25 ธ.ค. 2020 เวลา 02:02 • ปรัชญา
คุณอาจเคยเห็นเด็กอัจฉริยะที่หัดอ่านหนังสือตอนอายุ 2 ขวบ เล่นเพลงของศิลปินคนดังได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ แก้โจทย์แคลคูลัสได้อย่างสบายๆ ตอนอายุ 6 ขวบ แถมยังพูดได้ 7 ภาษา เขาเป็นคนที่เพื่อนร่วมชั้นต่างอิจฉา ส่วนพ่อแม่ของเขาก็พากันปลื้มใจและอวดลูกไปทั่วจังหวัด
2
แต่ทำไมเราถึงไม่ค่อยจะเห็นเด็กเหล่านี้เติบโตมาเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงโลกหรือเป็นเจ้าของธุรกิจเลย กลับกันเรามักพบว่าคนที่เติบโตมาแล้วประสบความสำเร็จกลับเป็นเด็กหลังห้อง ที่ไม่ได้มีพรสวรรค์มากกว่าปกติ ไม่ได้ฉลาดเกินวัย บางคนถึงขนาดโดนดูถูกมาตลอดด้วยซ้ำ
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่า ก็ไม่เห็นแปลกอะไร ใครๆ ก็รู้ว่าเด็กอัจฉริยะเหล่านี้เก่งแค่เรื่องในตำรา เก่งแต่ทฤษฎี แต่ไม่ได้เก่งเรื่องการใช้ชีวิตจริงๆ พวกเขาอาจจะมีสติปัญญาเป็นเลิศก็จริง แต่ก็คงขาดทักษะในการปฏิบัติ ด้านสังคม และด้านอารมณ์ ซึ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตจริงสังคม
อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง เพราะงานวิจัยค้นพบว่ามีเด็กอัจฉริยะจำนวนไม่ถึง 1 ใน 4 เท่านั้น ที่เดือดร้อนจากปัญหาด้านสังคมและอารมณ์ ในทางกลับกันพวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ดีและมีความสุขในงานเลี้ยงมากพอๆ กับ ในการแข่งขันสะกดคำ
คำถามคือ แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ?
คำตอบคือ ในขณะที่พวกเขาเล่นเพลงของศิลปินคนดัง หรือ ชนะการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิก มันมีเรื่องน่าเศร้าที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
ก็เพราะเวลาที่พวกเขาฝึกฝนสิ่งเหล่านี้จนเก่งขึ้นถึงขั้นที่เรียกว่าอัจฉริยะนั้น มันเป็นแค่สิ่งที่มีอยู่แล้ว เขาไม่ได้สร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา พวกเขาเล่นเพลงยากๆ ของศิลปินคนดังแต่ไม่เคยแต่งเพลงที่เป็นของตัวเอง พวกเขาทุ่มเทไปกับการขวนขวายหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่แล้วแต่ไม่ได้สร้างความรู้ใหม่ขึ้นมา พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากพ่อแม่และการชื่นชมจากครู
8
กลับกันบุคคลที่ประสบความสำเร็จทุกวันนี้ คือ คนที่คิดโมเดลธุรกิจใหม่ ที่ตอนแรกมีแต่คนวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขามีแนวคิดแปลกๆ ที่ทุกคนไม่ยอมรับในตอนแรก แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็มาแทนที่และฆ่าโมเดลธุรกิจเดิมๆ จนแทบเอาตัวไม่รอด
งานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดมีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะเป็นคนโปรดของครู โดยการวิจัยครั้งนี้ ทำการศึกษาโดยให้ครูโรงเรียนประถมจัดทำรายชื่อนักเรียนคนโปรดและนักเรียนที่พวกเขาไม่ค่อยโปรดปราน จากนั้นก็ให้คะแนนทั้งสองกลุ่มตามรายการคุณสมบัติต่างๆ
1
ผลคะแนนแสดงให้เห็นว่านักเรียนที่ครูไม่โปรดปรานเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมคล้อยตามและตั้งกฎของตัวเองขึ้นมา และครูก็มักจะดุนักเรียนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงและมองว่าพวกเขาเป็นตัวสร้างปัญหา
4
เด็กหลายคนจึงเรียนรู้ที่จะยอมอยู่ในกรอบและเก็บความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองไว้กับตัว และเลือกที่จะทำสิ่งที่ครูและพ่อแม่ที่มีเพียงความรู้เดิมยกย่องว่าเป็นสิ่งที่ดีเพื่อให้ได้รับคำชื่นชม
1
เด็กอัจฉริยะจำนวนมากเติบโตไปเป็นผู้นำในองค์กรและผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่ตัวเองทำงานอยู่ จากการเป็นเด็กที่เรียนรู้อย่างรวดเร็วและง่ายดายภายในขอบเขตความรู้ที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้สร้างขอบเขตความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมา
พวกเขากลายเป็นแพทย์ที่รักษาคนไข้โดยไม่ได้ต่อสู้เพื่อแก้ไขระบบอันบกพร่องที่ทำให้คนไข้จำนวนมากไม่มีเงินพอที่จะรับการรักษาพยาบาล
พวกเขากลายเป็นครูที่เตรียมการสอนวิชากระบี่กระบองโดยไม่ได้ตั้งข้อสงสัยว่ากระบี่กระบองเป็นสิ่งที่นักเรียนจำเป็นต้องเรียนรู้จริงหรือเปล่า
พวกเขาเติบโตเพื่อเดินตามความสำเร็จที่ถูกสังคมนิยามเอาไว้แล้วว่ามันคือ ความสำเร็จ อย่างการเป็นแพทย์ ข้าราชการ ครู ตำรวจ วิศวกร ทนายความ เป็นต้น
3
พวกเขาให้ความสำคัญกับความสำเร็จที่สังคมยกย่องและชื่นชมเหล่านี้มากเสียจนหวาดกลัวความล้มเหลว จึงทำให้พวกเขาไม่คิดที่จะแสวงหาความสำเร็จที่ไม่เหมือนใครในแบบของตัวเอง เพราะกลัวที่จะล้มเหลวกับการทดลองสิ่งใหม่ๆ
ในขณะเดียวกันก็มีเด็กเพียงส่วนน้อย ที่ตั้งข้อสงสัย และไม่ยอมคล้อยตามสิ่งที่สังคมนิยามว่าถูกต้อง พวกเขาจึงไม่ได้รับการยกย่องให้เป็นเด็กอัจฉริยะคนโปรดของครู แต่พวกเขากลับเติบโตขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลงและปฏิวัติวงการต่างๆ มากมาย
ถ้าเอาแบบใกล้ตัวเราเลย ก็คือ บังฮาซัน ที่ปฏิวัติวงการอาหารทะเลตากแห้งด้วยการนำมันมาขายออนไลน์ ทั้งที่คนทั่วไปมองว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะประสบความสำเร็จ
1
บังฮาซันไม่ได้แสวงหาความสำเร็จจากอาชีพที่คนในสังคมนิยามเอาไว้ แต่เขาแสวงหาความสำเร็จในแบบของเขาที่คนทั่วไปนิยามมันว่าคือ ความล้มเหลว ในท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนแรกในประเทศไทยที่ปฏิวัติวงการอาหารทะเลตากแห้งได้สำเร็จ
1
แล้วคุณละครับ ครั้งล่าสุดที่ผุดไอเดียของตัวเองขึ้นมาได้ คุณทำอะไรกับไอเดียนั้นครับ เก็บมันเอาไว้กับตัวแล้วให้มันตายไปพร้อมกับคุณ หรือ เอามันออกมาทดสอบให้เกิดขึ้นจริง
1
ฉะนั้น ถ้าวันนี้คุณมีไอเดียอะไรอยู่ในหัว อย่ากลัวที่จะลงมือทำ ต่อให้ใครในตอนนั้นจะต่อต้าน ก็จงหนักแน่นกับมันดั่งหินผา
1
จำไว้ว่า มันเป็นเรื่องปกติที่การทำอะไรที่แตกต่าง มักถูกผู้คน “ต่อต้าน” คนส่วนใหญ่จึงเลือกหนทางที่ปลอดภัยกว่า ด้วยการคิดและทำตามๆ กัน
1
แต่โลกไม่เคยจดจำคนที่เดินตามคนอื่น !!
8
เรียนรู้วิธีค้นหาเส้นทางความสำเร็จในแบบของตัวเองได้ที่ หนังสือ Originals
“เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”
.
แต่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองควรอ่านเล่มไหน
ทักมาปรึกษาสมองไหลได้เลย
.
สั่งซื้อหนังสือออนไลน์ง่ายๆ ส่งตรงถึงหน้าบ้านคุณ
ได้ที่ Inbox เพจ #สมองไหล
1
โฆษณา