11 ม.ค. 2021 เวลา 02:00 • ธุรกิจ
เกมชนะ 'ผาแดง' ธุรกิจต้องต่าง !
ใช้เวลา 4 เดือนจบดีล ! เทคโอเวอร์ 'โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์-คาเพลลา' ของ 'คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์' ด้าน 'ทอมมี่ เตชะอุบล' นายใหญ่ 'ผาแดงอินดัสทรี' ฉายภาพสตาร์ดวงใหม่ อยากชนะธุรกิจต้องมี 'จุดต่าง' หวังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้น ดันผลประกอบการปีเติบโต
เกมชนะ 'ผาแดง' ธุรกิจต้องต่าง !
แม้ 'ตระกูลเตชะอุบล' จะเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ยกแผงเมื่อปี 2557 ด้วยการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งคอมพานี (Holding Company) ภายใต้ชื่อ บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ CGH เพื่อลงทุนบริษัทในเครืออย่าง บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป หรือ CGS และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี หรือ MFC สัดส่วนการลงทุน 99.30% และ 24.96% ตามลำดับ
ขณะเดียวกันยังลงทุนในกิจการเหมืองแร่และโรงถลุงแร่สังกะสี สำหรับผลิตโลหะสังกะสีแท่งบริสุทธิ์และโลหะสังกะสีผสม บมจ.ผาแดงอินดัสทรี หรือ PDI และบริษัทร่วมทุน บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ หรือ CGD ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วนลงทุน 25% และ 9.25% ตามลำดับ
1
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา 'เสี่ยไมค์-สดาวุธ เตชะอุบล' เจ้าของตัวจริงสั่ง 'ทอมมี่ เตชะอุบล' ลูกชายคนเล็ก ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 'คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์' เคลื่อนตัวลงทุนกิจการเพิ่มเติมใน PDI หลังต้องเผชิญหน้ากับภาวะแร่สังกะสีหมดและไม่มีเหมืองแร่อื่นในเมืองไทย
ใน 'ธุรกิจสีเขียว' ไล่มาตั้งแต่ 1.ธุรกิจรีไซเคิลโลหะที่อยู่ในของเสียอุตสาหกรรม 2.ธุรกิจให้บริการด้านการจัดการของเสียอุตสาหกรรม และ 3.ธุรกิจพลังงานทดแทน แต่ที่ผ่านมากว่า 4 ปี ธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจได้จริงคือ พลังงานทดแทน โดยแบ่งเป็นโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในประเทศไทยกำลังการผลิตรวม 36.4 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มอีก 13 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่นอีก
1
ทว่าเมื่อต้นปี 2563 ตระกูลเตชะอุบลมองว่าธุรกิจพลังงานทดแทนประเภท พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) โอกาสเติบโต 'ก้าวกระโดด' เป็นไปได้ยาก ! เนื่องจาก PDI เข้ามาในธุรกิจพลังงานทดแทนหลังคนอื่นๆ แล้ว ฉะนั้นผลตอบแทน (รีเทิร์น) ไม่สูงเฉกเช่นช่วงแรก และหากต้องการเติบโตก็ต้องออกไปนอกบ้าน เพราะเมืองไทยไม่มีใบอนุญาตออกมา
1
ดังนั้นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PDI ที่ดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทน หากยังยึดติดอยู่กับการดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิม โอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนก็ยากขึ้น จึงตัดสินใจปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่มุ่งสู่ธุรกิจที่ถนัดนั่นคือ ธุรกิจโรงแรม !
4 เดือนปิดดีล ! เจรจาขอ 'ซื้อกิจการ' (เทคโอเวอร์) โรงแรม 2 แห่งคือ 'โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ' มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท จากบมจ. คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGD โดยเบื้องต้นจะถือหุ้น 51% มูลค่ารวม 2,805 ล้านบาท ส่วนอีก 49%จะได้รับสิทธิซื้อภายใน 12 เดือน ในมูลค่าราว 2,695 ล้านบาท
1
ซื้อกิจการคนใกล้ตัวยากยิ่งกว่าซื้อของคนอื่น ! วลีเด็ดของ 'ทอมมี่ เตชะอุบล' กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผาแดงอินดัสทรี หรือ PDI เล่าให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟัง การขอซื้อหุ้นธุรกิจในครอบครัวตัวเอง 'ยากยิ่งกว่า' เข้าเทคโอเวอร์ธุรกิจของคนที่ไม่รู้จัก ! 'ขอซื้อหุ้นโรงแรมจาก CGD นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยากกว่าไปซื้อหุ้นของคนอื่นอีก...' ทอมมี่ย้ำให้ฟังเช่นนั้น
1
จากธุรกิจพลังงานทดแทนประเภท พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) สู่ ธุรกิจโรงแรม ! ทันที
สำหรับธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ศึกษาและเข้าประมูลมาโดยตลอดโดยเฉพาะโรงแรมในต่างประเทศ เนื่องจากปีก่อนค่าเงินบาทแข็งค่า และธุรกิจโรงแรมในไทยชะลอตัว สะท้อนผ่านเมื่อปีก่อนบริษัทมีการเข้าประมูลโรงแรมในประเทศอังกฤษ 1 แห่ง ผลปรากฏว่าบริษัทแพ้ราคาประมูลรอบสุดท้าย แต่นั่นถือเป็นสิ่งที่ดีที่ PDI ปรับเปลี่ยนตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าปี 2563 ทั่วโลกเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่บริษัทกลับมองเป็นโอกาสและจังหวะที่ดีในการเข้าไปศึกษาตลาดโรงแรมในเมืองไทยอย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมามีการเข้าประมูล 2-3 รายเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ แต่พบว่าผู้ขายไม่มีใครยอมขายโรงแรมในราคาที่เหมาะสม (ราคาที่ลดลงจากโควิด) ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม
แม้ธุรกิจจะได้รับผลกระทบหนักแต่ก็ยังได้นโยบายช่วยเหลือของรัฐมาเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นไปได้
ดังนั้น ที่ผ่านมาจะไม่เห็นโรงแรมขนาดใหญ่เปลี่ยนมือ จึงทำให้คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) PDI เกิดแนวคิดขอซื้อกิจการโรงแรมของ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGD ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์-โรงแรม ซึ่งบอร์ด PDI ได้อนุมัติให้เข้าซื้อกิจการ 'โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ' ซึ่งมีมูลค่าสุทธิกิจการรวม 10,000 ล้านบาท จาก CGD ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่ดีระดับโลก
ด้วย 'จุดเด่น' ที่ 'แตกต่าง' จากผู้ประกอบการโรงแรมย่านนั้น พร้อมๆ กับขายธุรกิจโรงไฟฟ้าออกทั้งหมดไป คาดว่าบริษัทจะขายสินทรัพย์ทั้งหมดและรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาส 1 ปี 2564
นอกจากนี้ บริษัทซื้อที่ดินย่านสาทร จำนวน 1 ไร่ ซึ่งลงทุนสร้างโรงแรม จำนวน 209 ห้อง มูลค่า 1,500 ล้านบาท คาดจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 1 ปี 2564 และเปิดเชิงพาณิชย์ปี 2567 โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างขอประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
1
นั้นหมายความว่า PDI จะเปลี่ยนโฉมธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์มาสู่ ธุรกิจท่องเที่ยวโรงแรมทันที !! ขณะที่ CGD จะลดภาระหนี้ก้อนโต และมุ่งสู่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว เป็นการปิดดีลซื้อกิจการที่ win…win ทั้งคู่
1
เขา บอกต่อว่า แผนธุรกิจปี 2564 มุ่งเน้นธุรกิจโรงแรม แม้ว่าอาจจะต้องรอการฟื้นตัวของท่องเที่ยวแต่เชื่อประเทศไทยท่องเที่ยวและโรงแรมถือว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมแข็งแกร่ง ฉะนั้น หากกระบวนการซื้อหุ้นเสร็จเรียบร้อย บริษัทออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 301.33 ล้านหุ้น แบ่งขาย 2 แบบ แบบแรกขาย RO จำนวน 226 ล้านหุ้น และที่เหลือจำนวน 75 ล้านหุ้น รองรับการออกวอร์แรนต์ (PDI-W2)
อย่างไรก็ตาม หากได้เงินระดมทุนตามเป้าหมายบริษัทจะมีเงินทุนไปซื้อกิจการโรงแรมเข้ามาเพิ่ม โดยตั้งเป้าซื้อกิจการโรงแรม 2 ปี จำนวน 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าในปี 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) บริษัทจะมีกระแสเงินสดจากธุรกิจโรงแรม 3 แห่ง (โฟร์ซีซั่นส์ , คาเพลลา , โรงแรมใหม่สาทร) ในระดับ 'พันล้านบาท' ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะหายไปในปี 2565 และในปี 2566 เป็นต้นไปรายได้ธุรกิจโรงแรมจะเติบโต 'หลายเท่าตัว'
1
รวมทั้งบริษัทไม่ปิดกั้นตัวเองในการซื้อกิจการโรงแรมเพิ่ม ซึ่งมีโอกาสทั้งในและต่างประเทศ โดยแผนธุรกิจศึกษาตั้งกองรีทเพื่อขายโรงแรมเข้ากองรีทแล้วนำเงินมาซื้อธุรกิจโรงแรมต่อ ขณะที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และโรงแรมคาเพลลา กรุงเทพฯ เป็นพอร์ต Recurring Income หรือรายได้ประจำของบริษัท
แต่เบื้องต้นบริษัทขยายธุรกิจด้วยเงินจากการขายสินทรัพย์และเงินเพิ่มทุนก่อน โดยบริษัทขายโซลาร์ฟาร์ม 7 แห่ง รวมกำลังการผลิต 36.4 เมกะวัตต์ ให้กับบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ หรือ BAFS มูลค่า 1,705 ล้านบาท คาดขายโซลาร์ญี่ปุ่น 1,000 ล้านบาท ที่ดิน 2 แปลง มูลค่า 1,000 ล้านบาท หากรวมกับเงินเพิ่มทุนน่าจะมีกระแสเงินสดในมือ 6,000 ล้านบาท และคาดหลังชำระเงินซื้อ 2 โรงแรมแล้วเหลือเงินราว 3,000 ล้านบาท โดยคาดขายสินทรัพย์ได้ทั้งหมดในไตรมาส 1/2564
โดยบริษัทคาดว่าปีหน้าผลประกอบการขาดทุนสุทธิ แต่จะพลิกเป็นกำไรในปี 2565 จากผลประกอบการทั้ง 2 โรงแรม เนื่องจากปัจจุบันโรงแรมเพิ่มเปิดดำเนินการเมื่อไตรมาส 4 ที่ผ่านมา แต่ได้รับความนิยมเกินกว่าที่ประเมินไว้โดยเฉพาะในส่วนของห้องอาหารและห้องบอลรูม ขณะที่ห้องพักยังมีอัตราเข้าพักในระดับต่ำ โดยโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันมีอัตราเข้าพักแค่ 20%
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโรงแรมถือเป็นโอกาสใหม่ที่จะทำให้ PDI เติบโตไดในอนาคต และเชื่อว่าผลตอบแทนธุรกิจโรงแรมจะมากกว่าธุรกิจโซลาร์หลายเท่าตัว ซึ่งกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้น PDI น่าจะเห็นประเด็นดังกล่าวและยังคงถือหุ้นต่อไป แต่อาจจะไม่ใส่เงินเพิ่มทุนเข้ามา
โฆษณา