17 ธ.ค. 2020 เวลา 04:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Wonder Woman 1984 (2020) – ยุคสมัยแห่งความอัศจรรย์กลับมาแล้ว
จากการส่ง Tenet เป็นหนังฟอร์มยักษ์เรื่องแรก ๆ ฉายโรง ก่อนจะตามด้วย Mulan แต่ทั้งสองเรื่องก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ประสบความสำเร็จ หนังใหม่ ๆ ส่วนมากจึงทยอยขยับกำหนดฉายหนีรอจังหวะที่โรงหนังกลับมาเปิดทำการจน Warner Bros. เคลื่อนไหวล่าสุดด้วยการจัดการฉายหนังในสตรีมมิ่งในโรง ด้วยการเปิดประเดิมยุคสมัยแห่งความอัศจรรย์ด้วยผลงานหนังซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อที่เคยสร้างความประทับใจมากแล้วอย่าง Wonder Woman 1984
Wonder Woman 1984 เล่าเรื่องของ ไดอาน่า พรินซ์ ที่ใช้ชีวิตในฐานะนักโบราณคดีที่พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียนและทำหน้าที่ในฐานะฮีโร่ช่วยเหลือผู้คนอย่างลับ ๆ ทำให้เธอได้พบกับ บาร์บาร่า มิเนอร์ว่า หญิงสาวผู้ขาดความมั่นใจในตัวเองและทำหน้าที่ตรวจเหล่าโบราณวัตถุที่ทางเอฟบีไอส่งมาให้วิเคราะห์ เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทั้งคู่รู้จัก แม็กซ์เวลล์ ลอร์ด นักธุรกิจที่เข้ามาระดมทุนให้แผนกโบราณคดี โดยที่หารู้ไม่ว่า เขามีเป้าหมายแฝงอยู่
หนังแบ่งเป็น 3 องค์ที่ค่อนข้างชัดเจนและมีฉากเปิดเรื่องที่เซ็ตติ้งธีมหลักที่คลุมเนื้อหาของเรื่องไว้ โดยที่ช่วงเวลาองค์แรกจะเป็นการบอกเล่าชีวิตของไดอาน่าในปี 1984 และพาเราไปรู้จักกับตัวละครหลักตัวอื่นและใช้เวลาไปเล่าถึงมิติตัวละครนั้น ๆ อย่างน่าสนใจ ซึ่งทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละครเหล่านั้นที่เปลี่ยนแปลงในทุกขณะที่หนังดำเนินไป ก่อนจะแทรกฉากแอ็คชั่นใหญ่ ๆ ประปราย รวมถึงหยอดมุกชวนขำมากมายและช่วงเวลาหวานซึ้งที่ดูจะน้ำเน่าน้อยกว่าภาคแรกอยู่พอสมควร
ส่วนที่เราชอบมาก ๆ ก็คงเป็นแกนกลางที่โอบอุ้มหนังไว้ตลอดอย่างเรื่องความจริง-ความลวง ที่ขับเน้นเรื่องราวและพัฒนาตัวละครไปจนถึงจุดหมายของเรื่อง รวมถึงการนำเสนอเรื่องราวของปกรณัมเทพกรีกที่ดูจับต้องได้ง่ายกว่าภาคแรก นอกจากนี้จากแกนกลางที่ว่านี้ส่งผลให้ตัวละครมีความขัดแย้งและมีมิติให้เห็นมากขึ้น ทั้งในตัวของ ไดอาน่า, บาร์บาร่า หรือในรายของ แม็กซ์เวลล์ เองก็มีมุมให้น่าเห็นใจไม่น้อย หรือกระทั่ง สตีฟ เทรเวอร์ ก็เป็นตัวละครที่มาพร้อมเสียงหัวเราะและเติมเต็มความอิ่มเอมระหว่างดูได้ดี
อีกทั้งการกำกับของ แพตตี้ เจนกิ้นส์ ก็ดุลหลากช่วงเวลาให้หนังน่าติดตาม แม้ช่วงแรกหนังจะใช้เวลาการเล่าค่อนข้างเยอะก่อนจะเข้าสู่จุดพลิกผันของเรื่อง แต่หนังก็ใส่มุกเล็กมุกน้อยเพื่อสร้างเสียงฮาให้กับคนดู และพอเข้าสู่องค์สอง หนังก็เริ่มเร่งเครื่องเข้าสู่ความมันส์ด้วยฉากแอ็คชั่นและเรื่องราวที่พลิกผันไปอย่างน่าตกใจ และมีบางช่วงที่ซาบซึ้งจนน้ำตาซึม ยิ่งได้สกอร์ของ ฮานส์ ซิมเมอร์ ก็ยิ่งขับเน้นหลาย ๆ อารมณ์ขึ้นไปอีก
กระนั้นเอง WW84 ก็ยังมีความกระอักกระอ่วนเล็ก ๆ ในส่วนของเส้นเรื่องและบทสรุปของธีมของเรื่องราวที่ดูรีบและรวบรัดไปมาก ๆ อาจเป็นเพราะต้องใช้เวลาแบ่งไปเล่าเหล่าตัวละครค่อนข้างมากจนทำให้เรารู้สึกประทับใจการปมมิติตัวละครค่อนข้างมาก แต่กับแก่นเรื่องที่แม้จะแข็งแรงแต่ก็ถือว่าสื่อสารออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก
นอกจากนี้ WW84 ก็มีสัดส่วนของความเป็นหนังแอ็คชั่นที่น้อยกว่าภาคแรกอยู่มากและใช้การเล่าเรื่องผ่านเหล่าตัวละครทั้งหมดเสียมากกว่า อีกทั้งบางฉากแอ็คชั่นในเรื่องก็ไม่ได้ขายความใหญ่โตหวือหวาแบบที่ภาคแรกเป็นเท่าไหร่นัก แต่หากเทียบกับธีมที่ WW84 พยายามจะสื่อและ “ซ่อน” อยู่ภายใต้ชื่อเรื่องนี้ มันก็ค่อนข้างสอบผ่านแล้วสำหรับเรา
สรุปแล้ว Wonder Woman 1984 เป็นหนังภาคต่อที่เล่าเรื่องแอ็คชั่นผจญภัยภายใต้แก่นเรื่องที่แข็งแรงหนักแน่นถึงจังหวะการเล่าและบทสรุปจะรวบรัด แต่การเล่าถึงพัฒนาการตัวละครที่น่าเอาใจช่วยก็ผลักดันให้ไปไกลกว่าหนังเรื่องอื่น แม้ฉากแอ็คชั่นไม่ได้ขายหวือหวายิ่งใหญ่แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดูสนุก รวมถึงการดุลอารมณ์ร่วม ทั้งขำ ทั้งซึ้งได้อย่างประทับใจ ถือเป็นความอัศจรรย์ที่มาส่งท้ายปีอย่างน่าอิ่มเอม
4 / 5
Wonder Woman 1984 (2020)
Directed by Patty Jenkins
Screenplay by Patty Jenkins & Geoff Johns & David Callaham
Story by Patty Jenkins & Geoff Johns
Based on "Wonder Woman" by William Moulton Marston

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา