Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกของสายน้ำ
•
ติดตาม
15 ม.ค. 2021 เวลา 08:25 • ท่องเที่ยว
บึนทึกการเดินทาง เชียงใหม่ ฤดูฝน 2559
1
สายฝนตกลงมาเมื่อยามเย็น เมฆสีครึ้มลอยต่ำอยู่เหนือหลังคาบ้านของผมเป็นบรรยากาศที่ชวนให้ผมหวนนึกถึงฤดูฝนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว... เวลานั้น กรกฎาคม 2559 ที่เชียงใหม่ เสียงฝนและกลิ่นดินเมื่อเวลานั้นยังติดตรึงในใจผมเสมอมา ก่อนที่เรื่องราวในช่วงเวลานั้นจะลางเรือนไปตามกาลเวลา ผมจะพยายามรวบรวความทรงจำนั้นกลั่นออกมาเป็นตัวอักษรในบทความนี้
มันเริ่มจากความคะนองของผมเอง ช่วงเวลานั้นผมเพิ่งจะเรียนจบใหม่ยังไม่มีงานทำ แล้วผมต้องไปสอบที่เขาเรียกกันว่า สอบ ก.พ. มันคือการสอบคัดเลือกบุคคล เพื่อเข้ามาทำงานให้กับหน่วยงานราชการ แล้วผมก็ได้สมัครสอบและเลือกสนามสอบที่จังหวัดเชียงใหม่ไป
บ้านอยู่อ่างทอง เรียนที่กรุงเทพฯ ทะลึ่งไปสอบสนามเชียงใหม่ แต่ใจผมรู้ดีครับผมไม่ได้ตั้งใจจะไปสอบอะไรหรอกผมแค่หาเรื่องไปเชียงใหม่ เมืองที่ผมหลงรักอย่างห่างๆมานาน
เมื่อประกาศสนามสอบออกมา ผมก็ได้สนามสอบที่โรงเรียนเรียนวัฒโนทัยพายัพ ผมได้แต่พึมพำในใจ “ไปยังไงวะ” แต่เมื่อตั้งใจจะไปแล้วยังไงก็ต้องไปให้ถึง ดังนั้น วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ผมจึงเริ่มต้นออกเดินทางโดยรถไฟฟรีตามลำพัง
ตั๋วโดยสารรถไฟ ฟรี
บรรยากาศก่อนออกเดินทาง
เตรียมตัวเดินทาง
รถไฟออกจากชานชาลา เวลา 13.45 น. ผมได้ที่นั่งที่ต้องหันหลังให้กับเส้นทางที่รถไฟมุ่งไป ผมจึงขยับมานั่งฝั่งตรงข้ามเพื่อจะมองวิวภายนอกหน้าต่าง ผมอยากมองไปข้างหน้า ผมอยากเห็นเชียงใหม่ด้วยสายตาเร็วๆ
แต่ไม่นานนักก็มีคู่รักคู่หนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของที่นั่งที่ผมย้ายไปมาถามหาที่นั่งของเขา ผมจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วกลับมานั่งหันหลังให้กับจุดหมายปลายทางเช่นเดิมตามหมายเลขที่นั่ง
การมาคนเดียวมันก็ไม่ได้เหงาอะไรนัก นั่งฟังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาจีบกันก็พอให้เขินๆได้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มออกไปเมื่อได้ฟังคู่รักคู่นั้นหยอกล้อกัน และนั่นเป็นจังหวะที่ผู้โดยสารฝั่งตรงข้ามที่นั่งเข่าแทบจะชนกันเริ่มต้นชวนผมพูดคุย
เป็นเวลาค่ำแล้ว รถไฟแล่นฝ่าสายฝนที่หนาวเย็น คู่รักคู่นั้นเล่าให้ผมฟังว่า เขารู้จักกันในแชท แล้วฝ่ายหญิงได้ตัดสินใจไปหาฝ่ายชาย จากนั้นฝ่ายชายก็อยากจะติดตามฝ่ายหญิงกลับบ้านที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งฝ่ายชายก็ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยที่จะไปพบหน้าพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ผมก็ได้แต่ปลุกใจชายหนุ่มผู้นั้นไป
ผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์ไปแล้ว คู่รักคู่นั้นลงรถไฟไปเผชิญสายฝน ไร้สิ้นพ่อค้าแม่ค้ามาเดินขายของกิน ดึกสงัดผมก็ยังไม่รู้สึกง่วงเพลียหรือคิดจะหลับแม้แต่งีบเดียว ผมยังตื่นเต้น ผมยังอยากมองออกไปนอกหน้าต่างอันดำมืดที่ฝนกำลังพร่ำพรมอยู่และผมไม่ได้หลับเลยจนถึงสถานีเชียงใหม่
‘เชียงใหม่สักทีนะ’ ความคิดแรกเมื่อก้าวลงจากรถไฟด้วยอาการอ่อนล้าและเมื่อยก้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้มาเชียงใหม่ การมาครั้งแรกของผมคงต้องย้อนไปเมื่อผมอายุ 15 ปี ผมกับเพื่อนสนิทที่อยู่คนละหมู่บ้านได้ชวนกันออกเดินทางมาเชียงใหม่โดยรถไฟฟรีเช่นกัน ครั้งนั้นเป็นฤดูหนาว ภาพจำยังคงทำให้ผมคลำทางได้ว่าผมควรจะเดินไปทางไหนหลังจากลงรถไฟแล้ว
เช้ามืดของเชียงใหม่นี่สดชื่นจริงๆนะครับ ขนาดคนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนยังรู้สึกดี ผมขึ้นไปบนรถแดงที่จอดอยู่หน้าสถานี บอกว่าไปประตูท่าแพ เสียตังค์แค่ 20 บาท บนรถอัดแน่นไปด้วยฝรั่งและพระสงฆ์ ไม่นานนักผมก็ได้มาถึงจุดหมายที่ตั้งใจ
ประตูเมืองที่เขียนว่าประตูท่าแพอยู่ทางเบื้องหน้า แต่ทว่าที่พักเล่า?? ผมไม่ได้จองที่พักหรอก ทุกวันนี้ยังไม่เคยจองเลย 555 ผมคิดว่าการที่เราไม่รู้ว่าคืนนี้จะได้นอนที่ไหนมันเป็นเสน่ห์หนึ่งของการเดินทางเลยละ
ประตูท่าแพ ยามเช้า
เดินหาที่พักสลับกับเปิดโทรสัพท์หาที่พักถูกๆในบริเวณใกล้เคียงประตูท่าแพ ผมก็ได้ที่พักในราคาที่ผมชอบใจ
อาจเพราะผมสะพายกระเป๋าและสวมเสื้อที่มีสัญลักษณ์มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนจบมา บวกกับที่ผมบอกกับพนักงานโรงแรมว่าผมจะมาสอบ ผมจึงได้ในราคานักศึกษาไป 2 คืน 250 บาท
เมื่อถึงห้องพักก็จัดการอาบน้ำให้ชื่นใจ ลงไปซื้อขนมปังที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆกินเป็นมื้อเช้า จากนั้นการหลับยาวๆก็มาถึง... พระอินทร์จ๋าพี่มาแล้วจ๊ะ...
ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็บ่ายหนึ่งเศษ ฝนไม่ได้ตก ผมนั่งกินขนมปังที่เหลือเมื่อเช้าเล็กน้อยแต่ไม่พออิ่มจึงลงไปหาอาหารข้างทางใกล้ๆเพื่อบรรจุกระเพาะเพิ่มเติม ได้ก๋วยเตี๋ยวราคา 20 บาท แม่ค้าถามไถเป็นภาษาเหนืออย่างเป็นกันเองว่ามาเที่ยวรึมาทำอะไร ผมจึงได้เพื่อนคุยระหว่างทานอาหาร ผมก็ไม่ได้เข้าใจทุกถ้อยความที่เขาถามหรอกครับ มีแต่คำว่า ‘เปิ้น’ ซึ่งจะหมายถึงตัวเขารึผมก็ไม่ทราบได้
ก๋วยเตี๋ยวหมดชาม เวลาของวันนี้ยังเหลือๆ ผมรู้สึกอยากไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเชียงใหม่ ผมคิดถึงพระธาตุดอยสุเทพ ผมเคยไปมาแล้วเมื่อครั้งก่อน แต่ก็อยากจะไปอีกครั้ง ไปขอพรให้พรุ่งนี้สอบผ่าน
วันคืนก่อนหน้านั้นผมขอสารภาพครับ ไม่เน้นอ่านหนังสือเลย ผมเน้นดูที่เที่ยวในเชียงใหม่ ดังนั้นการพึ่งพา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ควรจะทำ
ผมโบกรถรับส่งสีแดงเช่นเดิมเพื่อไปลงท่ารถที่จะขึ้นดอยสุเพทข้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในราคา 20 บาท จากนั้นท่ารถแดงที่จะขึ้นดอยสุเทพก็คิดเงินผมอีกในราคา 60 บาท เพื่อส่งผมลงยังดอยสุเทพที่ปรารถนา
ฝนลงเม็ดเล็กน้อยพอให้พื้นเปียกลื่น ผมเดินขึ้นบันไดเพื่อไปไหว้พระธาตุทันที
พระธาตุดอยสุเทพ
ตัวพระธาตุยังคงสวยงามเหมือนที่ผมได้เคยมาเห็นครั้งแรก พนมมือกราบไหว้ ในใจขอเพียงให้การสอบ ของผมในวันพรุ่งนี้เป็นไปด้วยความราบรื่น
บรรยากาศบริเวณพระธาตุดอยสุเสพขณะฝนโปรย
ประมาณ 4 โมงเย็น สายฝนโปรยเล็กน้อยอยู่ ผมลงจากพระธาตุดอยสุเทพ เห็นรถแดง รถเหลือง และรถขาว จอดเรียงราย ติดป้ายไปดอยปุยในราคาไม่แพง แต่พอไปแสดงความจำนงค์ว่าจะไปดอยปุยปรากฏว่าต้องรอนักท่องเที่ยวคนอื่นๆไม่เช่นนั้นก็ต้องจ่ายราคาเหมาราคาหลักร้อย ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เหมาแน่ ผมขี้งก 555
ใจก็อยากเที่ยวแต่สตางค์ก็ต้องงกไว้ ยืนชั่งใจอยู่ครู่ พี่คนขับรถก็ไปฝากผมให้ติดรถไปกับชาวม้งที่กำลังขับรถกลับบ้านบนดอยปุย ไม่รอช้า รีบขอบคุณรีบขึ้นท้ายรถไปเลย
ผมไม่ทราบจริงๆว่าดอยปุยไปทางไหน มันไกลแค่ไหน แต่เขาก็ขับพาผมเลยดอยสุเทพไปอีก ซึ่งผมก็หลงคิดว่าดอยสุเทพมันตันแล้วสำหรับดอยนี้
สูงขึ้นไปไม่มากนักพี่ชาวม้งก็ส่งผมลงตรงหมู่บ้านดอยปุย บรรยากาศเงียบสงบ ท้องฟ้าอึมครึมกำลังดีผมเดินเที่ยวในหมู่บ้านซึ่งก็เก็บค่าเข้าไม่แพง 10 หรือ 20 บาท ไม่แน่ใจ
บ้านม้งดอยปุย
สงสัยนักท่องเที่ยวจะหนีฝนกลับหมดแล้ว บรรยากาศจึงสงบเงียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของผมที่เดินย่ำน้ำฝนเจิ่งนองตามทางแคบๆที่ปลูกดอกไม้หลากหลายสายพันธ์สวยงาม
ผมรู้สึกเพลิดเพลินกับดอยปุยจริงๆ ลมฝนที่พัดเข้ามาทำให้ผมรู้สึกถึงอิสระของการเดินทางผมใช้เวลาจนถึงเย็นเพื่อนั่งเหม่อมองดอกไม้และก้อนเมฆ กลิ่นของดินและดอกไม้เหล่านั้นยังคงจดจำได้ดี
ผมเกือบพบปัญหาเมื่อขากลับจากดอยปุย ในเมื่อมันไม่มีนักท่องเที่ยว ก็ไม่มีรถโดยสารที่จะกลับไปดอยสุเทพ ผมเดินวนเวียนอยู่นานก็พบคู่รักคู่หนึ่งที่เขาเหมารถขึ้นมาแล้วกำลังจะกลับ ผมจึงเข้าไปคุยกับคนขับรถพร้อมเสนอค่าโดยสารเพิ่ม ซึ่งอาจจะสร้างความมึนงงแก่คู่รักที่เหมารถมาอยู่บ้าง แต่ผมก็ได้นั่งรถคันนั้นมาลงยังดอยสุเทพพร้อมจ่ายค่าโดยสารแก่คนขับไป 60 บาท
พอกลับมาถึงดอยสุเทพก็รีบต่อรถกลับมายังเมืองเชียงใหม่ทันที่ ด้วยเกรงว่าจะไม่มีรถกลับอีก ระหว่างทางกลับผมกดกริ่งเพื่อลงรถที่วัดโลกโมฬี
หกโมงเย็นหรือทุ่มหนึ่งนี่แหละ ผมยังไม่อยากเข้าที่พัก ผมยังอยากเที่ยวต่อ วัดโลกโมฬีนี่ผมเคยคุ้นชื่ออยู่บ้าง แต่ไม่ทราบรายละเอียดและไม่เคยมาวัดนี้มาก่อน หน้าวัดสว่างโดยแสงไฟริมถนน ภายในวัดเริ่มมืดด้วยบรรยากาศหลังฝน
วัดโลกโมฬี
ผมเดินสำรวจวัดคร่าวๆแล้วเข้าไปไหว้พระก็ผละตัวกลับออกมาเนื่องจากฟ้าเริ่มมืดแล้ว
เดินเท้าริมถนนชมเมืองเชียงใหม่ไปเรื่อยๆ หิวก็แวะกินข้าวมันไก่ข้างทาง อิ่มแล้วก็ออกเดินต่อไม่รีบร้อน ดูแผนที่ทางโทรศัพท์ที่ตั้งจุดหมายไว้ที่ประตูท่าแพห่างออกไปเกือบ 5 กิโลเมตร ไกลพอสมควรและก็เป็นระยะทางที่เพลิดเพลินพอสมควร
ในบรรยากาศอันโดดเดียวก็มีความครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รีบไม่ร้อนจะกลับเข้าที่พักเลยสักนิด แวะถ่ายรูป แวะนั่งพัก นั่งมองแอ่งน้ำ มองเสาไฟฟ้า มองสิ่งปลูกสร้างต่างๆอย่างชื่นใจ พักใหญ่กว่าผมจะคลำทางกลับถึงที่พัก
เช้าวันต่อมาผมตั้งนาฬิกาปลุก อาบน้ำแต่งตัวโดยเร็วออกจากที่พักแต่เช้า วันนี้ผมมีสอบ ก.พ. เวลาบ่าย 2 แต่ที่ต้องรีบออกมาเช้าเพราะว่าผมจะต้องเดินไป เดินไปสำรวจสนามสอบให้แน่แก่ใจก่อน
ผมแวะกินก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมเมื่อวาน กินแค่พออิ่มพร้อมรับคำอวยพรจากแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวให้สอบผ่านก่อนออกเดินเท้า แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวยังแนะนำให้แวะทุกวัดที่เดินผ่าน ซึ่งผมเองก็คิดจะทำอย่างนั้นอยู่เช่นกัน
วัดที่ผมแวะวันนั้นชื่ออะไรผมก็ไม่ทราบ เพราะเดินดิ่งเข้าวัดโดยไม่ได้มองซ้ายมองขวา เนื่องจากตอนนั้นผมกำลังถูกข้าศึกบุกประชิดประตูเมืองแล้ว 555
ผมเป็นคนหนึ่งครับที่ทานอาหารเช้าแล้วถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่ว่าจะกาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังอะไรก็ตาม ผมจะต้องเข้าห้องน้ำประจำ ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น ผมมองหาห้องน้ำแล้วจ้ำอ้าวเข้าไปโดยไว
เมื่อเสร็จธุระออกมาจากห้องน้ำ ผมจึงได้มีเวลาสำรวจวัด วัดนี้เป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร ซึ่งน่าจะเป็นวัดขึ้นชื่อที่หลายคนรู้จัก ไม่แน่ใจว่าเพราะความสวยงามหรือความศักดิ์สิทธิที่ทำให้วัดนี้เป็นที่ท่องเที่ยว ซึ่งผมก็ไม่ทราบรายละเอียดเลย แม้แต่แต่ชื่อวัดผมเองก็ยังไม่รู้ อยากอื่นก็ไม่ต้องสืบ
ผมใช้เวลากับวัดนี้ไม่นานนัก เนื่องจากไม่วางใจว่าตัวผมเองจะเดินหลงทางรึเปล่า ผมจึงออกเดินตามแผนที่ ในโทรศัพท์ต่อไป
ในที่สุดผมก็มาถึงสนามสอบได้ในเวลาก่อนเที่ยง หาที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ซัดข้าวซอย ตุนกำลังเตรียมพร้อมสอบ สนามสอบนี้เป็นโรงเรียนที่มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นวิวภูเขาสวยงาม ไม่แน่ใจว่าเป็นดอยอะไร ได้แต่เดาไปเองว่าน่าจะเป็นดอยสุเทพในใจก็อดนึกอิจฉาเด็กโรงเรียนนี้ไม่ได้เนื่องจากบรรยากาศของโรงเรียนสวยงามเหลือเกิน ตอนก่อนทำข้อสอบผมยกมือไหว้ไปยังดอยนั้น เพื่อหวังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ
เวลาร่วงมาถึงเย็น ผมสอบเสร็จแล้ว แต่ยังติดฝนอยู่ที่โรงเรียนนั้น เรื่องการสอบบ่ายวันนั้น ผมลืมไปหมดแล้ว เพราะมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว ผลสอบจะออกมาอย่างไรนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บมากังวล
รอจนฝนซา ผมจึงเดินเท้ากลับที่พัก เดินบ้างพักบ้าง บางช่วงของการเดินเท้าฝนเกิดตกหนัก ต้องหลบเข้าไปในวัดที่ไม่ทราบชื่อ ซึ่งบรรยากาศของวัดก็น่ากลัวจนขนลุก วัดทาง ภาคเหนือศิลปะการสร้างไม่เหมือนภาคกลางที่ไม่ได้มีแค่ครุฑกับนาค แต่มีไปถึงสัตว์มงคลต่างๆรูปร่างไม่คุ้นตา ทั้งวัดเงียบสงัดเหมือนมีผมอยู่คนเดียว ผมไม่กล้าหลบฝนอยู่นานเพราะเกิดอาการกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น ผมจำต้องภาวนาให้ฝนบางเบาลงจึงออกไปหาที่กำบังฝนที่อื่น
ผมตัดสินใจเดินออกมาเรื่อยๆ ฝนยังคงโปรยเบาๆ เห็นตลาดนัดเบื้องหน้า เลยได้โอกาสเดินดูสินค้าไปด้วย ตลาดตั้งอยู่บนถนน ซึ่งปิดถนนเป็นทางยาวมาก เดินไปสักพักก็เกิดนึกขึ้นได้ว่าตลาดที่เราเดินอยู่นั้น คือตลาด ถนนคนเดินประตูท่าแพ ที่ตั้งในวันอาทิตย์ช่วงเย็น
