24 ม.ค. 2021 เวลา 03:05 • หุ้น & เศรษฐกิจ
จองซื้อหุ้น PTTOR ดีไหม ???
https://www.pttor.com/th
เช้าวันนี้ (24 ม.ค. 64) วันเปิดจอง IPO วันแรก จะขอแชร์ข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ให้ใช้ประกอบการตัดสินใจกันครับ
PTTOR ถือว่าเป็นบริษัทลูกรักในเครือของ ปตท. (PTT) โดยแบ่งโครงสร้างธุรกิจเป็น 3 ส่วนหลักๆ ประกอบด้วย มีทั้งธุรกิจน้ำมัน(Oil) และธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน(Non-Oil) ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่
1
1. ปั๊ม ปตท., ปิโตรเลียม, น้ำมันหล่อลื่น, FIT auto
2.ร้านค้าปลีก Amazon, Texas, Hua Seng Hong, Pearly tea
และ 3. ธุรกิจปั๊มและร้านดังกล่าวในต่างประเทศ
1
โดยใน 5 ปีข้างหน้า ประมาณมี 2564 - 2568 จะใช้งบลงทุนทั้งหมดราวๆ 7.46 หมื่นล้านบาท แบ่งสัดส่วนการใช้งบลงทุนเป็น ธุรกิจน้ำมัน (Oil) 34.6% ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) 28.6% ธุรกิจต่างประเทศ 21.8% และธุรกิจอื่นๆ 15%
สาเหตุที่มีการใช้งบลงทุนในธุรกิจน้ำมัน (Oil) สูงนั้นเนื่องจากทางบริษัทมองว่ายังเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดได้สูงที่สุด อีกทั้งธุรกิจอื่นๆ ของ PTTOR ก็ยังคงต้องพึ่งพาธุรกิจน้ำมัน ซึ่งการลงทุนในธุรกิจน้ำมันส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยี
2
ธุรกิจน้ำมัน (Oil) จะมีการขยายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station เพิ่มเป็น 2,500 สาขาในปี 2568 หรือประมาณปีละ 100 แห่ง จากในปัจจุบันมี 1,968 สาขา และจะมีการเปลี่ยนสถานีบริการน้ำมันเป็น Living Community ซึ่งเป็นศูนย์กลางค้าปลีกในชุมชนนั้นๆ และเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าของชุมชนที่ OR ไปตั้งอยู่
4
สิ่งที่น่าสนใจคือ OR มองเทรนยานยนต์ไฟฟ้า(EV) เป็นโอกาสใหม่ โดยช่วงที่ผ่านมาได้ทำการติดตั้งสถานีชาร์จไว้แล้วทั้งหมดประมาณ 25 แห่งทั่วประเทศ พร้อมทั้งสร้างแอปพลิเคชันรองรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วอีกด้วย โดยแอปฯ ดังกล่าวจะเก็บข้อมูลผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามาทำการวิเคราะห์ความต้องการในอนาคต จากนั้น OR จะสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมารองรับ และจะทำถึงขั้น Ecosystem ทั้งการผลิตแบตเตอรี่ ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ผลิตและขายเครื่องชาร์จ (EV Charger) ติดตั้งในสถานีบริการของตัวเอง อยู่บนทุกเส้นทางหลักทั่วประเทศไทย และเริ่มธุรกิจบริการชาร์จ หรืออื่นๆ ตามความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต
1
นอกจากนี้ OR ยังได้เพิ่มบริการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าภายในศูนย์บริการ FIT Auto และเตรียมเปิดสาขาเพิ่มในอนาคตอีกด้วย
https://www.pttor.com/th
ส่วนธุรกิจธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) และต่างประเทศนั้นจะเป็นตัวสร้างการเติบโต (Growth Engine) ให้กับ PTTOR ในอนาคต โดยจะเน้นการลงทุนขยายธุรกิจต่างๆ ครอบคลุม Lifestyle Ecosystem ในช่วง 3 - 5 ปีข้างหน้า
2
สำหรับแผนธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) นั้นมีเป้าหมายที่จะเพิ่มฐานรายได้และ Margin จากขยายสาขาในส่วนของแบรนด์ที่มีอยู่ หาคู่ค้าเพื่อลงทุนสร้างแบรนด์ใหม่ๆ รวมถึงการเข้าซื้อแบรนด์อาหาร และเครื่องดื่มอื่นๆ อีกด้วย
3
โดยทาง OR มีแผนที่จะขยายสาขาคาเฟ่ อเมซอน (Cafe Amazon) เพิ่มอีก 2,100 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 3,168 สาขา ซึ่งจะเน้นขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ นอกสถานีบริการน้ำมันเพิ่ทมากขึ้น พร้อมทั้งเตรียมเพิ่มสินค้าประเภทเบเกอร์รี่ ในร้านคาเฟ่ อเมซอน โดยจะมีการลงทุนทั้งโรงงานผลิตเบเกอร์รี่ ผงผสมเครื่องดื่ม และศูนย์กระจายสินค้าของตัวเองอีกด้วย
ในส่วนของร้าน เท็กซัส ชิกเก้น (Texas Chicken) ทาง OR มีแผนที่จะขยายสาขา 20 แห่งต่อปี และจะเริ่มการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์มากขึ้น
2
สิ่งที่น่าสนใจคือ สัญญากับร้านค้าปลีกสะดวกซื้อชื่อดังอย่าง 7-Eleven ปัจจุบัน OR ได้เซ็นสัญญารอบที่ 2 หรือรอบละ 10 ปี ซึ่งในขณะนี้ก็เหลืออีกราว 2 ปีก็จะครบสัญญา ในเบื้องต้นพูดคุยรายละเอียดแล้ว และยืนยันว่าจะยังคงเป็นพันธมิตรที่เสริมกันอยู่ ระหว่าง 7-11 และ OR
นอกจากนี้ OR จะเริ่มจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ระบบชำระเงินออนไลน์ วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและทำการตลาดในเชิงรุกมากขึ้น และยังได้จับมือกับ Flash Express ในการให้บริการขนส่งสินค้า Delivery และรองรับคำสั่งซื้ออื่นๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ และอาจจะมีการลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์เพิ่มเติมอีกด้วย
https://www.pttor.com/th
สำหรับกำไรส่วนใหญ่มาจาก ร้านคาเฟ่อเมซอน (30%) ธุรกิจน้ำมัน (30%) ร้านสะดวกซื้อ Jiffy (25%) และพื้นที่เช่าและ FIT AUTO (10%)
รายได้และกำไรในแต่ละส่วนธุรกิจ (คิดเป็น % ของทั้งบริษัท) ได้แก่ ธุรกิจน้ำมัน รายได้ 91% EBITDA 70%, ธุรกิจค้าปลีก รายได้ 4% EBITDA 25% และธุรกิจในต่างประเทศ รายได้ 5% EBITDA 5% ขณะที่ มาร์จิ้น (Margin) ธุรกิจน้ำมัน 3%-7% (ผันผวนตามราคาน้ำมัน และค่าการตลาด), ธุรกิจค้าปลีก 24%
3
กำไรย้อนหลัง OR
ปี 2560 กำไร 9.8 พันล้านบาท
ปี 2561 กำไร 7.9 พันล้านบาท
ปี 2562 กำไร 10.9 พันล้านบาท
ปี 2563 (9 เดือน) กำไร 5.9 พันล้านบาท
จากแนวโน้มกำไรคาดการณ์ว่าทั้งปีนี้ OR จะทำกำไรได้ราว 7.8 พันล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับในปี 2561 (หากดูแนวโน้มกำไรในภาพรวมจะพบว่าค่อนข้างผันผวน ตามราคาน้ำมัน และความต้องการใช้น้ำมัน)
ความใหญ่ของ OR หากมีการ IPO ที่ 2,160 ล้านหุ้น (22.5%) ที่ราคา 18 บาท จะมีมูลค่าตลาด (Market Cap) ประมาณ 2 แสนล้านบาท ขณะที่บริษัทแม่อย่าง PTT มี Market Cap อยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ทำให้หุ้น OR ใหญ่พอๆกับบริษัท CPN ที่มี Market Cap อยู่ที่ 2.14 แสนล้านบาท จึงมีโอกาสสูงมากที่ OR จะถูกนำเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ทันที
P/E Ration ประมาณ 23 – 26 เท่า (ราคาประมาณ 16 – 18) บาทแต่ถ้าหากคิดจากกำไรย้อนหลัง 12 เดือน จะมี P/E ประมาณ 27 เท่า ราคา 18 บาท นั่นแสดงว่า ถ้า OR ยังสามารถทำกำไรในระดับนี้ไปทุกๆ ปี ก็จะคืนทุนได้ใน 27 ปี แต่ถ้าอนาคตมีความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น ก็จะคืนทุนได้เร็วขึ้นนั่นเอง
3
สำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ให้นักลงทุนรายย่อยนั้นมีสัดส่วนประมาณ 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด หรือประมาณ 595.7 ล้านหุ้น ที่ราคา IPO ประมาณ 16 – 18 บาท โดยจะประกาศราคา IPO สุดท้ายในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหุ้น วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564
2
ผู้ถือหุ้น PTT ก่อน 5 มกราคม 2564 สามารถใช้สิทธิจองหุ้น IPO ได้ในวันที่ 25 – 28 มกราคม 2564 โดยจะได้สิทธิ ผู้ถือหุ้น PTT 95.1977 หุ้น ต่อสิทธิ OR 1 หุ้น
ส่วนนักลงทุนที่ไม่ได้ถือหุ้น PTT สามารถจองผ่านธนาคารได้ตั้งแต่ 9.00น. ของ วันที่ 24 มกราคม ถึง 12.00น.(เที่ยงวัน) ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 ผ่านทางธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย และกสิกรไทย เท่านั้น โดยมียอดจองขั้นต่ำ 300 หุ้น และจะต้องเพิ่มเป็นจำนวนขั้นต่ำครั้งละ 100 หุ้น (Small Lot First) โดยสามารถจองได้ทั้งที่ธนาคาร หรือจองผ่านแอปฯ ก็ได้ ชำระค่าจองซื้อเต็มจำนวนที่ราคาจองซื้อหุ้นละ 18 บาท และจะคืนเงินส่วนต่าง หากราคา IPO สุดท้ายต่างจากราคาจองซื้อดังกล่าว จะคืนอย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 17 ก.พ. (กรณีรับเงินเข้าบัญชี) และวันที่ 22 ก.พ. (กรณีรับเป็นเช็ค)
1
https://www.pttor.com/th
วิธีจองหุ้น 'OR' ผ่าน 3 แบงก์ 'กรุงไทย-กสิกรไทย-กรุงเทพ': https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/918698
หลังจัดสรรแล้ว สัดส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ OR เป็นดังนี้
PTT 9,000 ล้านหุ้น (75 %)
IPO 2610 ล้านหุ้น (22.5 %)
กรีนชู* 390 ล้านหุ้น (2.5 %)
รวม 12,000 ล้านหุ้น (100 %)
*หากมีผู้จองซื้อมากกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขาย 2,610 ล้านหุ้น บริษัทอาจพิจารณานำหุ้นกรีนชูมาจัดสรรให้ผู้จองซื้อรายใหญ่และรายย่อยอีกจำนวนไม่เกิน 390 ล้านหุ้น
2
โดยสรุป รายย่อยไทยจะได้ถือหุ้นเพียงประมาณ 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ และหากมองภาพรวม OR นั้นถือเป็นหุ้นเกรดพรีเมียมพื้นฐานดีตัวหนึ่งของตลาดหุ้นไทย แต่ถ้ามองในแง่ของการเติบโตในอนาคตก็บอกได้เลยว่า อาจจะมีไม่มากนัก หรือโตได้แต่อาจจะช้ามาก เพราะธุรกิจต่างๆ ค่อนข้างจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกและคาเฟ่ต่างๆ สิ่งที่เป็นความเสี่ยงและความท้าทายสำคัญของ OR ก็คือ แนวโน้มการเดินทางที่ลดลงซึ่งก็จะส่งผลต่อปริมาณการใช้น้ำมันที่ลดลงด้วย รวมทั้งเทรนยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเข้ามาในอนาคตอีกด้วย
4
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.pttor.com/th
https://www.pttor.com/th
📲 เปิดพอร์ตหุ้นไทย/ต่างประเทศ, ออมหุ้น (DCA), กองทุน หรือ TFEX ทักแชทมาทาง Inbox หรือคลิกที่ "Contact Us" ด้านล่างนี้ครับ 👇👇👇
#คลินิกการลงทุน
โฆษณา