปอีกสักพักก็มีร่องรอยของพวกกวาง ซึ่งทำในลักษณะเดียวกัน เสมือนเป็น การสื่อสาร ของเหล่าสัตว์ป่า ถ้าเทียบในปัจจุบันก็น่าจะเป็น LINE หรือ WhatsApp หรือ Facebook  ของคนเราดีๆนี่เอง เป็นการสื่อสารเพื่อพบปะกัน หรือแสดงพื้นที่ของตัวเอง เพื่อไม่ให้มีใครรุกล้ำเข้าไป
รอยพี่เสือโคร่งแสดงอาณาเขต
เดินสักพักก็พบกับซากกะโหลกวัวแดงที่ถูกเสือล่ามากินเมื่อปีก่อน น่าจะเป็นไฮไลท์ต้นๆของการเดินเทรลนี้ทีเดียว ได้ความรู้สึกเสียวๆนิดหน่อย
ซากวัวแดง
เดินเข้าไปลึกๆ ป่าจะเปลี่ยนเป็นป่าเบญจพรรณ ซึ่งค่อนข้างทึบต้นไม้จะสูงใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้คุณเจี๊ยบ ให้เรายืนฟังเสียงนกหัวขวานที่กำลังเจาะไม้ ดังป๊อกๆๆๆ สักพักแล้วก็เห็นตัว เขาบิน ผ่านหน้าเราไป หัวแดงหลังทองสวยงามมาก เป็นบุญตา ที่ได้เห็นจริงๆ
แต่ไม่สามารถถ่ายภาพได้เพราะว่ามันรวดเร็วมาก
อากาศในป่านั้นค่อนข้างเย็น แสงอาทิตย์รำไรแม้ว่าจะเป็นเวลาใกล้เที่ยงก็ตาม เราเดินไปเรื่อยๆโดยไม่รู้สึก เหน็ดเหนื่อย ต้นไม้ที่สูงใหญ่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ต้นประดู่ ต้นกระบก ต้นยางนา ต้นตะแบก ต้นตะคร้อ ต้นมะกอกป่าที่มีรอยเล็บหมีปีนขึ้นไปกินมะกอก
(จนท.บอกว่าซั่นอิอิ)
ต้นมะกอกกับเล็บหมี
เดินไปสักพักเราพบกับโป่งดินที่มีช้าง มาเปิดไว้เพื่อกินดินโป่งที่มีเกลือ เพื่อเสริมแร่ธาตุให้พวกเขา ช้างมักจะมาทำไว้ก่อน แล้วจะมีสัตว์ป่าต่างๆ เข้ามาร่วมวงตามหลังเสมอ
โป่งดิน
เดินไปเรื่อยๆเราก็จะพบกับ ป่าไผ่ ที่แทรกซึม อยู่ในป่า ตรงนี้มีประโยชน์มากนะครับสำหรับคนที่หลงป่าถ้าเจอป่าไผ่แล้ว เราอาจจะหาน้ำได้ ตามบ้องไม้ไผ่ต่างๆ ลองเคาะดูถ้าเสียงทึบๆน่าจะมีน้ำข้างใน
คุณเจี๊ยบชี้ให้ดูสมุนไพรต่างไเช่นหญ้ารีแพร์(ชื่อที่เรียกขานกันจริงๆต้องเซ็นเซ่อร์ "หญ้า...ยุ้ม" อิอิคิดเอาเองนะครับ ใช้ต้มเป็นน้ำชาดื่มเพื่อรักษาอาการหลังคลอดบุตรใหม่ๆของท่านหญิง ทำให้ช่องคลอดกระชับมีความสาวกับมาเป็นปกติดังเดิม
หญ้ารีแพร์
เราเว้นเรื่องสมุนไพรก่อนนะครับ เดินมาเจอกับต้นไทร ซึ่ง มีสมยานามว่า "นักบุญแห่งป่า นักฆ่าแห่งพงไพร" ทำไมถึงได้ชื่อเช่นนั้น นักบุญแห่งป่าคือว่าต้นไทรใหญ่ในป่านั้น ให้ดอกให้ผลต่อเลี้ยงสรรพชีวิต ไม่ว่าจะเป็นนกหรือว่ากระรอก สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยได้ใช้กินเป็นอาหาร แต่ทว่าต้นไทรนั้น แพร่พันธุ์โดยการขับถ่ายของสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยดังว่านั้นจะมีเมล็ดไทรอยู่ในมูลเมื่อไปติดอยู่บนต้นไม้ไหน ก็เจริญเติบโต และดูดกินน้ำเลี้ยงของต้นไม้นั้น และโตขึ้นจน ครอบคลุมต้นเก่า จนต้นนั้นตายลง จึงได้ชื่อว่านักฆ่าแห่งพงไพร นั่นเอง
นักบุญแห่งป่านักฆ่าแห่งพงไพร
เราก็เดินไปเรื่อยๆจน วงกลับมา เป็นวงกลม พบกับกอไผ่ที่ช้าง ได้พังเอาไปเพื่อกินเป็นอาหาร แล้วทิ้งขวางทางเดินอยู่ รอยยังสดๆใหม่ๆ เราจึงต้องเลี่ยง เปิดทางเดินใหม่ ใครๆก็ไม่อยากพบเขาจังๆในระยะประชิดแน่นอน ขอส่งจากไกลๆจะดีกว่า
เครือหมาน้อยสมุนไพรเย็น อาหารสเลิศของชาวอิสาน
แป้บนึงคุณเจี๊ยบก็ชี้ให้ดู สมุนไพรสำหรับท่านชาย เรียกว่า โด่ไม่รู้ล้ม โดยการทำการทดลอง โดยการเหยียบลำต้นของสมุนไพรชนิดนี้ พอปล่อยสักพัก มันก็เด้งกลับมาตั้งตรงเหมือนเดิม คุณสมบัติคงไม่ต้องอธิบายมากนะครับชื่อก็บอกอยู่แล้ว ว่าโด่ไม่รู้ล้ม
โด่ไม่รู้ล้ม
เดินต่อไปอีกสักพักเราก็มาถึงทางออก ซึ่งก็คือทางที่เราเดินเข้ามานั่นเอง จากนั้นเราก็เดินไป ที่ทำการ สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อขออนุญาตรองหัวหน้าเขตฯไปที่หอส่องสัตว์ กม.8 ซึ่งท่านรองหัวหน้าก็อนุญาต
จากนั้นเราก็ไปทานข้าวมื้อเที่ยง ยอมรับว่าเป็นมื้อเที่ยงที่อร่อยมากๆหลังจากเดินมา 3 กิโล เอาไก่ปิ้งที่ซื้อมา พร้อมกับ มันทอด มาทานกับผัดกระเพรา และ ไข่เจียว ที่ร้านของทางเขตฯไว้ให้ จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถ ขับตามคุณเจี๊ยบไป ที่หอส่องสัตว์ กม.8 เพื่อไปดู วัวแดง ขับรถตามถนนลูกรังย้อนกลับไปในทางที่เราเคยขับมา พอถึงกม.8 เราก็เลี้ยวขวา เข้าทางที่เตรียมไว้
ถึงบริเวณที่พักเจ้าหน้าที่ก็จอดรถและเดินไปตามทาง ซึ่งอยู่ทางด้านขวา ประมาณ 100เมตรกว่าก็ถึงหอส่องสัตว์ เดินขึ้นไปชั้นบนปรากฏว่า มีช่างภาพสายป่ามาคอยถ่ายภาพวัวแดงตั้งแต่เช้าแล้ว 2 คน ว่ากันว่าเป็นช่วงประกวดการถ่ายภาพสัตว์ป่าพอดี ผมพกกล้องส่องทางไกลมาด้วย เลยได้ใช้ในงานนี้แหละมีวัวแดง 1 ครอบครัว 6 ตัวครับ
ตัวใหญ่ 4 ตัวแล้วมีลูกน้อยตัวเล็กๆ 2 ตัว 4ตัวยืนกินหญ้าอยู่ ส่วนลูกน้อย 2 ตัวนั้นกระโดดโลดเต้นอย่างไม่รู้สาใดๆทั้งสิ้น
ตัวโตเล็มหญ้า
ผมส่งกล้องดูอย่างมีความสุขประมาณ 20 นาที ก็ขอลาคุณเจี๊ยบ ออกไปที่พักด้านนอกต่อไป เนื่องจากไม่ได้จอง ที่พักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งไว้
ถ้าท่านใดสนใจที่จะ มาพักที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งกรุณาติดต่อล่วงหน้า 2 สัปดาห์นะครับค้นในเว็ปได้
แต่ถ้าท่านใดที่จะมาเดินป่าแบบเช้ามาเย็นกลับก็เข้ามาได้เลยเจ้าหน้าที่ต้อนรับ นักท่องเที่ยวทุกท่าน
ขอบพระคุณมากครับที่ติดตามอ่าน
หมอกีฬาพาเที่ยวขอลาไปก่อนนะครับ
พบกัน EP หน้าคร้าบ
อำลาด้วยภาพวัวแดง
โฆษณา