'เฮ้อ...'
เมื่อความตายรอบวันนี้จบลง ผมก็ปล่อยโฮร้องไห้อย่างเคย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อะไรขาวๆ เดินผ่านหน้าไปนี่แหล่ะ ตอนนี้ระดับสายตาอยู่ตรงกับปมผ้าเช็ดตัวพอดิบพอดี ผมรีบเบี่ยงหน้าหนี กระทืบเท้าเร้าๆ ไล่ความเกร็ง ไม่ใช่อะไรนะครับ ผมไม่ได้ตื่นเต้นเลย ก็อย่างที่บอกผมแค่เป็นผีมีมารยาท แล้วก็ไม่อยากรู้อยากเห็นของคนอื่นด้วย
...จริงๆ นะ
‘อืมม...’
เสียงถอนหายใจดึงสติผมมาที่หน้าเขา เป็นอะไรนักนะ ผมมาโผล่ที่นี่ทีไร ต้องเห็นเขาทำหน้าแบกโลกทุกที แถมยังเดินวนเวียนมาใกล้ ทำอย่างกับมองเห็นผมงั้นแหล่ะ หึ! ก็มองไม่เห็นนี่ งั้นขอแกล้งหน่อยแล้วกัน
ลุกขึ้นยืนแฝงร่างโปร่งแสงไปกับชั้นหนังสือ เขาเบี่ยงขวาผมเบี่ยงขวา เขาเอียงซ้ายผมเอียงซ้าย เป่าปากพ้นลมฟู่หมายจะแกล้งให้ขนลุกเล่น
“ฟู่! นี่ๆ ไม่ไปทำงานหรอ เลยเวลาแล้วนะ” แค่เป่าลมยังไม่พอครับ อยากเห็นคนขนลุกซู่ซ่าผมเลยแกล้งกระซิบถามใกล้หูด้วย อ้าวนิ่ง! เขาไม่ไหวติงเลยสักนิด ยังทำหน้าเรียบเฉยร่ายนิ้วหาหนังสือ
“หลบดิ๊ เกะกะ” เสียงไม่สบอารมณ์นักพูดออกมาทั้งที่ดวงตาจ้องสันปกเรียงยาวเป็นแถว เสียงทุ่มต่ำทำผมตกใจ เผลอคิดเอาว่าเขาดุเราหรือเปล่า จะไม่ให้ตกใจได้ไงครับ ก็ในเมื่อห้องนี้มีกันแค่สองคน เขาคงไม่ดุตัวเองหรอก เขาต้องดุผมนี่แหล่ะ แต่เดี๋ยวนะ! ผมเป็นผีจะโดนดุได้ยังไง
ใช้สมองขบคิดอยู่เสี้ยววินาที เบี่ยงตัวซ้ายทีขวาทีตามตำแหน่งใบหน้าหล่อเคลื่อนผ่าน เขายังคงเห็นหนังสือสำคัญกว่าผีเกรียนอย่างผม ไล่ปลายนิ้วผ่านสันหนังสือทั้งที่มีตัวโปร่งแสงของผมแฝงอยู่ 'ไม่เห็นแน่ ถ้าเห็นก็วิ่งไปแล้วล่ะ'
“ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง บอกให้หลบไป” น้ำเสียงรอบนี้หงุดหงิดกว่าเก่ามาพร้อมสายตาจดจ้อง 'เอ่อ... หวัดดี ผมเป็นผีนะ' ผมรีบแนะนำตัวเพราะกลัวหมอนี่จะเข้าใจผิดว่าผมเป็นขโมยไปซะก่อน
"แล้วไง" เขาย้อนกลับทันควัน
"ผมเป็นผี คุณก็ต้องกลัวซิ"
"อย่างผมเนี่ยนะ ต้องกลัวใคร ถอยไป!"
พอโดนเหวี่ยงเสียงแข็ง ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่กลัว ดูจากสายตาท่าทางอาจไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าผมผี
เราจ้องตากันอยู่นาน เอาจริงผมก็อยากเบิกตากว้าง ทำตาโปนให้ดูน่ากลัวๆ เหมือนในหนังแหล่ะ แต่มันทำไม่ได้ไง พอยักคิ้วลิ่วตาหน่อยแทนที่เขาจะกลัวกลับยิ้มตอบ แถมหัวเราะเยาะเย้ย 'เอ้ย!' กลายเป็นผมเองครับที่ใจเต้นตุบๆ ไอร้อนเกิดขึ้นกลางช่องท้องทันที มันวิ่งวูบไหวทั่วร่าง ตีรวนจนผมเรื่มหอบ
"หลบได้แล้ว คุณผี"
"ไม่ใช่ผีธรรมดานะ ผมเป็นผีเจ้าของห้อง คุณไม่กลัวหรือไง"
"ถ้ากลัวแล้วผมจะยืนเถียงกับคุณไหมล่ะ"
"นี่คุณ! ผมเป็นผีจริงๆ นะ ไม่กลัวผมหลอกคุณหรอ"
"หลอกหรอ แบบเมื่อกี้หรือเปล่า"
“นั่นผมแค่ทักทายคุณ"
จุดรวมสายตาตรงหน้าย้ายไปนั่งโซฟากลางห้อง ในมือถือหนังสือเล่มเล็กสีดำสนิท ผมเลือกนั่งอยู่ใกล้ เพราะน่าจะดีกว่านั่งตรงข้ามแล้วเห็นทุกอย่างชัดเจน
“มาห้องผมบ่อยๆ มีอะไร”
“เอ่อ... คุณเห็นตลอดเลยหรอ”
“อืม มีอะไรว่ามาซิ”
“คือผมไม่ได้อยากมานะครับ มันมาเอง” ผมตอบเบาๆ
“แว๊บไปแว๊บมาเนี่ยนะที่ว่าไม่อยากมา”
“นี่! ต้องให้ย้ำอีกรอบไหมว่าผมเป็นผี ผมเป็นผี คุณก็ควรจะกลัวสักหน่อยป่ะ”
“น่ากลัวตรงไหนล่ะ นายก็ออกจะน่ารัก”
บ้าจริง! พูดแบบนี้ ยิ้มแบบนี้ อยากให้ผมตายอีกรอบหรือไง ทำไมนะ! ปกติผมไม่ชอบเลยเวลาใครชมว่าน่ารัก ผมเป็นผู้ชายก็ต้องอยากหล่อซิ ถูกต้องไหม แล้วทำไมกับเขาถึงรู้สึกดีจัง
"น่ารักบ้าอะไร ดูสารรูปผมซะก่อน"
"หึ! เชื่อเถอะนายดูดีกว่า...ที่ฉันเคยเจอ"
"หมายถึงผีหรอ นี่ชีวิตคุณเจอผีบ่อยหรอ"
"อยากรู้ไปทำไม รู้แค่ว่าตอนนี้ฉันเจอนายก็พอแล้ว"
"อ่อ! ก็ได้ ผมชื่อคิริวนะแล้วคุณล่ะชื่ออะไร"
"เรียกฉันว่าคารอส"
แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะทำผมรู้สึกดี แต่ภาพในอดีตก็ตอกย้ำว่าผมเจออะไรมาบ้าง แย่จังเนอะ! อยากดีใจก็ดีใจไม่สุด อยากยิ้มก็ยิ้มไม่สุด เพราะความเลวร้ายที่เคยเจอเป็นตราบาปให้ผมหวาดกลัวไปแล้ว
ผมคุ้นเคยกับคารอสทันที เหมือนเคยเห็นที่ไหนแต่ก็จำไม่ได้ ดูซิ! ขนาดร่างโปร่งแสงของผม ยังค่อยสีเข้มขึ้นจนใกล้เคียงคนปกติแล้ว
"คุณไม่กลัวผมแน่นะ"
"ไม่เลยสักนิด"
“ดี!! งั้นถ้าคุณไม่กลัว ผมขอมาอยู่ด้วยได้ไหม”
“อยากอยู่ที่นี่หรอ”
“ก็ไม่อยากหรอก แต่ผมไม่มีที่อื่นให้ไปนี่น่า”
เสียงสิบแปดของผมงอแงเป็นผีเด็กเอาแต่ใจอยู่ ทั้งยังส่งยิ้มเป็นมิตร ทำตาเว้าวอนขอร้องให้คาร์รอสเห็นใจบ้าง ถึงเขาจะไม่กลัวแต่ผมก็ไม่กล้าบอกอยู่ดีว่าผมตายที่นี่ ตรงโซฟาที่เขานั่งอยู่ครั้งเคยมีร่างผมนอนอืดอยู่
“ตามใจซิ ฉันห้ามนายไม่ได้อยู่แล้วนี่"
พูดจบคาร์รอสก็เดินหนีไป ปล่อยผมดีใจลิงโลดคนเดียว ‘น่าสนุกแฮะ เพื่อนคนแรกหลังความตายของผม จะเป็นคนยังไงน่า’