8 ม.ค. 2021 เวลา 13:45 • ประวัติศาสตร์
# ชีวิตลับของ Coco Chanel ในฐานะตัวแทนนาซี
หลังจากเปิดตัวสู่วงการแฟชั่นอย่างยิ่งให้ แต่อีกด้านหนึ่งของเธอนั้นกับมาความพร้อมเอกสารลับ จากรัฐบาลฝรั่งเศส ที่ได้เปิดเผยการทำงานแอบแฝงของเธอกับทหารหน่วยสืบราชการลับนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
ที่มาและแรงจูงใจ
Chanel เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างยากจนหลังจากแม่ของเธอเสียชีวิตไป เธอจึงถูกส่งตัวไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคอนแวนต์
แต่แล้ว Chanel ในวัย 12 ปี ก็สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมากได้ ด้วยการทำอาชีพร้องเพลง และหลังจากนั้นเธอก็ได้เปิดร้านเสื้อผ้า
อีกทั้งยังได้เปิดตัวเครื่องแต่งกายสตรีที่น่าจับตามองและเป็นที่ต้องการของใครหลาย ๆ คน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
1
ความโด่งดัง
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงก้าวขึ้นไปสู่บุคคลที่ทรงอำนาจและทรงอิทธิพลมากที่สุดของวงการแฟชั่นในยุโรปได้ด้วยการใช้เวลาเพียงสั้น ๆ เธอยังกลายเป็นเพื่อนกับ วินสตันเชอร์ชิลล์
และยังเป็นนายหญิงของ ฮิวจ์ ริชาร์ด อาร์เธอร์กรอสเวอเนอร์ด แห่งเวสต์มินสเตอร์ นอกจากนี้เธอยังเป็นดีไซน์เนอร์ให้กับ Pablo Picasso และ Serge Diaghilev ศิลปินที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
ซึ่งการเชื่อมโย่งกับบุคคลผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลาย ของ Chanel ยังช่วยให้เธอสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ในช่วงเวลาสำคัญ อย่างในเวลาที่กองกำลังของ อดอล์ฟฮิตเลอร์ เริ่มปิดล้อมเยอรมนี ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1930
จวนตัว
และหลังจากที่นาซีเข้ายึด ปารีส ได้สำเร็จในปี 1940 Chanel ก็ได้มีความสัมพันธ์กับ Baron Hans Günther von Dincklage เจ้าหน้าที่ใน อับเวห์ หน่วยข่าวกรองทางทหารของเยอรมัน
ซึ่งความโรแมนติกของเขาก็ทำให้ Chanel ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ Hôtel Ritz ของปารีส จากนั้นสถานที่นี้ก็กลายเป็นสำนักงานใหญ่ของเยอรมัน อีกทั้งยังทำให้เธอ ได้เข้าสู่สังคมชั้นสูงมากขึ้น และยังถูกเจ้าหน้าที่เยอรมัน แทรกซึมเข้าไปในสังคมของเธอด้วยเช่นกัน
ความสัมพันธ์ของ Chanel กับ Dincklage ยังทำให้เธอสามารถจัดการกับเรื่องส่วนตัวที่สำคัญหลาย ๆ เรื่องได้ อีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เร่งด่วนที่สุดของเธอ
ความปรารถนา
คือความต้องการในการปล่อยตัว André Palasse หลานชายของเธอ ที่ถูกคุมขังอยู่ใน German stalag นอกจากนั้นเธอยังได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจจากบุคคลเฝทั้งหลายเหล่านี้อีกด้วย
โดยตั้งแต่ปี 1924 ครอบครัวชาวยิวอย่าง Wertheimer ยังสนับสนุนการเปิดตัวน้ำหอมของเธอ เพื่อแลกกับผลกำไร 70% จากเธอ
แม้ ในภายหลัง Chanel จะพยายามเจรจาต่อรองถึงสิ่งต่างๆด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่า ก็ยังคงไม่เป็นผล แต่ด้วยกฎหมาย "Aryanization" ที่บังคับให้ชาวยิวเลิกทำธุรกิจ Chanel จึงเห็นโอกาสที่จะยึดคืนผลกำไร รวมไปถึงอาณาจักรแฟชั่นของเธอ
แผนการ
อีกทั้ง Dincklage ยังแนะนำ เธอ ให้รู้จักกับ Baron Louis de Vaufreland ตัวแทนที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่ง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าจะช่วย Chanel ปลดปล่อยหลานชายของเธอ เพื่อแลกกับการรับราชการที่ เบอร์ลิน
จึงทำให้ในปี 1941 Chanel ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นตัวแทน F-7124 โดยใช้ชื่อรหัสว่า "Westminster"
หลังจากนั้น Chanel ก็เดินทางไปที่ สเปน เป็นเวลาสองถึงสามเดือนในช่วงกลางปี ​​1941 ร่วมกับ โวเฟรแลนด์ภายใต้งานแฝงเรื่องการเจรจาต่อรองทางธุรกิจ
แผนการ
ตามหนังสือของ Hal Vaughn Sleeping with the Enemy ที่ได้มีบันทึกเกี่ยวกับอาหารค่ำของเธอกับนักการทูตชาวอังกฤษ Brian Wallace
ซึ่งในระหว่างนั้น เธอได้พูดคุยเกี่ยวกับชีวิตใน ปารีส ที่ถูกยึดครองอย่างไม่เป็นทางการ และความเกลียดชังที่ฝรั่งเศสและเยอรมันมีต่อกัน
และหลังจากนั้นหัวหน้างานของ Abwehr ได้รับหมายให้ปล่อยตัวหลานชายของ Chanel ออกจาก Palasse
ความช่วยเหลือและผลลัพธ์
อย่างไรก็ตามความปรารถนาของเธอที่จะกอบโกยผลกำไรจากน้ำหอมของเธอนั้น ก็มาถึงทางตันอีกครั้ง เพราะเธอได้รู้ว่า Wertheimers โอนการควบคุมของ บริษัท ไปให้กับชาวฝรั่งเศสที่ไม่ใช่ยิวชื่อ Félix Amiot ก่อนที่เขาจะหลบหนีไปยังสหรัฐอเมริกา
อีกทั้งในช่วงปลายปี 1943 ถึงต้นปี 1944 เมื่อกระแสต่อต้าน เยอรมนี มากขึ้น Chanel ก็ได้รับภารกิจ จากนายพล วอลเตอร์ เชลเลนเบิร์ก แห่งSS ชื่อ "Operation Modellhut" หรือภาษาเยอรมัน "model hat"
โดยเธอต้องใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเธอกับ เชอร์ชิล ที่ปัจจุบันเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เพื่อถ่ายทอดคำพูดที่เจ้าหน้าที่อาวุโสของ SS หลายคนกำลังหาทางยุติการนองเลือด
Hugh Richard Arthur Grosvenor, the Duke of Westminster, Coco Chanel and Winson Churchill. Photo: Hulton Archive/Getty Images
อีกทั้ง Chanel ยังขอให้มีการปล่อยตัว Vera Lombardi ซึ่งเป็นเพื่อนของเธอ และ เชอร์ชิลล์ ออกจากเรือนจำใน อิตาลี ด้วย
ซึ่งทั้งสองได้เดินทางไปยัง มาดริด พร้อมกับ Dincklage ซึ่ง Lombardi ได้รับคำสั่งให้ส่งจดหมายของ Chanel ไปให้กับ Churchill ที่สถานทูตอังกฤษอีกที
อย่างไรก็ตามแผนนี้ก็ต้องล้มเลิกไป เมื่อ ลอมบาร์ดี ได้ออกมาประณาม Chanel และพรรคพวกว่าเป็นสายลับของเยอรมัน ซึ่งหลังจากนั้น ลอมบาร์ดี ก็ถูกควบคุมตัวกลับไป จึงทำให้ Chanel สามารถเดินทางกลับไปยังปารีส ได้อย่างปลอดภัย
สู่ชีวิตปกติ
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน กองกำลังของฝรั่งเศส ก็ได้ยึดปารีสคืนจากเยอรมันได้สำเร็จ แต่ด้วยชื่อเสียงของเธอในฐานะ "ผู้ทำงานร่วมในแนวหน้าของเยอรมัน"
Chanel จึงถูกนำตัวไปสอบสวน ต่อหน้าคณะกรรมการของฝรั่งเศส แม้ว่าเธอจะได้รับการปล่อยตัวในช่วงสั้น ๆ เธอจึงหนีไปที่ สวิตเซอร์แลนด์ ทันที
หลังจากสิ้นสุดสงคราม Chanel ก็ปรากฏตัวในศาลฝรั่งเศสอีกครั้ง เพื่อบันทึกคำให้การ และคำสาบานจากเจ้าหน้าที่เยอรมันที่ถูกจับกุม ด้วยการมัด เธอไว้กับ อับเวห์
คำให้การ
Chanel ที่พยายามดิ้นรน เพื่อให้พ้นจากปัญหานี้ โดยเธอยืนยันว่า Vaufreland ได้สัญญาว่าจะพาหลานชายออกจากคุก และเธอก็ได้ปฏิเสธขอบเขตและการปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาด้วย
ตามคำกล่าวของ Sleeping with the Enemy ยังบอกอีกว่า Chanel ยังขอให้ลบหลักฐานการกระทำของเธอหากเป็นไปได้ หลังจากที่เธอทราบว่า Schellenberg ที่ป่วยหนัก กำลังวางแผนที่จะตีพิมพ์บันทึกประจำวันของเขา
Chanel จึงจ่ายค่ารักษาพยาบาลของเขาและทำให้ครอบครัวของเขามีฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น แม้บันทึกจะไม่ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของเธอในฐานะตัวแทนนาซี
Coco Chanel During the second World War, Gabrielle Chanel found herself forced to withdraw from the fashion scene briefly, only to return in 1954.
หลังจากที่ต้องต่อสู้กับเรื่องนี้อยู่นาน Chanel ก็ไม่อาจอดทนต่อความแตกแยกใด ๆ สำหรับการติดต่อระหว่างสงครามกับพวกนาซีได้อีกต่อไป
เธอจึงกลับสู่วงการแฟชั่น อีกครั้งในปี 1954 ซึ่งเธอได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัว Wertheimer ครอบครัวที่เธอต่อสู้เรื่องธุรกิจมาตลอดหลายปี
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้กลับมาใช้ชีวิตในฐานะคนดังอีกครั้ง และยังสามารถดำเนินสถานะเช่นนี้ของเธอ มาได้อีกหลายปี ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตที่ Hôtel Ritz ในปี 1917
ดังที่ Coco Chanel กล่าวไว้ว่า “อย่ามัวเสียเวลากับการเอาชนะหรือการทำลายกำแพงใด ๆ แต่จงสร้างประตูหนีภัยของตัวเองขึ้นมาไว้ให้ดี”
ติดตามเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄
โฆษณา