22 ม.ค. 2021 เวลา 06:00 • ท่องเที่ยว
ยามฝนพรำที่แม่ฮ่องสอน
วันศุกร์ที่ 3 เดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา
เป็นวันที่ผมจะต้องจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและผู้พิการในตอนบ่ายวันนั้น
มันเป็นงานสำคัญของนักพัฒนาชุมชนอย่างผมที่จะละทิ้งไม่ได้เลย
แต่ผมจำเป็นต้องไปขึ้นรถทัวร์ที่จะมุ่งหน้าไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนให้ทันในเวลา 17.00 น. ซึ่งผมได้จองตั๋วเดินทางไว้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้
มันเป็นเหตุให้ผมต้องทำตัวรีบๆเดินไปขออนุญาตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโดยโกหกไปว่ามีธุระสำคัญต้องเข้าไปในกรุงเทพฯ
ซึ่งท่านก็ตอบอนุญาตมาในทันทีอย่างผิดความคาดหมาย
และทันใดนั้นหัวใจของผมก็พองโตและคล้ายจะมีปีกงอกขึ้นมาแล้วบินไปขึ้นรถโดยสารในทันทีทันใด ณ ตอนนั้น
พูดถึงแม่ฮ่องสอน เมืองเหนือที่มีภูเขาสลับซับซ้อน ผมได้เคยมีโอกาสไปเยือนมาเพียงครั้งเดียว คือครั้งที่ผมเป็นเด็กฝึกงานกับกรมการพัฒนาชุมชนศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ แล้วได้มีโอกาสไปตรวจกลุ่มออมทรัพย์ฯที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตอนนั้นไม่ได้เที่ยวเลย ผมทำได้แค่มองออกไปนอกหน้าต่างรถตู้ให้มากเท่าที่จะทำได้เพื่อเก็บบรรยากาศเมืองแม่ฮ่องสอนให้ได้มากที่สุดเท่านั้น แต่มาวันนี้ผมจะได้ไปแม่ฮ่องสอนในฐานะนักท่องเที่ยว และตั้งใจว่าจะเที่ยวให้หนำใจไปเลย 555
ผมคว้ามอเตอร์ไซค์ได้ก็รีบบิดกลับมายังบ้านที่อยู่ห่างที่ทำงาน 10 กิโลฯกว่า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ หยิบเป้กระเป๋าที่เตรียมพร้อมไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน และไม่ลืมที่จะขอพรแม่ให้เดินทางปลอดภัย แล้วผมก็เดินไปที่ท่ารถตู้มุ่งสู่สถานีรถโดยสารหมอชิต
รถโดยสารออกตรงตามเวลา และผมก็ไม่ได้ตกรถโดยสาร สายฝนหล่นมาต้อนรับการเดินทางของผมตั้งแต่ยังไม่ออกจากกรุงเทพฯ
ช่างเป็นบรรยากาศของการเดินทางที่ผมเฝ้าฝัน ขอให้ฝนตกตลอดการเดินทางด้วยเถิด
บรรยากาศที่สถานีรถโดยสารหมอชิต
สายฝนโปรยลงมาขณะออกจากสถานีต้นทาง
วาร์ปไปแม่ฮ่องสอนเลยแล้วกันครับเดี๋ยวมันจะยืดยาว
เช้าวันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม 2563
เวลา 9.00 น.เศษๆ หลังจากใช้ชีวิตบนรถโดยสาร 16 ชั่วโมงกว่า ผมพยายามยันกายจากเบาะนั่งคล้ายเด็กเพิ่งหัดยืน สะพายกระเป๋าเดินเตาะแตะลงจากรถด้วยอาการปวดเมื่อย และก็ได้พบการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพี่ๆทหารและสุนัขดมกลิ่น
พี่ๆทหารและสุนัขดมกลิ่น
ตื่นเต้นยิ่งกว่าการมาถึงเมืองแม่ฮ่องสอน ก็พี่ๆเหล่าทหารและสุนัขของเขานี่แหละครับ ผมไม่ได้มีสิ่งผิดกฎหมายใดๆติดตัว แต่ก็กลัวจะโดนไล่กลับบ้าน 555
ล้างหน้าแปรงฟันพอเป็นพิธีก็ออกไปหามอเตอร์ไซค์เช่าแล้วหาข้าวกินตามลำดับ จากนั้นมุ่งหน้าไปอำเภอปางมะผ้า เป้าหมายแรกของผมที่จะไปวันนี้นั้นคือหมู่บ้านจ่าโบ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องความสวยงาม
เปิดดูแผนที่ในโทรศัพท์ มุ่งหน้าออกไปอย่างเนิบช้าในวันที่ฟ้าครึ้ม ไม่นานก็มาถึงบ้านจ่าโบ่ราวบ่าย 2 พร้อมกับเม็ดฝนที่ไล่หลังมา
เนื่องจากเป็นฤดูฝนในช่วงบ่าย นักท่องเที่ยวยังมีไม่มาก หรืออาจจะเดินทางยังไม่ถึงเพราะเป็นวันแรกของวันหยุดยาว (เสาร์ อาทิต จันทร์ อังคาร) ผมตรงไปที่ร้านกาแฟเด็กดอย ด้านในกลิ่นกาแฟกำลังอบอวนกลบกลิ่นฟืนที่กำลังเผาไหม้จากด้านนอกเสียสนิท ผมเข้าไปสืบถามหาที่พักกับทางร้านด้วยความคาดหวัง ทางร้านเองก็ได้ติดต่อที่พักให้ทันที ซึ่งเจ้าของที่พักจะมารับผมเองในตอนเย็นวันนั้น
ฝนเทกระหน่ำลงมาจนคล้ายมีม่านสีมัวปกคลุมไปทั่วทิวเขาเบื้องหน้า ผมนั่งสูดกลิ่นไอฝนในร้านกาแฟนั้นด้วยความดื่มด่ำ นี่แหละสิ่งที่ผมปรารถนาที่จะได้พบเจอ ความสดชื่นจากฝนท่ามกลางธรรมชาติ แก้วน้ำชาถูกหยิบยื่นออกมาจากเจ้าของร้านโดยมิได้ร้องขอ มันคือน้ำใจสายอุ่นท่ามกลางลมฝนฉ่ำเย็น
ดื่มด่ำและดำดิ่งไปกับเสียงฝนไม่นานเจ้าของบ้านที่ผมจะพักค้างคืนนี้ก็มาถึง พี่เขาชื่ออะไรผมเองก็จำไม่ได้หรอกครับ ที่พักที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ผมนั้นอยู่ท้ายหมู่บ้าน ขับมอไซค์ตามหลังพี่เขาไปไม่นานก็ถึงที่พัก
บ้านพัก
มันเป็นบ้านพักขนาดใหญ่เกินพอสำหรับผมที่มาตัวคนเดียว ซึ่งพี่เจ้าของที่พักคิดราคาต่อคืนพร้อมอาหารมื้อเย็นเพียง 400 บาทเท่านั้น
เจ้าของบ้านพัก
หน้าบ้านเป็นภูเขาสวยงามตระการตา หลังบ้านเป็นภูเขาน่าหลงใหล มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภูเขา ก็มาเที่ยวภูเขานี่นะ จะให้เห็นทะเลได้ยังไง 555
วิวหน้าที่พัก
ภายในบ้านเป็นห้องนอนใหญ่ที่ไว้สำหรับนอนรวมกัน 4 – 6 คน มีหมอน ผ้าห่ม และมุ้งเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน ผมทิ้งตัวนอนกลิ่งด้วยความอ่อนเพลีย รอเมื่อฝนหยุดตกสนิทก็ลงจากบ้านไปขับรถเล่นสักพัก
ผมบิดมอไซค์ออกจากบ้านจ่าโบ่จากทางท้ายหมู่บ้าน จุดหมายของผมคือบ้านแม่เฮี๊ยะที่อยู่ห่างออกไปราว 10 กิโลเมตร
เจ้าถิ่นปิดถนน
เส้นทางระหว่างทางเป็นธรรมชาติสวยงามครับ มีฝูงวัวฝูงควายออกมาเดินเต็มถนน ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เพราะเจ้าถิ่นเหล่านี้ไม่ค่อยจะหลบรถ แถมยังยืนนิ่งจ้องจะบวกกับเราซะอย่างนั้น
ในที่สุดผมก็รวบรวมความกล้าที่จะฝ่าฝูงควายเหล้านั้นและมาถึงจุดชมวิวกิกอคอบ้านห้วยเฮี๊ยะ ที่นั่นเป็นจุดชมวิวและร้านเครื่องดื่ม ตอนนั้นกำลังเงียบสงบ มีผู้คนมานั่งดื่มเบียร์เพียง 2 – 3 คนอย่างเงียบๆ
ผมใช้เวลาซึมซับกับบรรยากาศอันสวยงามอยู่พักใหญ่ มองไปยังภูเขาลูกที่ผมผ่านมาตอนนี้กำลังฝนตกเป็นม่านขาว เจ้าของร้านก็ชักชวนให้พักแรมที่นั่น ซึ่งผมได้ปฏิเสธไปเนื่องจากตัดสินใจพักค้างคืนที่บ้านจ่าโบ่แล้ว หากมีโอกาสได้กลับมาอีกครั้ง คิดว่าจะต้องพักค้างคืนที่กิกอคอ บ้านห้วยเฮี๊ยะแห่งนี้ให้ได้ เนื่องจากบรรยากาศยามเย็นตระการตาเหลือเกิน
รอจนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาทางซ้ายมือกลับมาสว่างด้วยแสงตะวันอีกครั้ง ผมก็ออกจากที่นั่นเพื่อเดินทางกลับมายังบ้านจ่าโบ่
เมื่อมาถึงผมก็แวะร้านค้าเพื่อซื้อเบียร์เย็นๆมานั่งดื่มเล่นหน้าที่พัก เพราะตรงหน้าที่พักบรรยากาศดีน่านั่งดื่ม และเมื่อมาถึงที่พักได้รับมื้อเย็นมาหนึ่งตะกร้าจากพี่เจ้าของบ้าน
สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบกินผักนั้น การได้เห็นไข่เจียวอยู่ร่วมมาในตะกร้านั้นไม่ต่างจากเห็นบ่อน้ำกลางทะเลทราย 5555 ส่วนน้ำพริกที่ให้มานั้นก็อร่อยถูกปาก คาดว่าเป็นน้ำพริมมูเซอ หรือน้ำพริกลาหู่ นั่นแหละ
อ่อ ผมได้มีโอกาสถามพี่เจ้าของบ้านว่า ชื่นชอบให้คนอื่นเรียกชนเผ่าของตนเองว่าอย่างไร ระหว่าง คำว่ามูเซอ กับคำว่า ลาหู่ ซึ่งเจ้าของบ้านตอบกลับมาว่า ลาหู่ คือชื่อชนเผ่าที่ถูกต้อง ส่วนคำว่ามูเซอนั้น ฟังดูไม่ให้เกียรติเท่าไร ก็คงจะเหมือนกับชาวม้ง ที่คนอื่นๆนอกเผ่าจะเรียกพวกเขาว่าแม้วนั่นแหละครับ ไปกินไปนอนบ้านเขาก็อย่าเรียกชื่อเผ่าเขาผิดๆล่ะ ถึงเขาจะไม่ถือสาก็เถอะ แต่ถ้าเรียกได้ถูกต้องก็จะช่วยทำให้เจ้าบ้านเขาชื่นใจบ้าง
ค่ำวันนั้นฝนตกลงมาอีกห่าใหญ่ ผมที่กำลังนั่งจิบเบียร์อยู่ถึงกับหนาวสั่น แต่ก็เป็นบรรยากาศของการร่ำสุราที่น่าจดจำ ผมดื่มได้ไม่มากนักเพราะเหนื่อยล้ามาทั้งวัน พอหัวถึงหมอนก็นอนหลับเลย
วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม 2563
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นเช้าที่สดใส อากาศไม่หนาวแต่เย็นสบาย ผมล้างหน้าแปลงฟันพอสังเขปเพราะน้ำยังเย็นเฉียบ จากนั้นออกไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังทางหน้าหมู่บ้าน ตอนนั้นคนยังไม่เยอะมาก ผมเลยไม่รอช้ารีบเข้าไปสั่งก๋วยเตี๋ยวร้อนๆมาทานตามระเบียบ
บรรยากาศของร้าน
ก๋วยเตี๋ยวเช้าๆเพิ่มความสดชื่น
บรรจุมื้อเช้าเข้ากะเพาะเสร็จเรียบร้อย ผมก็เก็บกระเป๋าคืนห้องและออกเดินทางอีกครั้ง โดยก่อนกลับผมแวะไปนั่งเล่นใกล้ๆที่พัก ซึ่งเป็นมุมที่ผมคิดว่าสงบที่สุดในหมู่บ้าน และก็เป็นมุมที่ผมชอบที่สุดในบ้านจ่าโบ่อีกด้วย
วิวที่ผมชอบที่สุดที่บ้านจ่าโบ่
เป้าหมายการเดินทางของสายวันนี้คือย้อนกลับไปที่เมืองแม่ฮ่องสอน ระหว่างทางแวะจุดชมวิวลุกข้าวหลามซึ่งในเวลานั้นหมอกกำลังลงอยากสวยงาม
ผมเคยมาถ่ายรูปเล่นที่นี่เมื่อครั้งยังฝึกงานกับกรมการพัฒนาชุมชน ขณะนั้นได้ติดตามพี่ๆเขามาตรวจราชการ
และไปแวะอีกทีหนึ่งที่ผมผ่านไปมา 2 รอบแล้วแต่ไม่เคยเข้าไป นั่นก็คือถ้ำปลา ซึ่งเสียค่าเข้าเพียง 20 บาท ก็ได้ไปดูปลาตัวสีฟ้าครามที่วันๆกินแต่ใบไม้
เมื่อหายเมื่อยล้าจากการเดินทางผมก็ออกสู่ท้องถนนอีกครั้งมุ่งหน้าสู่เมืองแม่ฮ่องสอน ผมมาถึงในเมืองช่วงบ่าย จัดการหาที่พักในตัวเมืองซึ่งก็หาข้อมูลมาบ้างแล้ว ในราคา 600 บาท
ผมล้มตัวลงนอนหลังจากอาบน้ำครั้งแรกของวัน เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 โมง ผมก็ออกไปขับรถชมเมือง
บ่ายวันนั้นผมวางแผนจะไปที่บ้านผาบ่อง ซึ่งผมได้ยินชื่อจากทางอินเทอร์เน็ตมาได้สักพักหนึ่ง ด้วยความไม่รู้ ก็ขับมอเตอร์ไซค์เลยบ้านผาบ่องแล้วไปโผล่จุดชมวิวบ้านผาบ่องแทน
ไหนหว่าสะพานไม้บนท้องนา?? ผมจึงต้องหยิบโทรสัพท์ออกมาหาข้อมูลที่ถูกต้องอีกครั้ง แล้วพบว่า บ้านผาบ่องที่ว่า คือสถานที่ที่หนึ่งที่ผมเคยมานอนพักเมื่อ 4 – 5 ปีที่แล้ว ที่นั่นคือพิชชาพรเฮ้าส์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้มีสะพานเดินข้ามทุ่งนาแต่อย่างใด
ตอนนั้นที่มานอนพักก็มาตอนฝึกงาน และไม่รู้จริงๆว่าที่นั่นเรียกบ้านผาบ่อง ซึ่งตอนนั่นก็คงเป็นช่วงที่ชุมชนกำลังพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ผมใช้เวลาที่นั่นไม่นาน ก็ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป นั่นคือ พระธาตุดอยกองมู
พระธาตุดอยกองมูเป็นสถานที่ที่ผมอยากจะมาตั้งหลายปีก่อนหน้าแล้ว ทั้งดูรูปในอินเทอร์เน็ต ทั้งอ่านรีวิวของนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ ผมรู้สึกตื่นเต้นไม้น้อยจนขับรถมอเตอร์ไซค์เลยลานจอดรถ ขึ้นไปถึงบนพระธาตุ วันนั้นเป็นวันพระผู้คนกำลังสวดมนต์ ต่างต้องหันมามองผมเพราะเสียงรถมอเตอร์ซ์ของผมไปทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบ ผมจึงต้องย้อนลงมาจอดรถที่ลานจอดรถอีกครั้งและเดินขึ้นบันไดกลับขึ้นมา
และผมก็ต้องมึนงงเมื่อพบว่าบนพระธาตุดอยกองมูมี 2 พระธาตุ แล้วพระธาตุไหนละ คือพระธาตุที่เขามารีวิวกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ผมไม่มีเวลามานั่งเปิดอินเทอร์เน็ตหาข้อมูล เอาเป็นว่า ผมไหว้ทั้ง 2 พระธาตุเลยก็แล้วกัน
พระธาตุดอยดองมู
หลังจากขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย จากข้อมูลที่เคยอ่านๆมา ด่านหลังมีร้านกาแฟร้านหนึ่งที่คนมักจะมาดื่มกาแฟพร้อมกับดูพระอาทิตย์ตกในยามเย็น แต่ทว่าวันนี้เป็นวันพระ เจ้าของร้านคงจะกำลังไปทำบุญอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ร้านจึงไม่ได้เปิดทำการในวันนี้ แต่ก็เป็นข้อดี มันทำให้ที่ ณ ตรงนั้น เงียบสงบไม่มีผู้คน ผมจึงได้ดื่มด่ำกับแสงของพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าอย่างเต็มที่เพียงลำพัง
แสงบนฟ้าเริ่มน้อยลง ผู้คนเริ่มทยอยมาเวียนเทียน ผมเองก็อยากจะเวียนเทียนนะ แต่ผมหิวข้าวมากกว่า ผมจึงต้องอำลาจากพระธาตุดอยกองมูไปหามื้อเย็นบรรจุกะเพาะ แต่ก็นั่นแหละครับ มันเป็นวันพระ ร้านอาหารเกือบทั้งเมืองต่างพากันปิดร้านไปเวียนเทียนกันหมด
อย่างยากลำบากของคนต่างถิ่น ในที่สุดก็เจอร้านโจ๊กที่ช่วยประทังชีวิต เมื่อกินอิ่มหนำ ผมก็ถือโอกาสนี้ท่องราตรีของเมืองแม่ฮ่องสอน โดยการนั่งนิ่งๆริมบึงน้ำหน้าวัดจองคำ ที่ตอนนี้มีแต่ผู้คนกำลังมุ่งไปเวียนเทียน
แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองที่สะกดผมให้อยู่กับที่ได้ในยามค่ำคืน แสงไฟและสายลมที่กระทบกับผิวน้ำเกิดเป็นระลอกคลื่นคือสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกว่ามันเคลื่อนไหว ในเวลานั้นเหมือนนาฬิกาไม่มีความหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนจะหยุดนิ่งไป นี่แหละคือเสน่ห์ของเมืองแม่ฮ่องสอน
ในระหว่างที่นั่งดูคนอื่นเวียนเทียนอยู่ไกลๆผมนั่งฆ่ายุงไปหลายสิบตัวฉลองวันพระ จากนั้นถอยกลับมาเข้าที่พัก วันพรุ่งนี้ผมวางแผนจะไปใส่บาตรที่สะพานซูตองเป้เอาบุญให้ยุงที่ผมตบไป
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2563
ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการสดชื่น เมื่อคืนไม่ได้ถูกพี่ยุงตามมาหลอกหลอนแต่อย่างใด ผมเข้าร้านสะดวกซื้อ จัดหาขนมอร่อยๆเตรียมใส่บาตร เส้นทางไปสะพานซูตองเป้ก็ไม่ไกลจากเมืองมากนัก แต่ผมก็ยังต้องลนลาน เนื่องจากวันนั้นผมตื่นสาย แต่ต่อมาผมก็ค่อยโล่งใจ เพราะเมื่อไปถึง พระสงฆ์จะเดินมาเพิ่งจะได้ครึ่งสะพาน
ผมแฝงตัวเข้าไปต่อแถวรอใส่บาตร ท่ามกลางกลุ่มคนในชุดไทยใหญ่ที่เรียบร้อยสวยงาม บรรยากาศคึกคักประทับใจ
ทำบุญใส่บาตรรับพรเสร็จผมก็เดินตามหลังพระห่างๆ หมายจะเดินข้ามสะพานแห่งนี้เป็นครั้งแรก ผมเคยได้ดูหนังที่ทำขึ้นเกี่ยวกับสะพานนี้ รวมทั้งสารคดีตามยูทูบได้พูดถึงสะพานแห่งนี้ไว้มากมาย ล้วนแล้วไปในทิศทางเดียวกันว่า เมื่อข้ามสะพานนี้จะต้องอธิฐานขอความสำเร็จ แน่นอนว่าผมก็จดจำมาทำตาม
มีบางช่วงที่ผมต้องกลั่นหายใจแล้วก้าวยาวๆตามความเชื่อ เมื่อมาถึงบันไดทางขึ้นวัดก็เหนื่อยหอบเลยทีเดียว ก้าวขึ้นวัดไปอย่างเชื่องช้า แสงแดดยามสายก็ไม่ปราณี เพิ่มความร้อนขึ้นเรื่อยๆทุกนาที
เมื่อขึ้นมาถึง ผมยืนไหว้สิ่งศักดิ์จากด้านนอกเท่านั้น แล้วรีบไปหาน้ำกินกับร่มไม้นั่งพัก
ด้านบนบรรยากาศดีมาก แม้จะเป็นเวลาสายแล้วยังรู้สึกได้ถึงความร่มรื่น ผมนั่งพักอยู่ครู่แล้วก็ตัดความคิดเรื่องเดินเที่ยววัดออกไป เนื่องจากกระเพาะของผมมันเรียกร้องขออาหารมื้อเช้าแล้ว
ผมแว้นมอไซค์กลับเข้าเมือง เป้าหมายคือตลาดสายหยุดแม่ฮ่องสอนเพื่อตามหาอาหารท้องถิ่นกิน
ตลาดเริ่มวายตามชื่อตลาดสายหยุด แต่ถ้าใครขยันจะไปหยุดเย็นๆก็ได้ก็ขายไปยาวๆ เหมือนแม่ค้าที่ผมที่ได้พบ ร้านอาหารร้านที่ผมพบในตลาดนั้นยังขายไม่หมดอยู่ ผมจึงเข้าไปสั่งถั่วพูอุ่นมาลิ้มลอง
อาหารที่ผมสั่งเป็นอาหารถิ่นที่ผมเคยเห็นแต่รูปไปเคยได้ชิมรสชาติมาก่อน ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะรู้สึกหิวหรือตื่นเต้นดีที่จะได้กินอาหารถิ่นนี้
ยังไม่ทันกินถั่วพูอุ่นหมด เห็นคนนั่งข้างๆสั่งยำถั่วพู ดูหน้ากินดีผมก็เลยเอามาบ้างเป็นชามที่สอง รสชาติของทั้งสองจานนั้นผมรู้สึกแปลกใหม่อธิบายยากสำหรับคนภาคกลางอย่างผม แต่รับลองว่าอร่อยครับ
จากนั้นผมก็มาเติมคาเฟอีนที่ร้านกาแฟชื่อดังในเมืองแม่ฮ่องสอนที่ใครก็ชอบมารีวิวกัน ภายในร้านตกแต่งสวยงามโดยไม่ต้องพึ่งบรรยากาศจากภายนอก
ใกล้เที่ยงผมกลับที่พักเข้าไปเก็บกระเป๋าเช็คเอาท์ออกมาเตรียมแว้นรถขึ้นดอยอีกครั้ง วันนี้เป้าหมายของผมคือการไปนอนที่บ้านรักไทย ดูจากGPSแล้วก็ไปไม่ยากเท่าไร ขับแวะร้านค้าตุนขนมใส่กระเป๋า
ผมมาถึงบ้านรักไทยก็เกือบเย็น เส้นทางค่อนข้างชันอยู่บ้างเล็กน้อย ผมได้ติดต่อห้องพักไว้เรียบร้อยในราคา 400 บาท/คืน ห้องก็ไม่ได้หรูหราหมาเห่าอะไรมากมายแต่อยู่ได้ และส่วนใหญ่ก็ไว้ใช้แค่นอนตอนกลางคืน
ตอนขามาผมเห็นป้ายปางอุ๋งระหว่างทาง เย็นวันนั้นผมจึงตัดสินใจไปเช็คอิน ถ่ายรูปสวยๆที่ปางอุ๋งก่อน จึงเก็บกระเป๋าล็อคห้องแล้วควบรถขับย้อนกลับไป
เมื่อมาถึงพบว่าบริเวณปางอุ๋งกำลังทำถนน รถมอเตอร์ไซค์หรือยนต์ต่างต้องเข้าไปจอดในวัดใกล้ๆ แล้วค่อยเดินเท้าเข้าไป
เอาละ เดินเข้าไปท่องเที่ยวเท่าที่ทางเจ้าของสถานที่จะอนุญาติก็แล้วกัน แดดร่มลมตกนักท่องเที่ยวมีราวๆ 10 คนเท่านั้น บรรยากาศเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
เดินเล่นถ่ายรูปเก็บบรรยากาศอยู่พักหนึ่ง ผมก็ออกมาจากปางอุ๋ง เพื่อจะไปแวะร้านคาเฟ่ร้านหนึ่งที่ผมเห็นระหว่างทาง ร้านนั้นเป็นร้านที่น่านั่งในเย็นนี้
ร้านอยู่ริมถนนตรงขวามือทางไปบ้านรักไทย ชื่อร้าน WC COFFE ที่บริเวณชั้น 2 บรรยากาศเย็นสบาย ผมดูดน้ำปั่นจนรู้สึกหนาวๆ ก็ถอนตัวออกมากลับไปยังหมู่บ้านรักไทย
แน่นอนว่ามาถึงที่นี่คงไม่มีใครสั่งส้มตำหรือน้ำพริกปลาทู มีแต่คนกินอาหารจีนยูนนานกันทั้งนั้น ผมเองก็ไม่พลาดเช่นกัน รีบเข้าร้านอาหาร แล้วสั่งอาหารจีนยูนนาน
ในตอนนั้นผมคงจะหิวมากเลยสั่งของหนักๆมา 2อย่าง แถมยังได้ของแถมเป็นหมั่นโถวมาอีก 5 ลูก มื้อนั้นผมอิ่มจนจุกอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมจ่ายเงินออกจากร้านด้วยความเสียดายที่กินทุกอย่างได้ไม่หมด เดินเล่นไปตามถนนของหมู่บ้านในยามค่ำคืนเพื่อย่อยอาหาร
ผมเดินไปจนถึงร้านค้าร้านหนึ่ง ตอนนี้กำลังตั้งโต๊ะริมบึงน้ำก่อเตากินหมูกระทะกันควันหอมฉุย ใจก็เกิดอยากกินหมูกะทะบ้างจัง ทว่าผมไม่สามารถกลืนอาหารหนักๆได้อีกเพราะขาหมูเมื่อสักครู่ยังคาอยู่ที่คอหอย 5555 ผมเขาไปคุยกับทางร้านค้าเพราะเห็นมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทางร้านจึงยกโต๊ะและเก้าอี้ขนาดกะทัดรัดมาให้ผมนั่งร่ำสุราในคืนนั้น
ข้าพเจ้ามิได้ชมชอบในรสชาติของสุรา แต่ข้าพเจ้าชมชอบในบรรยากาศร่ำสุรา โกวเล้งได้เคยกล่าวเอาไว้ บรรยากาศนั้นมอมเมาผมจนเคลิบเคลิ้มแม้นั่งดื่มตามรำพัง
ผมนั่งดื่มตามรำพังจนเจ้าของร้านออกมานั่งคุยด้วยที่โต๊ะผม เขาเล่าให้ฟังถึงประวัติของหมู่บ้านตนเอง และเผยว่าคนทั้งหมู่บ้านนี้เป็นญาติกันหมด ผมคุยไปดื่มไปกับเจ้าของร้าน พร้อมเสียงเพลงจีนคลอเคลียไปทั่วบริเวณ เป็นค่ำคืนแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง ผมลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้ผมต้องเดินทางกลับ
วันอังคาร ที่ 7 กรกฎาคม 2563
เช้าวันรุ่งขึ้นผมรุกจากเตียงออกมาสูดอากาศยามเช้าให้เต็มปอด และเดินหามื้อเช้ากิน ผมต้องการหาอาหารท้องถิ่นกินให้ได้มากที่สุดก็เลยจัดมา 2 จาน นั่นคือ หมี่ซิงแห้ง และกวาเม็งแห้ง ซึ่งราคาจานละ 40 บาท
บรรยากาศยามเช้าของบ้านรักไทยในฤดูฝน นักท่องเที่ยวยังมีไม่มากเนื่องจากเป็นฤดูฝน และยังเป็นช่วงไวรัสโคโรนา 2019 ที่เพิ่งจะสร่างซา
ผมต้องการจะเข้าไปเที่ยวในไร่ชาของ รีไวน์รักไทยอันเรื่องชื่อ ทว่า สถานที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่แขกที่พักของลีไวน์รักไทยเข้าได้คือ 10.00 น. ดังนั้น ผมจึงคว้ามอเตอร์ไซค์ขับออกไปเที่ยวฆ่าเวลา เพราะตอนนั้นเพิ่งจะราว 9.00 น. เท่านั้น
เมื่อคืนที่กำลังดื่มกินกับเจ้าของร้านเครื่องดื่ม เขาบอกว่าเส้นทางหลังหมู่บ้านคือเส้นทางที่จะข้ามไปชายแดนฝั่งประเทศเมียร์มา และสามารถผ่านด่านตรวจไปเดินเที่ยวได้โดยใช้เพียงบัตรประชาชนยื่นต่อเจ้าหน้าที่เท่านั้น ผมจึงอาศัยช่วงเวลานี้เดินทางเพื่อไปเดินเล่นยังเมียนมาร์
ช่องทางนาป่าแปก เป็นช่องทางผ่านชายแดนที่จะข้ามไปยังหมู่บ้านที่ชื่อว่ามุ่งเมือง เป็นหมู่บ้านชาวไทยใหญ่ รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์
เดินไปไม่ถึง 100 เมตรก็จะพบด่านฝั่งตรงข้าม จุดนี้เราไม่ต้องแสดงตนอะไรกับเจ้าหน้าที่ทางฝั่งประเทศเพื่อนบ้านอีก แค่ส่งยิ้มให้แล้วเดินผ่านไปได้เลย
ในหมู่บ้านก็พอจะมีนักท่องเที่ยวฝั่งไทยไปเดินเที่ยวบ้างแต่ไม่มากนัก ส่วนมากจะข้ามมาซื้อสุรายาสูบกลับไทย เพราะว่าราคานั้นถูกกว่าซื้อที่ไทย ส่วนเรื่องกฎเกณฑ์การซื้อกลับประเทศไทยนั้นผมไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เนื่องจากเอาติดมือมาเล็กน้อยสำหรับบริโภคเอง
จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจในหมู่บ้านก็คือห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไต ภายในมีรูปภาพ บทความ ที่ให้ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับชาวไทใหญ่
เชยชมจนเกือบทั่วหมู่บ้านก็ออกมารับบัตรประชาชนคืนจากเจ้าหน้าที่ทหารไทยแล้วกลับไปยังบ้านรักไทย
ได้เวลาเข้าไปเที่ยวชมไร่ชาของที่พักลีไวน์รักไทยรีสอร์ท ข้างบนมีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปตามแปลงไร่ชาไม่มากนักเนื่องจากแดดกำลังร้อน
และนี่คือที่เที่ยวแห่งสุดท้ายของทริปนี้ ผมได้ทำตามความตั้งใจที่หมายมั่นไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นเด็กฝึกงานแม่ฮ่องสอนเป็นเมืองที่คุ้มค่าสำหรับการท่องเที่ยว และผมก็ได้เที่ยวอย่างหนำใจจริงๆ เนื่องจากที่ท่องเที่ยวในแม่ฮ่องสอนมีหนาแน่นไม่ห่างไกลกัน มีหลากหลายแนวเหมาะสมทุกเพศทุกวัย และในเที่ยงวันนั้นผมกลับมาคืนรถมอเตอร์ไซค์พร้อมเสียค่าปรับเพิ่มอีก 100 บาท เนื่องจากผิดเวลาส่งคืนรถ จากนั้นก็ไปนั่งรอรถกลับบ้าน
ขอบคุณที่อ่านจนจบและร่วมเดินทางไปด้วยกันผ่านตัวอักษรเหล่านี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา