23 ม.ค. 2021 เวลา 14:09 • ปรัชญา
🎐นกอาสา สื่อธรรมะดังตฤณ
รายการดังตฤณวิสัชนา
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2564
🌞ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน อย่าขับไล่ความมืดด้วยความมืด
https://www.facebook.com/groups/DharmaDungtrin/permalink/3727485877294608/
💎ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนวันเสาร์ สามทุ่มนะครับ
🌞หัวข้อคืนนี้ คือ อย่าขับไล่ความมืดด้วยความมืด ฟังดูเหมือนเป็นคอมมอนเซนส์ (Common Sense) เหมือนทุกคนจะรู้อยู่แล้ว แต่ในทางปฏิบัติปรากฏว่า คนในยุคเราขับไล่ความมืดกันด้วยความมืด แล้วก็ชักชวนให้ทำตามๆ กัน โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
🌒จิตมืดเป็นอย่างไร? เวลาจิตมืดจะคิดไม่ออก มีความรู้สึกว่า ทางมันตัน โลกมันตัน
ส่วนตอนที่จิตสว่าง จิตดีๆ ..หัวจะแล่น ทางจะโล่ง เหมือนกับโลกนี้โล่งไปทั้งใบ ..นี่ คือ ความต่าง
🌒พูดเรื่อง จิตมืด จิตสว่าง บางทีคนไปนึกถึงความสว่างแบบแสงไฟนีออน หรือแสงอาทิตย์  ซึ่งถ้าปฏิบัติไปจริงๆ ทำสมาธิได้ถึงระดับหนึ่ง ก็จะเป็นอย่างนั้น
แต่ประสบการณ์จิตสว่างของคนทั่วไปๆ ไม่ได้ขนาดนั้น เอาแค่ว่ารู้สึกใจเบา มีความสุข อยากยิ้ม รู้สึกถึงพลังใจที่จะทำอะไรดีๆ ให้แก่โลกใบนี้ อยากจะเผื่อแผ่ความสุขที่มีอยู่
😊คือ ถ้าคนเรามีความสุขมากๆ อยากจะเผื่อแผ่ให้คนอื่น เป็นความสุขชนิดไม่เห็นแก่ตัว ชนิดที่รู้สึกถึงความรักออกมาจากข้างใน ลักษณะธรรมชาติของจิต จะแผ่ออก
การที่จิตแผ่ออกนั่นเอง จะไม่คิดเรื่องเปรียบเทียบ ว่าจะได้เปรียบ เสียเปรียบอะไร จะมีแต่ความรู้สึกอยากเจือจาน มีความเป็นกุศลนั่นเอง ลักษณะของความสว่างเป็นแบบนั้น รู้สึกโล่ง รู้สึกแผ่ออกไป อาการที่จิตแผ่ออกไป ก็คือ ความรู้สึกโล่ง ..รสชาติของความปลอดโปร่งนั่นเอง
🌄ความปลอดโปร่งไม่ได้มีแต่สภาพพื้นที่ ที่ว่างๆ บนโลกใบนี้ แต่มีสภาพของจิตใจที่มีพื้นที่กว้างขวาง ขยายขอบเขตออกไปแบบไม่มีประมาณได้ด้วย
ในขณะที่จิตแคบ จิตมืด จะเป็นลักษณะของจิตที่กระจุกตัว อัดเข้ามา รู้สึกอึดอัด รู้สึกว่ามุมมองของเรา สามารถเห็นอะไรได้ในช่วงแค่สั้นๆ เหมือนกับคนสายตาสั้น จิตจะเห็นสั้นๆ มีความรู้สึกว่าออกไปไหนไม่ได้ ถูกครอบไว้ ถูกปิดไว้
🌓หลายคนบอกว่า เมื่อพูดถึงจิตมืด จิตสว่าง นึกไม่ออกว่า จิตมืดเป็นอย่างไร จิตสว่างเป็นอย่างไร
บางคน จิตสว่างตลอดเวลา แต่ก็ไม่รู้ตัวว่า นั่นเรียกว่าจิตสว่าง ขณะที่บางคน จิตมืดคับแคบตลอดเวลา ก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่า นั่นเรียกว่าจิตมืด
🌓จนกว่าจะได้เปรียบเทียบอย่างชัดเจน ในเวลาไล่เลี่ยกันช่วง 2-3 ลมหายใจ หรือชั่วอึดใจเดียวว่า “พลิก” จากจิตที่กำลังโกรธแค้น กำลังคิดอยากฆ่าฟัน กำลังคิดอยากด่าทอ มีความอึดอัดคับแคบอยู่ แล้วมีอะไรสักอย่างหนึ่งมาไขก๊อก เปิดจุกออก ให้ลักษณะของจิตแผ่ออก สู่ความโล่ง ความกว้าง ความสว่าง ถึงจะเริ่มเข้าใจว่า จิตมืดหน้าตาเป็นอย่างนี้ จะตันๆ จุกๆ อยู่ ส่วนจิตสว่าง จะโล่งออกไป มีความสบาย มีความรู้สึกที่ดี มีความรู้สึกยิ้มออก และอยากแจกยิ้มให้กับคนทั้งโลก
🎑ซึ่งหากต่อยอดความสว่าง ไปจนถึงจุดที่จิตเกิดสมาธิ มีความนิ่ง มีความตั้งมั่นเป็นฌานได้ มีความสว่างต่อเนื่องได้ นั่นก็น่าจะเห็นจิตอีกแบบหนึ่ง ออกมาจากภายในชัดๆ จะเห็นลักษณะจิตของตัวเองจากข้างในเลยว่า ความเต็มดวงมีความเต็ม และลักษณะแผ่กว้างไพศาลเหมือนพระอาทิตย์ได้จริงๆ
🎈แต่จิตคนธรรมดาที่ยังฟุ้งๆ อยู่ จะมีอาการกระจัดกระจาย แส่ส่าย แม้จะมีความสว่าง มีความโล่งได้แป๊บเดียว ก็จะกลับเข้ามาสู่ความฟุ้งซ่าน มีอาการวกวน ไม่รู้จะคิดอะไรดี คิดส่งเดช สุ่มไปสุ่มมา ..แบบนี้ เวลาพูดเรื่องจิตสว่าง จึงยังไม่สามารถเห็นภาพได้อย่างแจ่มแจ้ง
และจะทำความเข้าใจเปรียบเทียบกับคำที่ว่า "ขับไล่ความมืด ด้วยความสว่าง" โดยเล็งเข้ามาที่จิตได้ยาก เพราะยังมีจิตที่ดีไม่พอ จะรู้สึกว่าควรหวงไว้ ควรรักษาไว้ ควรจะสร้างให้มันยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่รู้จะเอาจิตสว่างไว้กับตัวทำไม? ในเมื่อมันไม่สนุก
เพราะจิตมืดนี่แหละ ที่นำอะไรสนุกๆ มาเยอะ!🎈
🌅โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนยุคเราที่มองออกข้างนอก มองเรื่องชีวิตที่สว่าง คือ ชีวิตที่มีความมั่งคั่งทางการเงิน ทางหน้าตา ฐานะทางสังคม ไม่มีการสอนตั้งแต่อยู่ในชั้นเรียน ในโรงเรียน ว่าเวลาเรามองเรื่องความมืดความสว่าง ถ้าน้อมมาที่จิต เห็นว่าจิตแบบไหนที่มืด จิตแบบไหนที่สว่าง ก็จะมีความรับรู้ ตรงตามจริงทางธรรมชาติ เหมือนกับที่เราเห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไหร่ .. พอกลางคืนก็สลายตัวไปเมื่อนั้น
🌅คนยุคเรา (หรือยุคไหนๆ ก็ตาม) พอจิตมืดแล้ว จะไม่คิดขับไล่ด้วยจิตที่สว่าง แต่จะระดมความคิดร้ายๆ หรือไปลากจูงเอาอกุศลธรรมเข้ามาใส่ตัว คือ สังเกตว่าเมื่อเรารู้สึกอับจนหนทาง มักจะมีอาการคิดโทษโลก บุคคล สถานการณ์ หรือโทษโน่นนี่ต่างๆ ที่ไปปรุงแต่ง หรือผลิตความคิดแย่ๆ คำด่าร้ายๆ ออกมา แล้วหมกจมอยู่อย่างนั้น
🌒แล้วมีความรู้สึกขึ้นมาว่า สมควรแล้วที่ตัวเราจะนั่งเจ่าจุกอยู่ และคิดด่าโลก หรือคิดโทษโน่นโทษนี่ จะมีความรู้สึกจริงๆ ว่า ก็เป็นอย่างนั้น จะไม่ให้ด่าได้อย่างไร เป็นความผิดของคนอื่น เป็นความผิดของนู่นนี่นั่น
🌒เรื่องความผิดของโลก เรื่องความร้ายกาจของโลก แม้มีอยู่จริง แต่ประเด็นคือ ทำไมเราต้องร้ายเพิ่ม ด้วยการทำจิตให้แย่แบบเดียวกับโลก
🌞ทำไมไม่คิดว่า จิตของเราก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งของโลก ถ้าหากจิตสว่างขึ้นมาดวงหนึ่ง อะไรที่ร้ายๆ ในชีวิตเรา อย่างน้อยก็ยังเหลืออะไรดีๆ อยู่บ้าง!
พอคิดว่า (ปัญหา) เป็นอะไรที่เราแก้ไม่ได้ เป็นปัญหาที่อับจน และคนอื่นเป็นคนทำ หรือโลกนี้กำลังบีบให้มนุษย์ตาย ทั้งอากาศ โรคระบาด เศรษฐกิจ ดินฟ้าอากาศ ฯลฯ เลยกลายเป็นว่า โลกที่ร้ายอยู่แล้ว มันร้ายจริงๆ .. เพราะไม่เหลือแม้กระทั่งใจดีๆ ของเรา ที่จะมาเป็นแสงสว่างให้กับโลกบ้างเลย
😨คนทั่วไป พอจิตมืดและขนเอาความคิดอันเป็นอกุศล ความคิดแย่ๆ มามากๆ เข้า ที่สุดแล้ว จะรู้สึกว่าจิตถูกบีบ และจิตที่ถูกบีบนี่แหละ จะเป็นทางมาของความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ พอคนเรามีอาการน้อยเนื้อต่ำใจยืดเยื้อไปสักพักหนึ่ง จะมีอาการดิ่ง คือ เป็นฝั่งตรงข้ามกับการทำสมาธิที่มีคุณภาพ
🌟ถ้าเราจับลมหายใจ บริกรรมพุทโธ หรือสวดมนต์อะไรต่างๆ พอนานๆ ไป จิตจะดิ่งลงสู่สภาพรวม ผนึกรวม มีความตั้งมั่น มั่นคงเป็นปึกแผ่น แผ่กว้างออกเป็นสมาธิ เรียกว่าเป็นด้านของจิตสว่าง
😨แต่จิตมืด ถ้าถึงขั้นน้อยใจ แล้วดิ่งลงเข้าจุดที่จิตรวมลงสู่หลุมดำ จะมีความรู้สึกว่า ไม่มีทางออกจริงๆ ติดตันอยู่ในหลุมดำ คิดอย่างเดียวว่าอยากตายๆ ไปให้พ้น หรือบางคน อาจอยากเผาโลกให้มอดไหม้เป็นจุล มีอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่ทำร้ายตัวเอง ก็ทำร้ายคนอื่น ไม่เผาตัวเอง ก็เผาโลก
🌃นี่คือ จุดตั้งต้นของจิตมืด ที่ลงเอยเป็นจิตมืด "เอาความมืดมาไล่ความมืด" คือ นึกว่าด่าโลกแล้ว โลกจะดีขึ้น สำคัญผิดอย่างนี้ เวลาที่(ถูก)โมหะครอบ เวลาที่จิตมืดจริงๆ จะเข้าใจว่า เวลานั่งซึมเศร้าเจ่าจุก จะมีคนมาเห็นใจ เทวดาจะสงสาร หรือถ้าตัวเองออกอาละวาด ฟาดงวงฟาดงา ด่าด้วยความคิดที่คิดว่าฉลาดที่สุด โดยเฉพาะคนในสมัยนี้ ที่คิดว่า ด่าให้แรงๆ ด่าให้ร้ายๆ เดี๋ยวโลกจะดีขึ้น
1
🌃มีไอดอลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด บางคนด่าแล้วได้ดี ด่าแล้วรวย ฯลฯ อันที่จริง มีเบื้องหลังเบื้องลึกเกี่ยวกับเรื่องจิต คือ จิตเขาไม่ได้ด่าจริง หรือมีคาริสมาบางอย่างที่ตรึงใจคนได้ แล้วเวลาด่า ก็ไม่ได้มาจากจิตที่ประทุษร้าย ร้ายกาจ แต่มาจากจิตที่ด่าเอามัน แต่คนไปจำว่า ถ้าด่าแล้วจะได้ดี แล้วเลียนแบบด้วยการใช้โทสะ ด้วยจิตที่มืด ในหลุมดำของตัวเอง ไปด่าเลียนแบบเขาบ้าง ผลคือ มีแต่ความวิบัติทั้งทางจิตและทางชีวิต คือ ไม่ได้รวยแบบเขา แต่ยิ่งจนลงๆ
🌒จิตมืด จริงๆ คือ วิธีคิด วิธีใช้อารมณ์ วิธีปล่อยให้อกุศลธรรมครอบงำเราอยู่ โดยไม่มีสติอยู่เลย ไม่มีความตั้งใจดีๆ จะให้อะไรกับใครเลย ไม่มีความตั้งใจดีๆ ที่จะเอาตัวเองออกจากหลุมดำเลย ไม่คิดว่าจะหาทางออกจากก้นถ้ำ ไม่อยากออกมาเจอแสงสว่างนอกถ้ำ
ส่วนคนที่เขาด่าแล้วได้ดี อย่างน้อย ก็ยังมีการให้สติคนอื่นบ้าง มีกลเม็ดลูกไม้ที่จะทำให้คนอื่นขำบ้าง แต่คนที่เอาตามอย่าง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ เข้าใจแต่ตรงที่ว่า ถ้าด่าแล้วจะได้ดี นั่นคือ การเอาความมืดไปเสริมความมืดเดิม ให้หนักเข้าไปอีก
🌞🌞===============🌞🌞
🌇เรามาเอาแบบไม่เสี่ยงกันดีกว่า เพราะถึงแม้จะด่าไปแล้วจะดีไปด้วย แต่ก็ครึ่งดีครึ่งร้าย เวลารับผล ก็ครึ่งดีครึ่งร้ายอยู่เหมือนกัน
เรามาดูวิธี "ขับไล่ความมืดแบบพุทธ" เอาความสว่างมาขับไล่ความมืดแบบพุทธ
คนที่กำลังมีจิตมืดอยู่จริงๆ จะนึกอะไรไม่ออก จะฟังอะไรเยอะแยะ รายละเอียด ข้อปฏิบัติ 1 2 3 จะจำไม่ได้ ไม่สามารถทำได้จริง
🌅แต่ถ้าง่ายๆ แบบที่สืบๆ กัน เห็นพระพุทธรูปองค์ไหน แล้วเกิดความเลื่อมใส ก็กราบพระพุทธรูปองค์นั้น ..จะเป็นพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่บ้าน หรือเห็นทางอินเตอร์เน็ต ถ้าพบว่าเป็นพระ ที่ยังใจของเราให้เกิดความใสสว่าง เลื่อมใส มีความรู้สึกสบายเบา รู้สึกเหมือนได้รับพลังอะไร เรียกว่าใจคุณคลิกกับตรงนั้น
🌞อาจขยายรูปพิมพ์ออกมา ถ้ามีกำลังทรัพย์ ก็ไปเดินดูตามร้านสังฆภัณฑ์ หรือร้านที่ให้เช่าพระพุทธรูป มาประดิษฐานที่บ้าน คุณก็สามารถได้รับต้นแหล่งความสว่างแบบง่ายๆ คือ ตัวสว่างไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูปนะครับ แต่อยู่ที่ใจของคุณ ที่เอาตาไปมองพระพุทธรูป แล้วใจรู้สึกดีขึ้น
🌞ถ้าใจรู้สึกดีขึ้นได้ง่ายๆ จากการมองพระพุทธรูป แล้วก็ยกมือไหว้ ด้วยอาการของใจที่อ่อนน้อม ..อาการของใจที่อ่อนน้อมนี้ จะเกิดความรู้สึกเปิดรับพลังความสว่างเข้ามาได้ แค่นี้ก็ถือว่า เป็นแม่บทของการขับไล่ความมืดด้วยความสว่างแล้ว ไม่ใช่ขับไล่ความมืดด้วยความมืด
🎑ที่คนเรากราบพระ แล้วไม่รู้สึกว่าสว่าง ไม่รู้สึกดี ก็เพราะไม่ได้กราบด้วยจิต คือกราบด้วยมืออย่างเดียว ซึ่งไม่พอ!
1
คุณสังเกตเข้ามาที่ใจ เราต้องพูดกันตรงไปตรงมานะครับ ใจของเรา มีปฏิกิริยาต่อพระพุทธรูปแตกต่างกัน
🌹สำหรับบางคนเห็นพระพุทธรูปเก่าๆ แล้วเกิดความรู้สึกเลื่อมใส บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ ก็ไม่ต้องอธิบาย เอาเป็นว่ารู้สึกดีสำหรับคุณ รู้สึกคลิกสำหรับคุณ ก็พอแล้ว
1
🌹สำหรับบางคน ต้องเป็นพระพุทธรูปแบบโอ่อ่าอลังการ ต้องตกแต่งอย่างดี มีความงดงาม มีความอ่อนช้อย ส่องให้เห็นถึงจิตใจของปฏิมากรผู้ประดิษฐ์ ที่พยายามทำให้พระพุทธรูปเกิดความงดงาม อย่างนี้ถึงจะโดนใจใครบางคนได้ ก็ไม่ต้องว่ากัน ไม่ต้องบอกว่าใครถูกใครผิด
🌞เอาเป็นว่าถ้าคุณคลิกได้ แล้วเกิดความรู้สึกว่า สามารถพร้อมรับพลัง มีความเปิดใจได้ นั่นคือ ที่เหมาะที่จะเป็นที่ตั้งของใจ ที่คิด “กราบด้วยใจ” ไม่ใช่แค่กราบด้วยมือ
🙏องค์พระที่กราบเป็นประจำ ผมว่าคนนับพันไม่เคยทดลอง ไม่เคยมีประสบการณ์ ที่จะได้รู้ว่า เราได้ประจุพลังแห่งความสว่างของเรา เข้าไปสู่องค์พระไว้มากมายเพียงไหน มีความหมายมากนะครับ ทดลองดูได้เลย
🌞พระที่กราบเป็นประจำ จะมีพลังสว่าง ขณะที่เอามาวางเทิดไว้บนศีรษะ คุณจะเกิดความรู้สึกเหมือนเย็นวาบสว่าง เพราะอะไร? เพราะดึงเอาภาคความสว่างของคุณกลับมา โดยอาการแบบนั้น และองค์พระที่ประจุความสว่างของคุณไว้เอง ก็จะเตือนให้นึกได้ถึงกุศลธรรมเก่าๆ หรือ สภาพดีสภาพใจที่สว่างใสของคุณเอง
🌅พูดง่ายๆ ว่าไปปลุกเอาภาคของความเป็นเทวดาในตัวเอง หรือขุดเอาหลุมขาว ที่ถูกหลุมดำทับอยู่ ให้โผล่พ้นหลุมดำขึ้นมา คุณจะเกิดความรู้สึกว่า ความสว่างนั้นปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกิดกำลังใจขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน!
🔔แต่มีข้อแม้ว่า ตอนที่คุณกราบพระองค์นั้น คุณต้องกราบด้วยใจ และทำมานาน จนกระทั่งเป็นพระประจำใจโดยไม่รู้ตัว คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวหรอกว่า กราบพระองค์ไหนเป็นประจำ พระองค์นั้นจะปรากฏเป็นนิมิต เหมือนเกราะแก้วคุ้มภัยคุ้มครองตัวคุณอยู่
💎ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน หากใจมีความนอบน้อมเคารพสักการะสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะเหมือนเข้ามาประดิษฐานในใจคุณ ราวกับว่าใจของคุณเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียเอง!
นี่เป็นเรื่องพลัง เป็นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ ธรรมดาสามัญ แต่ไม่มีใครสังเกต ไม่มีใครรู้จนกว่าจะได้ทดลอง
😎คุณทดลองดูนะครับ แล้วจะเข้าใจจริงๆ ..พระองค์ใดที่คุณกราบประจำ เอามาเทิดหัว ตอนสบายใจก็ได้ จะยิ่งสบายใจขึ้น ยิ่งมีความรู้สึกสว่าง ยิ่งมีความรู้สึกว่ามีพลังอะไรบางอย่าง ที่อยู่เหนือชีวิตคุณ เหมือนคุณเอาพลังนั้นไปฝากธนาคาร
😎คุณไม่ต้องเป็นเกจิ คุณไม่ต้องเป็นพระที่ทรงอภิญญา คุณก็สามารถประจุพลังเข้าองค์พระได้  พลังที่เป็นกุศล พลังที่มีความวิเศษ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความยิ่งใหญ่ มีความสว่างพอ ที่จะยังจิตของคุณให้รู้สึกได้ สัมผัสได้
🔔แต่มีเงื่อนไข คือ ที่พูดไปทั้งหมด เราพูดกันเรื่อง ความสว่างในองค์พระ ที่เกิดจากการกราบไหว้ด้วยความเคารพศรัทธา
❓บางคนอาจตั้งคำถามว่า พระที่กราบอยู่เป็นประจำ อุตส่าห์รู้สึกศรัทธาแล้ว แต่เห็นทีไรกลับไม่เกิดความรู้สึกว่ามีกำลังใจเพิ่มขึ้น
เหตุผลง่ายๆ ให้ลองสำรวจดูว่า หากเป็นคนที่สวดมนต์ทีไร ก็ขอพร ขอนู่นนี่จากองค์พระ นึกว่าเป็นตัวแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนา นึกว่า เราอุตส่าห์บูชา แล้วต้องได้ผลตอบแทนอะไรบ้าง
😫แล้วขอเท่าไหร่ๆ ขอ 10 ที ได้ทีเดียว บางคนขอ 100 ที ไม่เคยได้เลยสักที
เวลากราบไหว้ จะกราบไหว้ด้วยอารมณ์แบบแห้งๆ กราบไหว้แบบที่ไม่ได้เกิดความรู้สึกว่า นี่คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยอะไรเราได้
🙏ด้วยอาการกราบพระแบบนี้ ด้วยอาการทางใจที่เราทุ่มใส่องค์พระแบบนี้ จึงทำให้รู้สึกว่า องค์พระไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา เป็นเหมือนกับพระอิฐพระปูน พระแก้ว ที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีค่างวดอะไร
🌞สมัยนี้เขาตีราคากันด้วยความขลัง ที่บันดาลให้รวยได้ หรือกันกระสุน แต่ถ้าหากเข้าใจถึงความเป็นพุทธจริงๆ แล้ว เราจะเห็นจากที่เรากราบองค์พระ ถ้าหากเราเห็นองค์พระนั้นปุ๊บ เห็นแวบแรกแล้วเกิดความรู้สึกดี สบายใจขึ้นมา
🌹นั่นแสดงว่า ทุกครั้งที่เรากราบไหว้ เรากราบไหว้ด้วยความเคารพศรัทธา ไม่ได้ขออะไรจากท่าน นอกจากจะกราบ เพื่อเอาความรู้สึกศรัทธา ความรู้สึกเชื่อมั่นในศาสดา ให้เป็นที่ตั้งของความระลึกถึง ในคุณวิเศษของพระพุทธเจ้า หรือพระธรรมที่พระองค์สอนมา .. เมื่อเห็นองค์พระ แล้วรู้สึกดีขึ้นทันที นี่ คือหลักฐาน ..
🙏แต่ถ้าเห็นองค์พระ แล้วเกิดความรู้สึกว่า จะไหว้ไปทำไม เหมือนกับจะเดินเชิดใส่องค์พระ ด้วยจิตที่ต่ำแบบนี้ อย่างนี้แสดงว่า เวลากราบไหว้องค์พระ เรามีจิตที่คิดไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อันนี้เป็นร่องรอยที่เราสามารถสำรวจตรวจสอบ ที่มาที่ไปของพลังในชีวิตของเราได้ ว่าเป็นความสว่างอยู่แท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่สว่างเต็ม
💎จุดเริ่มออกจากใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน อะไรๆ ใหลออกมาจากใจ ..ถ้าเห็นองค์พระที่เรากราบไหว้ แล้วรู้สึกว่า เกิดกุศลยิ่งใหญ่ นั่นแสดงว่า เรากราบไหว้มานี่ กราบไหว้ด้วยการถวายพร ไม่ได้กราบไหว้ด้วยการขอพร
😫แต่ถ้าเห็นองค์พระแล้ว รู้สึกว่าน้อยเนื้อต่ำใจ หรืออยากเดินเชิดใส่ อย่างนี้แสดงว่าเราสวดขอพร แล้วไม่ได้ตามพรที่ขอสักที
🌞ให้หัดสวดแบบถวายพรดู แล้วจะรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง สร้างได้ด้วยใจ ..
ถ้าใจเราศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใจเราใหญ่พอ พอในที่สุด องค์พระจะศักดิ์สิทธิ์ตาม ..ถึงแม้ว่าจะไม่ขออะไรดีๆ  อะไรดีๆ ก็จะ ใหลมา เทมาเอง โดยไม่รู้ตัวว่าจะเข้ามาวันไหน
🌞🌞================🌞🌞
🎑จากหัวข้อวันนี้ "การขับไล่ความมืดด้วยความสว่าง" ที่ยกตัวอย่างเป็นองค์พระ เพราะเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับคนทั่วไป ที่จะเข้าหาและเห็นผลทันตา
🎑แต่หากเรามาพูดกันแบบพุทธ ที่พึ่งทางใจ หรือกุศล ที่จะเป็นเงาตามตัวเราไป ไม่ใช่แค่การกราบไหว้องค์พระอย่างเดียวนะครับ เพราะการกราบไหว้องค์พระ เป็นเรื่องของศรัทธา มาง่ายไปง่าย
แต่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่ง เป็นความสว่าง พร้อมจะขับไล่ความมืดให้กับเราได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง .. พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว แต่ไม่ค่อยมีคนเอาเท่าไร่
🎑ส่วนตัวของผม .. เวลานึกถึงที่พึ่งทางใจของตัวเอง ผมบอกตัวเองว่า หากุศลที่ติดตัวเจอแล้ว แล้วก็อยากให้ทุกท่านได้หาสิ่งที่เป็นกุศลติดตัว ให้เจอด้วยเช่นกัน
แต่ละคนก็จะอาจจะคลิกต่างกัน เพราะสิ่งที่เป็นกุศลใช้ได้จริงๆ เฉพาะตน
🌅ส่วนตัวของผม ตอนแรกๆ ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมผมถึงเอาจริงเอาจัง แน่วแน่กับการได้ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้ “หายใจเป็น” แบบพุทธ ทั้งที่แรกเริ่มเดิมที สุขภาพผมไม่ดีเท่าไหร่ และหายใจติดขัด
แต่มีความเชื่ออยู่ในส่วนลึก (ในตอนนี้ผมรู้คำตอบแล้วว่าทำไมจึงปักใจเชื่อ) คือ มันโยงใย มีที่มาที่ไป ที่อธิบายไม่ได้ในชีวิตเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม ณ เวลาที่ผมเริ่มต้นศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผมดิ่งไปตรงนี้แหละ ว่าถึงแม้จะไม่มีคนสอน แบบที่พระพุทธเจ้าสอน แต่ผมก็จะพยายาม ทำแบบที่พระพุทธเจ้าสอนให้ได้
💫คือ หายใจเข้า รู้ว่า หายใจเข้า
หายใจออก รู้ว่า หายใจออก
หายใจยาว รู้ว่า หายใจยาว
หายใจสั้น รู้ว่า หายใจสั้น💫
จนกระทั่ง จิตมีความแยกออกไป เป็นผู้ดูลมหายใจทั้งปวง ทั้งสั้น ทั้งยาว ทั้งเข้า ทั้งออก
🌅ซึ่งเรียกว่าคุ้มค่า เพราะในช่วงแรกๆ มีความสับสน ฟังคนนู้นคนนี้ที แต่โดยส่วนตัวแล้ว อยากให้ลมหายใจเป็นที่ตั้ง ที่ประดิษฐานของแสงสว่างประจำตัว แล้วก็มาได้เข้าใจจริงๆ อย่างหนึ่ง ด้วยการสังเกตเอาจากชีวิตจริงๆ ว่าถ้าดูลมหายใจอย่างเดียว จิตมันไม่เต็ม จิตมันไม่สว่างจริง มันคับแคบ
แต่ถ้าหากรู้ลมหายใจด้วย พร้อมกันก็ดูกายไปด้วย
คือ นั่งอยู่ รู้ว่านั่งอยู่
นั่งหายใจยาว หรือหายใจสั้น
นั่งหายใจเข้า หรือหายใจออกอยู่
😊รู้ตัวไปด้วยแบบนี้ ถึงจะมีความสุขความสบายเพียงพอ ที่จะเป็นความสว่างขับไล่ความมืดได้
นี่คือ การอธิบายแบบสั้นๆ ที่ผมอาศัยเป็นความสว่างติดตัว เป็นกุศลธรรม ที่ตามเราเป็นเงาไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนของคุณ ต้องสังเกตเอาเอง ว่ามีสิ่งที่เรียกว่ากุศลธรรมแบบไหน ที่พร้อมพอจะเป็นความสว่าง ขับไล่ความมืดของตัวเองได้ทุกเมื่อ
🔔นี่จึงไม่ใช่แค่การให้กำลังใจกัน แต่เป็นการให้ที่พึ่ง ซึ่งเป็นกำลังของจริง ติดตัวกันไปได้ตลอด 24 ชั่วโมง
🌄ทุกวันนี้ เห็นเด็กยุคนี้แล้ว รู้สึกเป็นห่วงนะครับ พอจิตมืดแล้ว หาทางออกด้วยการด่าโลก จิกกัดชาวบ้าน พยายามเผาโลก ชวนกันเผาโลก แม้กระทั่งบางคน รู้จักทฤษฎีทางพุทธศาสนาเป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ตัว ว่าจิตไม่มีธรรมะเลย จิตชอบไปอาละวาด อวดศักดา ไล่กัดชาวบ้านเขา หรือเบ่งทับคนอื่นเขา อยากให้ใครต่อใครรู้ว่า ตัวเองรู้ดีที่สุด และวิธีก็คือ ไปด่าคนที่คนเขานับถือกันว่ารู้
ตรงนี้เหมือนกับเทรนด์ของยุคไอที ที่ทำกันได้ง่าย ถ้าเป็นยุคก่อน หากอยากจะอวดศักดา หรือข่มขี่กันด้วยความรู้ จะต้องเจอคนที่อยากจะคุยด้วยเสียก่อน เพราะอยู่ๆ จะไปด่าชาวบ้านเขานี่ จะไม่มีใครมาคุยด้วย
🌄แต่ยุคนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากฟัง ไม่อยากเสวนาด้วย ก็ยังสามารถไประรานเขา ไปตามป่วนเขาในกระทู้ก็ดี ในสเตตัสของส่วนตัวของใครก็ดี เหมือนโลกเปิดช่อง ให้สร้างความมืดมาทับถมความมืดของตัวเองได้มากกว่ายุคไหนๆ
🍀อย่างเวลาที่ผมสอนลูกให้รู้จักพุทธศาสนา ผมรอให้ลูกเป็นทุกข์เสียก่อน แล้วชี้ให้เขาเห็นต้นเหตุทางใจของเขา วิธีคิดของเขา ว่าคิดอย่างไร ถึงเกิดความทุกข์ขึ้นมา ให้เขาเห็นความทุกข์เป็นภาพ จากนั้นจึงสอนให้เห็นว่าจิตแบบไหนเป็นกุศล จิตแบบไหนเป็นอกุศล
😊ซึ่งไม่ใช่มาพูดกันด้วยศัพท์แสงทางวิชาการ แต่อธิบายให้เขาเห็นความรู้สึก ณ ขณะนั้นของเขา ว่าตอนที่คิดดี ตอนที่รู้สึกดี ตอนที่เขาบอกว่าแฮปปี้ (happy) อย่างนั้น เป็นเพราะจิตเขาเป็นกุศล แต่ตอนที่เขาคับแค้น จิตเขาเต็มไปด้วยความทุรนทุราย อยากจะเอาแต่ใจอะไรต่างๆ ให้เขารู้ว่า นี่คืออกุศลจิต
🍀ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเราปูพื้นฐานให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็ก ให้รู้จักเรื่องจิต แบ่งได้ว่า จิตสว่างเป็นอย่างไร จิตมืดเป็นอย่างไร เขาจะโตขึ้น แบบคนที่เข้าใจตัวเองว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
😨ไม่เหมือนคนทั่วไป ที่ถูกสอนให้รู้ว่าจะเอาอะไรให้ได้!.. สิ่งที่ดี คือ ได้หน้าได้ตา ..สิ่งที่ไม่ดี คือ ด้อยกว่าคนอื่นเขา ..ผลสอบออกมานี่ด้อยกว่าชาวบ้านเขา อย่างนี้ไม่ดี .. แต่เรื่องจิตเรื่องใจไปถึงไหนแล้ว ไม่มีใครสอนกัน!
🌟ถ้าจะสอนพุทธศาสนา อย่าเริ่มสอนด้วยทฤษฎี สอนด้วยการให้เขารู้จักของจริงก่อน ยิ่งเด็กสมัยนี้ พอเขาไม่รู้จักเรื่องจิตเรื่องใจตัวเอง โตขึ้นมาจะเหมือนกันหมดเลย คือ แยกไม่ออกระหว่างกุศลและอกุศล
😨รู้อย่างเดียวว่า อะไรถูก อะไรผิด อยู่ข้างนอก พอจนแต้มขึ้นมา จะคิดอย่างเดียวเลย คือ อาการซึมเศร้า มันเป็นสิ่งที่เป็นผลผลิตของสมอง เป็นเคมีของสมองที่ไม่สมดุล คือ พูดเป็นอยู่คำเดียวเลย โทษสมองอยู่อย่างเดียวเลย แต่ไม่รู้แม้กระทั่งว่า ถ้าจิตมืดอยู่นี่ จะสามารถขับไล่ได้ด้วยจิตที่สว่าง
🌟ผมก็เคยพยายามเสนอแนวทาง ทำนิทานจอมเทพขึ้นมา มีทั้งภาพสว่างและภาพมืด คือ โดยปกติ นักจิตวิทยาเด็ก เขาจะไม่ส่งเสริมให้เอาภาพดาร์ก (dark) มาใส่ในนิทาน แต่ผมเห็นตรงกันข้ามเลยนะครับ ว่าเด็กควรจะรู้จักจริงๆ ว่า ภาคสว่างกับภาคมืดจากภายนอก ที่จะสะท้อนให้เขาเห็นจิตภายใน ทั้งภาคสว่างและภาคมืด นี่สำคัญขนาดไหน
😊เพราะถ้ารู้ตั้งแต่เด็กๆ เข้าใจจริงๆ ที่จะอ่านตัวเอง เห็นจิตใจของตัวเอง ว่ากำลังมืดอยู่หรือสว่างอยู่ แล้วเห็นอย่างแจ่มชัด เห็นอย่างแจ่มแจ้ง ว่าจิตสว่างมาเมื่อไหร่ จิตมืดหายไปเมื่อนั้น ก็จบเลยนะครับ ปัญหาทั้งปวงที่เกี่ยวกับจิตใจอารมณ์ของคน
🌟ผมเองก็โตมาด้วยการสอนให้มองข้างนอก เหมือนกับคนอื่น แต่พอเริ่มต้นจะทำความรู้จักกับศาสนา ก็ได้รับคำสอนที่ยากเหมือนยาขม กลืนยากเคี้ยวยาก ให้ท่องจำโน่นนั่น ก็เลยไม่เห็นค่าศาสนาตั้งแต่แรก ยังเสียดายอยู่ทุกวันนี้ มาเห็นค่าของศาสนาเมื่ออายุ 16-17 ปี เริ่มมีความทุกข์สาหัส ทั้งสุขภาพจิต สุขภาพกาย ที่ใกล้แตกพัง
ถึงตรงนั้นจึงได้หาคำตอบจากข้างใน จึงรู้ว่า ถ้าเริ่มต้นจากการทำความรู้จัก ว่าจิตมืด จิตสว่าง หน้าตาเป็นอย่างไร ทางออกทั้งหมดของชีวิตอยู่ตรงนั้นเลย
🌞จิตสว่างนี่ ถ้าคุณทำให้เกิดขึ้นได้เป็นปกตินะครับ จะแทบจะไม่เหลือความมืดในชีวิต ให้ต้องทนขมขื่นกันอีกต่อไป ต่อให้คุณมีสุขภาพกายย่ำแย่ยังไง ก็จะมีจิตที่สว่าง มาช่วยแบ่งเบาให้เกิดความรู้สึกดีกับชีวิตที่เหลือได้บ้าง
เราอยู่ในยุคที่จำเป็นจริงๆ ที่ต้องเข้าใจเรื่อง "การไล่ความมืดด้วยความสว่าง" และเท่าที่เห็น หลายคนยอมให้โลกที่มืด ทำชีวิตตัวเองให้มืดตาม แบบที่ไม่มีกำลังใจจะออกไปจากความมืดอีกแล้ว!
🔔รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน อย่าขับไล่ความมืดด้วยความมืด
วันที่ 16 มกราคม 2564
ถอดคำ : นกไดโนสคูล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา