9 ม.ค. 2021 เวลา 13:49 • หนังสือ
วันนี้ผมจะมารีวิวและสรุปหนังสือ ‘ทักษะความสุข’ ครับ
.
หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณ Roundfinger
หนังสือเล่มนี้เล่าเกี่ยวกับความสุขในรูปแบบต่าง ๆ
โดยมีการนำมาจาก พอดคาสต์ ‘ความสุขโดยสังเกต’
มีการนำข้อมูลจากหนังสือดี ๆ งานวิจัย และบุคคลมากมาย
หนังสือเล่มนี้มีทั้งวิธีคิด และวิธีปฏิบัติ ที่นำไปสู่ความสุขจำนวนมาก
และทำให้เข้าถึงความสุขได้ง่ายมากขึ้น
หลังจากอ่านแล้ว ผมรู้สึกแน่ ๆ ว่าจะต้องเป็น 1 ในเล่มที่ดีที่สุดของปีนี้
และจะอ่านซ้ำอีกแน่นอน
.
หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ
1 ตัวตนและจิตใจ
2 งานและความหมาย
3 วิถีแห่งความสุข
4 ความสัมพันธ์
5 วิธีปฏิบัติ
โดยผมสรุปมาบางส่วนของหนังสือในแต่ละบท
ซึ่งยังมีอีกมากมายที่เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ในหนังสือเล่มนี้
หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วย ประโยคดี ๆ ที่สร้างพลังบวก
ทำให้เห็นมุมมองที่เกี่ยวกับความสุขมากขึ้น
ทั้งที่รู้มาก่อนหรือเป็นความรู้ใหม่
แต่ละบทแต่ละตอน ใช้ภาษาได้ดีมาก น่าอ่าน สละสลวย
ผมจะลองนำมาปรับเขียนกับเพจของผมดูครับ
แถมหนังสือที่อ้างอิงต่าง ๆ เนื้อหาดีจน
ทำให้ผมอยากไปอ่านมาก ๆครับ
แม้เล่มนี้จะมีจำนวนหน้าที่เยอะพอสมควร
แต่อ่านไปเรื่อย ๆ ก็จบบทและจบเล่มได้ไม่ยาก
.
จำนวนหน้า 419 หน้า
เล่มที่ 4/2564
15
เพิ่มเติม : ความสุข คือ ความพอใจกับสิ่งที่ชีวิตมอบให้ ณ ตอนนี้ แต่คนเรากลับมองหาความสุขจากที่อื่น เป็นการเพิ่มความคาดหวังไปเรื่อย ๆ . หากเราลดเพดานความคาดหวังลงได้ ลองมองหาความสุขที่เรามี ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว การงาน สิ่งของ บ้าน ความคาดหวังในสมการยิ่งน้อยลง กลับไปเพิ่มที่ความสุขของเรา แล้วเราจะรู้สึกบวกกับชีวิตมากขึ้น
เพิ่มเติม : ความสุขของเราจะเกิดขึ้นได้จากการให้ ’อภัย’ ในอดีต และการไว้ใจคนอื่นมากขึ้นในปัจจุบันและอนาคต . การให้อภัย คนที่ได้ประโยชน์ดีที่สุดก็คือ ตัวเราเอง การให้อภัยจะทำให้เราเยียวยาบาดแผลในใจ และ ทำให้ร่างกายของเราดีขึ้น จากงานวิจัยพบว่า คนที่คลี่คลายและให้อภัยคนอื่น จะทำให้ความเครียดลดลง และระดับความภูมิใจสูงขึ้น การให้อภัยคนอื่น เรากลับรู้สึกดีมากขึ้น . การให้อภัยที่น่าสนใจมากในเรื่องนี้ คือ อีวา โมเซส กอร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอถูกจับไปที่ค่ายกักกันของนาซีพร้อมครอบครัว ทั้งหมดโดนทรมานสารพัด แต่คนรอดกลับมีเพียง ‘อีวา’ ในใจเธอเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชัง แต่แล้ววันนึงเธอไม่อยากแบกความเกลียดชังนี้ไว้ จึงติดต่อหาหมอที่เคยทำไม่ดีไว้กับครอบครัว แต่กลับเจอหมอที่อยู่ในค่ายกักกัน ในช่วงเวลาเหมือนกันแทน เมื่อพบหน้าเธอไม่สามารถให้อภัยได้อยู่ดี แต่เธอได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ของเธอว่า ให้ลองเขียนจดหมายแทน ในตอนแรกอีวายังเขียนไม่ได้ เธอจึงลองตะโกน ด่าสบถคำหยาบคายออกมาจนหมด จากนั้น เธฮจึงเริ่มเขียนจดหมายและนำไปอ่านให้หมอคนนั้นฟังและให้เซ็นเอกสารให้ เป็นการอโหสิกรรม . อีวารู้สึกปลดปล่อย เป็นอิสระจากการไม่รู้สึกติดค้างอะไร และได้เรียนรู้ว่า ‘ การให้อภัย เป็นอำนาจของเรา เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่มีต่อมันได้ ‘ . ในปัจจุบัน เราเจอแต่เหตุการณ์ไม่ดีมากมาย ๆ การจะไว้ใจคนอื่นก็ทำได้ยาก แต่สามารถทำได้โดย ให้เปรียบประสบการณ์ร้าย ๆ เป็นน้ำสีดำ และให้เราจดจำและใส่ใจเรื่องราวดี ๆที่คนอื่นทำให้เรา เปรียบเสมือนน้ำใส ๆ ที่เทลงไปในแก้วน้ำสีดำ ยิ่งเทน้ำใสลงไปมากเท่าไหร่ ก็จะเจือจางน้ำในแก้วได้มากเท่านั้น จากทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า ถ้าประสบการณ์ร้าย ๆ เราให้อภัยและเติมเต็มไปด้วยสิ่งดี ๆ น้ำในแก้วของเราจะใสมากขึ้น และนั่นคือ ความสุขของชีวิต
เพิ่มเติม : จากหนังสือ Happier ของ ดร. ทาล เบน-ชาอาร์ บอกว่า ให้ตอบคำถามจากวงกลม MPS นี้ว่าอะไร คือ 'ตรงกลางของวงกลม โดยแต่ละอัน คือ อะไรที่ให้คุณค่า เราสนุกกับอะไร และอะไรที่ทำได้ดี . กระบวนการ MPS นี้ ไม่เพียงแต่ใช้ได้กับงานที่หาใหม่ได้อย่างเดียวแต่ใช้กับงานที่ทำอยู่แล้ว ลองปรับเน้นให้เป็นสิ่งที่เป็นคำตอบมากขึ้น อาจช่วยเพิ่มความสุขในการทำงานขึ้นได้
เพิ่มเติม : จากหนังสือ ’เจาะจุดแข็ง’ เสนอเครื่องมือการหาพรสวรรค์ คือ 1 ให้แยกแยะพรสวรรค์จาก ‘ธรรมชาติ’ และ ‘สิ่งที่เรียนเพิ่มเติมได้’ จะแตกต่างกันคือ ต่อให้แบบ ‘สิ่งที่เรียนเพิ่มเติมได้’ จะได้รับการฝึกฝนมากเท่าไหร่ แต่ก็จะไม่ลื่นไหลหรือเป็นธรรมชาติเท่ากับแบบ ‘ธรรมชาติ’ 2 เราเรียนรู้กิจกรรมใดได้เร็ว คือ สิ่งใด เราสามารถเข้าใจและทำได้ดีกว่าคนอื่น สามารถทำกิจกรรมนั้นโดยลืมเวลาไปเลย ให้สงสัยว่าคือ พรสวรรค์ไว้ก่อนเลย 3 เราไม่ได้ใช้คำพูดดี ๆ กับพรสวรรค์ตนเอง เช่น คนขี้จุกจิก คือ คนละเอียดรอบคอบ หรือ คนขวางโลก เป็นนักตั้งคำถาม . สุดท้ายแล้ว พรสวรรค์ ก็คือ แบบแผนของความคิด หรือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ของเรานั่นเอง
เพิ่มเติม : เทคนิคการบริหารเวลาว่างของคุณนิ้วกลม คือ 1 กั้นผนังให้ตนเอง คือ จะมีการกำหนดเวลาทุกวันไว้ ที่จะอนุญาตให้ตนเองผ่อนคลาย ทำอะไรก็ได้ แต่ต้องให้อยู่ภาวะที่ลื่นไหล ไม่รู้สึกถูกรบกวน ให้สมองได้พักและมีความสุข 2 หาวันขี้เกียจให้ตนเอง คือ หาช่วงเวลาในแต่ละสัปดาห์หรือเดือน ให้ขี้เกียจได้เต็มที่ ให้รู้สึกว่า ‘ความผ่อนคลาย’ คืออีกหนึ่งกำไร นอกจาก กำไรจากการทำงาน 3 แบ่งเวลาลับขวาน คือ การหาเวลาเพิ่มทักษะและความรู้ให้ตนเอง
เพิ่มเติม : หากอยากตอบคำถามที่ 2 ให้รอบคอบ ควรถอยตัวเองออกมาและมองสถานการณ์ให้รอบด้านเสียก่อน จะได้ไม่ตัดสินใจจากความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผล จนพลาดสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง
เพิ่มเติม : เราควรจะเป็นสิ่งที่ดีงามในชีวิตผู้อื่นด้วย 3 เหตุผล 1 สุขในขั้นต้น เมื่อเราปฏิบัติดีต่อผู้อื่น คนอื่นก็จะมีความสุขตอนเราทำดีกับเขา และมันทำให้เรามีความสุขตั้งแต่พบกัน 2 สุขในขั้นกลาง ทุกการกระทำดีจะต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนเราไม่รู้สึกพิเศษกับมัน แต่ในวันที่ต้องการจะเห็นได้เลยว่า ความสัมพันธ์อันดีจะมาหาเราเอง 3 สุขในขั้นปลาย ความรักเป็นสิ่งที่ใช้เวลาสะสม เมื่อเราต้องการมัน เราจะพบคำตอบว่า ในชีวิตที่ผ่านมา เราใช้ชีวิตแบบไหน เราเป็นแบบไหนในชีวิตของผู้คน . นำมาจากเรื่องราวของคุณเตา ประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร วันหนึ่งคุณเตาป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายวันมาก แต่ในระหว่างที่พักฟื้นนั้น มีคนมาเยี่ยม มีคนให้กำลังใจมากมาย เหตุเกิดมาจากความรัก ความเอาใส่ใจที่คุณเตา มีให้ผู้อื่นตลอดมา . ทุกวันคือการสะสม 'ความสัมพันธ์' ที่ดี ทุกการพบปะ จึงมีความสำคัญ
เพิ่มเติม : จากหนังสือ The Art of Loving เขียนโดย อีริค ฟรอมม์ เขาได้แนะนำ ’ทักษะสัมพันธ์’ เพื่อฝึกให้ ’รักเป็น’ 4อย่าง คือ 1 การห่วงใยดูแลกัน เวลาเรารักอะไรสักอย่าง จะเกิดการให้เวลาและดูเอาใจใส่ คอยดูการพัฒนาการและการเจริญเติบโตของมัน โดยคีย์เวิร์ดของการใส่ใจดูแล คือ การลงแรง เราจะลงแรงกับอะไรสักอย่างเมื่อเป็นสิ่งที่เรารัก 2 ความรับผิดชอบ สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องรับผิดชอบต่อความรักนั้นด้วย ‘ความเต็มใจ’ 3 การนับถือ เรายอมรับในสิ่งที่คนคนนั้นเป็น โดยไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวคนนั้น แต่การยอมรับให้ได้ 100 % เป็นไปได้ยาก แต่จะเกิดได้จาก ‘ความรู้’ 4 ความรู้ เมื่อเรารู้จักกับเขาอย่างแท้จริง เราจะกลายเป็นคนที่เขาไว้ใจจนเล่าความลับให้ฟัง เราจะมีความรู้ในตัวเขาที่คนอื่นไม่รู้ นำไปสู่การเคารพและนับถือในสิ่งที่เขาเป็นด้วยความบริสุทธิ์ใจ กระบวนการทั้ง 4 นี้ จะเกิดขึ้นตลอดเวลา ยิ่งฝึก ความรักจะยิ่งแข็งแรงและไม่ล้มเหลว โดยฟรอมม์บอกไว้ว่า ความรักที่ไม่มีวันล้มเหลวเลย คือ ความรักที่เราคิดว่า ‘เขาจะได้รับอะไรดี ๆ จากเราได้บ้าง’ โดยที่ยังไม่ต้องคิดเลยว่า เราจะได้อะไรกลับคืนมา
เพิ่มเติม : - ตระหนักอยู่เสมอว่าเรากำลังสร้างนิสัยใหม่ ถ้าเราทำบ่อย ๆ สมองจะชิน แล้วจะทำนิสัยนั้นเป็นปกติเอง - วางเป้าหมายไว้ใกล้มือ เช่น อยากไปวิ่งตอนเช้า ใส่ชุดวิ่งแล้วเข้านอนเลย วิธีจากคุณนิ้วกลม - ตัดตัวเลือก เพื่อลดการใช้พลังงานของสมอง โดยให้เหลือภาพชัด ๆ เพียงตัวเลือกเดียว
โฆษณา