ดูเหมือนว่าหยาดฝนหยาดสุดท้ายของวันนี้ได้ตกลงสู่พื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นักท่องเที่ยวทั้งฝรั่ง จีน ไทย เดินสวนกันขวักไขว่ไปตามท้องถนนที่เปียกชุ่ม แสงไฟจากร้านค้าสว่างจ้าส่องกระทบพื้นถนนระยิบระยับ บรรยากาศเย็นสดชื่น กลิ่นฝนที่หยุดไปยังคงอบอวล
เดินจนล้าไปทั้งขา ผมตัดสินใจหามื้อคำกลับไปทานบนห้อง และได้เป็นส้มตำน่าอร่อย หนึ่งถุง ซึ่งผมย้ำแล้วย้ำอีกว่ารสชาติกลางๆไม่เผ็ดมาก แต่ก็ไม่เป็นผล มันเป็นส้มตำครั้งแรกของผมที่เชียงใหม่ที่ผมไม่ลืมรสชาติ คืนนั้นผมกินส้มตำหนึ่งจานกับน้ำดื่มลิตรกว่าๆเห็นจะได้ อิ่มมากครับ…อิ่มน้ำ
ผมถือว่าผมได้มาเที่ยวเชียงใหม่สมใจปองแล้วครับ และก็ยังได้เข้าไปสอบตามที่ผมตั้งใจ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายเพราะผมจ่ายเงินไปแค่ 2 คืน พรุ่งนี้เช้ามีทางเลือกให้ผมเพียง 2 ทางครับ คือกลับบ้าน หรือไปเที่ยวต่อ แน่นอนครับผมเลือกอย่างหลัง
ผมคิดถึงน้องสาวคนหนึ่งครับเป็นน้องที่น่ารัก เธอกับแฟนหนุ่มของเธอเคยเอ่ยปากชวนผมไปเที่ยวที่บ้านบนดอยในอำเภอแม่แจ่ม ตำบลแม่นาจร ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้รับปากไปเป็นที่เรียบร้อย และผมก็จะใช้โอกาสนี้ที่ได้มาเชียงใหม่ไปเที่ยวบ้านเธอ
น้องสาวคนนี้ชื่อดาครับ น้องดาโทรมาคุยกับผมในคืนนั้นแล้ววางแผนการเดินทางให้ผมได้ไปบ้านพวกเขาจนเสร็จสรรพ
หลังจากเช็คเอาท์ในเช้าวันต่อมา ผมทานขนมปังที่ร้านสะดวกซื้อแถวประตูท่าแพอย่างง่ายๆ เดินเลาะไปตามทางเดินเท้า ใช้โทรศัพท์กำหนดจุดหมายที่ท่ารถช้างเผือก ด้วยความงกของตัวผมนะครับ รถแดงขับมาถามใกล้ๆว่าจะไปไหน ผมก็ส่ายหัวตอบกลับไป ผมจะเดินครับ และการเดินนี่แหละที่ทำให้ผมได้ใกล้ชิดกับเชียงใหม่
ในที่สุดผมก็เดินมาถึงท่ารถช้างเผือก ซึ่งเป็นท่ารถที่มีรถโดยสารภายในเชียงใหม่ และรถที่ผมจะต้องขึ้นไปนั่งก็เป็นรถคันสีเหลืองที่เขียนว่าบ้านกาด
บ้านกาด ผมได้ยินชื่อนี้ครั้งแรกจากน้องดาผู้เป็นเจ้าของบ้านที่ผมกำลังจะไป ซึ่งมันอยู่ที่ไหน ไกลไหม ผมไม่ทราบเลย นี่เป็นการเดินทางที่ผมไม่รู้จักจุดหมายปลายทางอย่างแท้จริง
ถ้าจำไม่ผิดผมจ่ายค่ารถในราคา 80 บาท รอไม่นาน ผู้โดยสารยังไม่ทันเต็มรถ รถโดยสารคันนี้ก็ออกจากท่ารถไปยังบ้านกาด
ราวบ่าย 2 เศษรถก็ได้มาสุดทางที่บ้านกาด... แล้วไงต่อละทีนี้ บ้านกาดคือตำบลหรือคือหมู่บ้านอะไร อยู่ส่วนไหนของอำเภอแม่แจ่มก็ไม่ทราบ มีตลาดสด ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ เป็นชุมชนที่ออกจะเป็นตลาด
ผมรู้สึกเคว้งเล็กๆเพราะไม่ทราบต้องไปทางไหนต่อ ก็พอดีที่น้องสาวโทรมาบอกว่าจะมีน้าชายของเขามารับ ให้ผมรออยู่ตรงนั้น
ไม่นานนัก น้าชายคนดังกล่าวก็ได้โทรมาหาผมครั้งแรกและขับรถกระบะมารับผมที่ท่ารถบ้านกาดในเวลาต่อมา
พูดตามตรง ตอนนี้ผมจำชื่อน้าไม่ได้ เพราะได้เจอน้าชายในเวลาสั้นๆ แต่จำหน้าได้ไม่ลืม
น้าชายเจอหน้าผมวันแรกผมก็รู้ได้ทันที่ว่าน้าแกเป็นคนใจดี ทำไมนะเหรอครับ ก็คุณน้าชายพาผมไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวกลางวันพร้อมกาแฟกระป๋องนะสิ 5555
พอดีว่าน้าชายลงจากหมู่บ้านเพื่อมาซื้อปุ๋ยในตลาด นั่นจึงเป็นเหตุให้น้าชายได้มาแวะรับผมกลับหมู่บ้านพอดี
หลังจากน้าชายทำธุระเสร็จ ก็พาผมพร้อมปุ๋ยเต็มกระบะรถแล่นกลับไปยังหมู่บ้าน ระหว่างทางแวะรับเด็กสาว 2 คนที่กำลังจะกลับหมู่บ้านเดียวกันขึ้นรถมา
ผมรู้สึกว่าคนหมู่บ้านนี้จะสนิทสนมกลมเกรียวช่วยเหลือมีน้ำใจต่อกันจริงๆ ผมอยากจะไปให้ถึงหมู่บ้านของ น้าชายและน้องสาวเสียแล้ว
รถแล่นไปในทางที่ผมไม่รู้จัก ผมได้แต่เพลิดเพลินไปกับทิวทัศภูเขาสวยงามสองฝั่งทาง น้าชายก็ชวนผมคุยตลอดทางเพื่อทำความรู้จักกับผมมากขึ้น แน่ล่ะ คืนนี้ผมกำลังจะไปนอนที่บ้านญาติของเขา เขาต้องอยากรู้จักผม ให้มากเป็นธรรมดา
ราวบ่ายสี่ หรือ สี่โมงเย็น ผมก็ได้มาถึงหมู่บ้านของน้าชาย และน้องสาวที่เรียนมหาลัยมาด้วยกัน
ที่นี่หมู่บ้านแม่แฮเหนือ ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สถานที่นี่ต้อนรับผมด้วยรอยยิ้มและด้วยความเย็นสดชื่นจากอากาศคลุกเคล้าไปกับความอบอุ่นของไมตรี
ที่นี่มีคนกลุ่มชาติพันธุ์สองกลุ่ม คือกะเหรี่ยงและม้ง ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ มีส่วนน้อยที่นับถือพุทธ ครอบครัวน้องดา หรือ วิชุดา เป็นชาวกะเหรี่ยง หรือชาวปาเกอะญอ นับถือศาสนาคริสต์
ที่ผมพิมพ์ไปว่า ปาเกอะญอ ไม่ได้พิมพ์ว่า ปกาเกอะญอแบบในทีวี นี่ผมไม่ได้พิมพ์ผิดนะครับ คือผมเคยพูด คำว่าปกาเกอะญอ แล้วน้องๆเขาทักท้วงมาว่าไม่ถูกต้อง มันฟังดูตลกๆ ให้พูดว่าปาเกอะญอ ผมก็เลยติดมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยกับพวกน้องๆชาวปาเกอะญอ ซึ่งผู้ที่ได้ทักท้วงเอาไว้ก็อยู่ในหมู่บ้านนี้แหละ ชื่อน้องวิ วิลาสินี เพื่อนของน้องดา วิชุดา
ตอนที่ผมไปถึงน้องดาไม่อยู่ที่บ้านครับ เธอทำสวนอยู่บนดอยห่างออกไปไม่ไกลนัก เหลือไว้แต่บรรดาญาติและพี่สาวของเธออีกสองคน
บ้านนี้มีลูกสาว 3 คนครับ แต่งงานกันหมดแล้ว สำรับอาหารวางลงตรงกลางวง ผู้คนรายล้อมกันรับประทานอาหารเย็น ซึ่งมันก็ยังไม่เย็นดี
ใช้เวลาไม่นาน น้าชายที่พาผมมา ก็ชวนขึ้นรถเพื่อที่จะไปยังสวนของน้องดาที่ตอนนี้เธอกำลัง ทำสวนรอผมอยู่ที่นั่น
น้องดาอยู่กับพ่อของเธอที่สวน สวนของบ้านน้องดาเป็นสวนสำหรับการทำเกษตรหลากหลายมีบ่อปลา มีคอกหมู มีพืชผลไม้ฤดูหนาวหลากหลายชนิด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกดอกผล
สตอเบอรรี่หลงฤดู
น้องดาเมื่อเจอผมก็ทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่ผมเห็นจนชินตา เธอค่อนข้างเป็นเด็กร่าเริงสดใส เธอกล่าวขอโทษผมหลายคำเนื่องจากสามีของเธอที่นัดจะพาผมไปเที่ยวนั้นติดงานด่วน ต้องไปไกลถึงอำเภออมก๋อย จึงฝากคำขอโทษผ่านน้องดามา ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปที่ไหนเป็นพิเศษหรอกครับ ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่ที่ท่องเที่ยว แต่ผมก็รู้สึกมีความสุขที่ได้มาถึงที่หมู่บ้านนี้
พ่อน้องดาอายุมากแล้ว ชวนผมพูดคุยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ท่านจะพูดกลางได้ไม่ชัดเจน แต่ผมก็พอจะจับใจความได้ การต้อนรับของท่านเสมือนตอนรับลูกชายคนหนึ่งที่เพิ่งกลับ มาจากแดนไกล
แน่นอนว่าผมก็จำชื่อพ่อของน้องดาไม่ได้ตามเคย เหอะๆ
จน 6 โมงเย็นเป็นเวลาเลิกงานในสวน เราสามคน ผม น้องดา และคุณพ่อน้องดา พากันกลับเข้าที่พัก ที่นั่นเวลา 6 โมงเย็นเงียบสงัด และฟ้ามืดเร็ว
ด้วยคำเตือนของน้องดาให้ผมรีบอาบน้ำทันทีเมื่อมาถึงบ้าน เนื่องจากอากาศหนาว ผมก็ไม่ดื้อรีบอาบน้ำทันที ซึ่งน้ำที่อาบในห้องน้ำนั้นเย็นเฉียบทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูหนาว และยังไม่หัวค่ำดี
ข้าวสวยอุ่นๆพร้อมกับข้าวถูกนำมาวางไว้กลางบ้านหลังจากทุกคนอาบน้ำเสร็จแล้ว
กับข้าวที่ยกมาเป็นอาหารที่ชาวบ้านที่นั่นประกอบรับประทานกันอย่างง่ายๆ ไม่ปรุงแต่งรสชาติอะไรมากนัก ก่อนหน้านี้ผมก็รู้สึกหวั่นๆกลัวจะกินกับข้าวบ้านน้องดาไม่ได้เนื่องจากเป็นคนกินยาก ผักก็ไม่กิน แต่ก็โล่งใจทันทีเมื่อเห็นไข่เจียว ไข่เจียวช่วยชีวิต 555
ผมนั่งคุยกับพ่อน้องดาที่หน้าบ้านหลังอาหารค่ำนั้น ท่านกำลังก่อฟืนต้มกาดื่มกาแฟ ในค่ำคืนที่อากาศหนาวเย็นนั้นก็มีเพียงเปลวไฟที่กำลังเลียท่อนฟืนให้ความอบอุ่น ผมใช้เวลานั่งคุยกับพ่อน้องดาอย่างสนิทสนมเสมือนนั่งคุยกับญาติผู้ใหญ่
ค่ำคืนนั้นผมลืมเลือนความฝัน ผมลืมเลือนเป้าหมายของชีวิต ผมกำลังดื่มด่ำกับความเงียบสงบที่ทำให้ผมไม่อยากจะไปไหน จิตใจนึกคิดแค่สิ่งตรงหน้านั่นคือกองไฟ สายลม และกลิ่นกาแฟของคุณพ่อน้องดา
เต็นท์นอนถูกกางไว้ในบ้านเพื่อป้องกันยุงและอากาศหนาว ผมนอนเต็นท์นอนที่กางไว้ข้างๆเต็นท์ของ พ่อน้องดา ราวๆ 1 ทุ่มเศษๆเท่านั้นผมก็ผล็อยหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ภารกิจแรกของวันคือการติดตามน้องดาพาวัวไปล่ามบนดอย
ผมเดินถือเชือกนำหน้าวัวตัวแห้งด้วยความระแวงว่าเจ้าวัวมันจะเดินมาเสยดาก ผมต้องคอยตะโกนเรียกน้องดาให้คอยหันมาดูพี่ชายคนนี้บ่อยครั้งด้วยความกลัวเจ้าวัวที่เดินตาม
จากนั้นก็ไปเที่ยวเล่นในสวนของน้องดาตามเดิม ผมใช้เวลาในช่วงเช้าตกปลาในบ่อเพื่อเป็นอาหารกลางวันให้แก่คนทำสวน
หลังจากได้ปลามาพอสมควร เจ้าปลาน้อยก็ถูกส่งต่อไปให้แม่ครัวสวนข้างๆที่อาสามาทำอาหาร แม่ครัวก็จัดการนำปลา ยัดเยียดลงหมออันบุบบี้และดำเกรียม เครื่องปรุงก็ไม่มีอะไรมาก อะไรอยู่ใกล้มือก็เด็ดใส่ลงไป
ชาวสวนที่นั้นจะรวมตัวกันทานอาหารกลางวัน จานชามหม้อไหมีเตรียมไว้ที่เถียงนาพร้อม เป็นอาหารกลางวันที่เรียบง่ายและสมถะ
ค่ำคืนวันนั้นผมได้มีโอกาสไปนอนพักบ้านแฟนน้องดา ซึ่งอยู่หมู่บ้านใกล้เคียง แน่นอนว่าผมก็จำชื่อหมู่บ้านไม่ได้อีกแหละ 555 บ้านแฟนน้องดาอยู่กันหลายคน มีพี่ชายแฟนน้องดา และแม่แฟนน้องดา
เช้าวันต่อมาหลังจากฝนตกทั้งคืน ตอนเช้าอากาศจึงสดชื่นกว่าวันก่อนๆ พี่เขยน้องดาได้ขับมอเตอร์ไซค์ มาหาผมที่บ้านคู่เขยของเขา ด้วยความเป็นห่วงเกรงว่าจะนอนไม่ได้ จากนั้นพี่เขาก็พาผมออกเที่ยวรอบๆพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสวนผักและป่าเขา
พอช่วงสายพี่เขยน้องดาก็พาผมกลับมาส่งยังที่พัก ซึ่งตอนนี้น้องดาและน้องสาวแฟนเธอกำลังทำอาหารสำหรับมื้อกลางวันอยู่
หลังอาหาร ผมถูกชักชวนจากพี่ชายแฟนน้องดาให้ไปที่สวนของเขา ข้างๆสวนของพี่เขาตอนนี้กำลังจะดำนา มีผู้คนมากมายกำลังไปช่วยกันดำนานั้น ซึ่งผมก็ตอบตกลงเพราะนั่นจะเป็นครั้งแรกของผมที่ได้รับโอกาสในการทำนา
เละ
งุ่มง่ามเล็กน้อยตามประสาคนไม่เคย แต่นับว่าได้ประสบการณ์การดำนามาอย่างเต็มเปี่ยม ประสบการณ์ของการปวดหลัง เสร็จงานในนาขึ้นเถียงนามาต้มมาม่าเอนหลังให้พอหายเหนื่อย
วันนั้นยอมรับว่าเป็นวันที่ค่อนข้างสะบักสะบอม แต่ก็ต้องยอมรับอีกว่าผมปวดหลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ที่ได้ตอบแทนกลับมาคือประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง
คืนนี้ผมยังคงนอนอยู่ที่บ้านแฟนน้องดา และหลับไปอย่างรวดเร็วเพราะความอ่อนเพลีย
เช้าวันรุ่งขึ้น พี่เขยน้องดาขับมอเตอร์ไซค์มารับผมกับไปยังหมู่บ้านแม่แฮเหนือ สถานที่ท่องเที่ยวของผม ในวันนี้คือสถานที่ทำงานพี่เขยน้องดา ที่นั่นคือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ
ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อศูนย์พัฒนาหลวงแม่แฮคือตอนที่ผมกำลังเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นผมต้องทำรายงานกลุ่ม เนื้อหารายงานคือเกี่ยวกับโครงการพัฒนา และกลุ่มผมที่มี 4 คน ซึ่งในจำนวนนั้นมีน้องดา วิชุดา และน้อง วิ วิลาสินี สองสาวชาวปาเกอญอจากหมู่บ้านแม่แฮเหนือ และทั้งสองได้เสนอที่จะทำรายงานเรื่อง ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ รายงานดังกล่าวเรียบร้อยดีแถมยังได้เกรด A และมันเริ่มจากตรงนั้นครับที่ผมเอ่ยปากบอกกับน้องๆในกลุ่มไปว่าผมอย่างไปสถานที่จริงของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ ผมเห็นสถานที่ต่างๆจากในรูปภาพ เห็นถึงความสวยงามสงบเงียบและผมไม่ได้อยากเห็นเพียงรูปจากอินเตอร์เน็ตเท่านั้น วันนี้ผมกำลังจะได้ทำในสิ่งคือเคยปรารถนา ได้ไปยืนในสถานที่ที่เคยขอใช้ข้อมูลต่างๆเขียนรายงานในสมัยยังเป็นนักศึกษา
พี่เขยน้องดาพาผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์แล้วมุ่งเข้าไปในโครงการหลวงฯ รถมาจอดข้างแปลงผักขนาดใหญ่ จากนั้นก็พาผมไปแนะนำกับเพื่อนร่วมงานของเขา
ผมถือโอกาสช่วยงานพวกพี่ในโครงการหลวง ผมรับหน้าที่หยอดเม็ดปุ๋ยลงหลุมที่พวกเขาขุดเอาไว้ก่อนแล้ว ผมมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ช่วยงานนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ตอบแทนสถานที่แห่งนี้สำหรับข้อมูลในการเขียนรายงาน บรรยากาศรอบด้านของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขา บนท้องฟ้ามีหมู่เมฆสีเทาบดบังแสงดวงอาทิตย์ให้บรรยากาศร่มรื่น
หลุมที่เตรียมไว้ใส่เม็ดปุ๋ย
เมื่อตกเย็นก็ได้เวลาเลิกงานของพวกพี่ๆในโครงการหลวง และเฉกเช่นกันก็เป็นเวลาแห่งการดื่มกินสำหรับ ผ่อนคราย
ผมรู้สึกร้อนผ่าวเมื่อเหล้าสีใสผ่านลำคอลงลำไส้ น่าจะเหล้าขาว เหล้านั้นรินใส่แก้วพลาสติกเล็กๆ ดื่มเวียนกันหลายคน บรรยากาศเฮฮาหลังเลิกงานเป็นไปโดยเรียบง่ายแฝงบรรยากาศครื้นเครง
เย็นมากแล้วพี่เขยของน้องดาชวนผมออกมาจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแม่แฮ แล้วขับมอเตอร์ไซค์พาผมเที่ยวกินลมชมวิวต่างๆนาๆ จนมาถึงภูเขาลูกหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อมีเพียงกังหันลมตั้งเด่และอาคารหลังเล็กๆที่ไม่มีคนอยู่
บรรยากาศเงียบสงบ มองออกไปเบื้องหน้าเป็นภาพภูเขาเรียงรายยาวไปจนสุดสายตา ตรงเส้นขอบฟ้าของผมในเวลานั้นคงจะเป็นยอดภูเขาที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ไม่มีอดีตหรือไม่มีอนาคตใดๆต้องเก็บมาคิดหรือตั้งเป้าหมาย มีแค่ภาพเบื้องหน้า ณ ปัจจุบันขณะเท่านั้นที่ผมสนใจ
เช้าอีกวันหนึ่ง ผมถูกชักชวนไปที่โรงเรียนเด็กเล็กไปจนถึงระดับประถมศึกษา ผมจำชื่อโรงเรียนไม่ได้ เป็นโรงเรียนศาสนาศริส มีเด็กๆชาวกะเหรี่ยงและม้งเรียนด้วยกัน และมีวิชาภาษาประจำกลุ่มชาติพันธ์สอนแยกกันออกไปอีก ซึ่งน้องวิ วิลาสินี ทำงานอยู่ ณ โรงเรียนแห่งนี้
ผมมีเวลาว่างค่อยข้างเยอะที่จะคลุกคลีกับเด็กๆ ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปเที่ยวใกล้ๆบ้าง เจอผู้คนก็แวะทักทายด้วยการส่งยิ้มให้ เจอสาวน่ารักกลางทางก็จอดรถขอถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆ 555
วันต่อมาเป็นวันที่ชาวหมู่บ้านแม่แฮเหนือหลายสิบคนออกไปเที่ยวนอกหมู่บ้าน และผมก็ได้ถูกชักชวน แบบงงๆในการออกไปเที่ยวครั้งนี้ด้วย เดินทางโดยรถกระบะ 2 คัน ที่ๆจะไปคือหมู่บ้านแม่หอย ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอแม่แจ่มเช่นกัน แต่ต้องขับรถผ่านดอยอินทนนท์เข้าตัวเมืองอำเภอแม่แจ่ม และเลยออกไปยังชนบทห่างไกล ผมนั่งท้ายกระบะกินลมชมวิวไปเรื่อยจนมาถึงช่วงบ่ายแก่ๆ คณะชาวบ้านแม่แฮเหนือก็ได้มาถึงหมู่บ้านแม่หอย
หมู่บ้านแม่หอยเป็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์ เฉกเช่นเดียวกับชาวหมู่บ้านแม่แฮเหนือ การมาครั้งนี้ของชาวแม่แฮเหนือจุดประสงค์หลักๆคือการได้มาโบสถ์หลังงามของหมู่บ้านแม่หอย ทั้ง 2 หมู่บ้านมีความสนิทสนมและรู้จักมักคุ้นกันดี พี่เขยน้องดาเองก็เป็นคนหมู่บ้านนี้ก่อนที่จะแต่งงานไปอยู่กับภรรยาที่แม่แฮเหนือ
คณะแม่แฮเหนือได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จับมือทักทายกันตามธรรมเนียมกะเหรี่ยง กับข้าวกับปลาถูกจัดเตรียมในทันทีทันใด
หนึ่งทุ่มตรงวันนั้นผมถูกพาเข้าโบสถ์คริสต์ และแน่นอนว่าผมเป็นชาวพุทธเพียงคนเดียว ณ ที่แห่งนั้น ภายใน โบสถ์เต็มไปด้วยชาวคริสต์เชื้อสายกะเหรี่ยง ทุกคนมาเพื่อร้องเพลงถึงพระเจ้าที่นับถือ เพลงที่ร้องให้ต่อพระเจ้าเป็นภาษากะเหรี่ยง ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ทราบความหมาย แต่ทราบซึ้งได้ด้วยน้ำเสียงและทำนองไพเราะ
คนที่นั่นไม่รู้หรอกครับว่าผมเป็นชาวพุทธ ส่วนคนที่รู้ก็คือคนจากแม่แฮเหนือเท่านั้น ความแตกต่างของศาสนารวมถึงภาษาหรือชาติพันธุ์อะไรนั่นไม่ได้มีความหมายอะไรสำคัญ เพราะชาวกะเหรี่ยงยึดถือน้ำมิตรไมตรีระหว่างมนุษย์ด้วยกันโดยไม่มีอะไรกั้นขวาง
ค่ำคืนที่ฝนโปรยนั้นผมนั่งมองบรรยากาศด้วยความประทับใจในศรัทธาของพวกเขา และแล้วสัมผัสแรกจากพระเจ้าก็ได้สัมผัสมาถึงผม หากถามชาวพุทธอย่างผมว่าพระเจ้าคืออะไร ในตอนนั้นผมจะตอบออกไปทันทีเลยว่า พระเจ้าคือความอบอุ่น ผมนั่งน้ำตาซึมเงียบๆด้วยความปิติท่ามกลางผู้คนที่ยืนร้องเพลง เป็นความรู้สึกที่บรรยายออกมายากยิ่ง
คืนนั้นฝนตกโปรยลงมาทั้งคืน ชาวคณะแม่แฮเหนือถูกจัดให้นอนแยกย้ายกันไปตามแต่ละบ้านของชาวหมู่บ้านแม่หอย ผมได้ไปกับพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่มาด้วยกันจากแม่แฮเหนือ ผมและพี่เขาเดินตามหญิงชาวกะเหรี่ยงวัยกลางคนเพื่อไปพักยังที่บ้าน หญิงคนนี้พอจะฟังพูดภาษาไทยได้บ้าง เขาถามเรื่องราวของผมอย่างสนใจ เพื่อนบ้านของเธอก็มานั่งคุยด้วย เจ้าของบ้านจัดการปูที่นอนกางมุ้งให้อย่างเสร็จสรรพ และเธอก็ตรวจตราความเรียบร้อยเพื่อแน่ใจว่าผมจะได้หลับอย่างสะดวกสบาย
เช้ารุ่งขึ้น ผมอาบน้ำด้วยอาการหนาวเหน็บเฉกเช่นทุกๆวันในเชียงใหม่ จากนั้นตามพี่ชายที่มานอนบ้านหลังนี้ร่วมกับผมไปที่ห้องครัวที่ปลูกแยกออกจากตัวบ้าน ขณะนั้นเจ้าของบ้านกำลังทำอาหารเช้าเตรียมไว้ให้เราอยู่ เจ้าของบ้านถือโอกาสเล่ากับผมว่าที่เธอพอจะฟังหรือพูดไทยได้ดีกว่าคนอื่นๆเพราะเคยไปอยู่ชัยนาท ภาคกลางแถวบ้านผมนี่แหละ
ผมจัดการกับอาหารเช้ามื้อนั้นเสร็จเรียบร้อย ผมก็ขอตัวออกมาเดินเที่ยวชมหมู่บ้านแม่หอยในยามเช้า
เช้าวันนั้น เป็นเช้าที่ผมต้องกินข้าวเช้ามากถึง 3 รอบ เนื่องจากชาวบ้านแม่หอย ต่างเรียกผมเข้าบ้านและชวนกินข้าว ซึ่งพี่ผู้ชายที่อยู่กับผมบอกกับผมว่าเป็นธรรมเนียมชาวกะเหรี่ยงห้ามปฏิเสธเป็นเหตุให้เช้านั้น เต็มอิ่มไปด้วยอาหารอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนมาถึงบ้านหลังที่ 3 ผมทานได้เพียงข้าว 1 ช้อนเป็นพิธีเท่านั้นเองเป็นการกินที่หวาดระแวงเกรงว่าจะต้องเข้าไปกินข้าวในบ้านหลังที่ 4
หลังจากนั้นผมก็เข้าไปร่วมกิจกรรมในโบสถ์อีกครั้ง วันนี้ชาวบ้านทุกคนต่างสวมเสื้อประจำชนเผ่า ผมก็ได้เสื้อมาตัวหนึ่ง ซึ่งพี่เขยน้องดาหายืมมาให้
เสร็จสิ้นกิจกรรมก็ถึงเวลาต้องร่ำลาหมู่บ้านแม่หอย ผู้คนทั้งสองหมู่บ้านต่างจับมือร่ำลากันก่อนชาวแม่แฮเหนือจะก้าวขึ้นรถ
ผมกลับมายังหมู่บ้านแม่แฮเหนือ นั่นเป็นค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่ผมจะกลับบ้าน พี่เขยพาผมขัยรถเที่ยวเล็กน้อย แล้วจึงกลับมาทานอาหารเย็น น้องวิ วิลาสินี และแฟนหนุ่ม มานั่งคุยกับผมที่บ้านน้องดาด้วย
เช้าวันที่จะกลับ พี่เขยน้องดาพาผมไปส่งที่ท่ารถหมู่บ้าน พ่อของน้องดาก็รวบรวมผลไม้ในสวนมาให้ผมอีกถุงใหญ่ๆเป็นของฝากกลับบ้าน
ผมขึ้นรถสายบ้านกาดเพื่อกลับไปยังท่ารถช้างเผือกตัวเมืองเชียงใหม่ในราคา 100 บาท แพงกว่าขามาเพราะว่าระยะทางที่เพิ่มขึ้น(แม่แฮเหนือ บ้านกาด เชียงใหม่) ผมนั่งบนรถคิดคำนึงถึงน้ำใจที่บ้านน้องดามอบให้ พวกเขาดูแลผมดั่งญาติคนหนึ่งจริงๆ มีหลายเรื่องราวที่ผมไม่ได้พิมพ์ลงไปในบทความนี้ซึ่งมันมากมายจนไม่รู้จะเขียนออกมาอย่างไรได้ครบท้วน การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่าเหลือเกิน เสมือนการเดินทางกลับบ้าน และแน่นอนว่าผมยึดถือที่แห่งนี้เป็นบ้านหลังที่สอง ส่วนชื่อของใครหลายคนที่ผมจำไม่ได้จริงๆก็จำได้บ้างแต่ไม่กล้าพิมพ์เพราะเป็นชื่อภาษากะเหรี่ยงและไม่แน่ใจว่าจะพิมพ์ได้ถูกต้องไหม
ผมซื้อตั๋วขึ้นรถในอาณาเขตและหาอะไรทาน เพราะยังเหลือเวลาอีกนานกว่ารถจะออก
บันทึก
5
45
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
บันทึกการเดินทาง
5
45
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย