25 ม.ค. 2021 เวลา 01:47 • หนังสือ
สรุปหนังสือ | หนังสือเสียง 14 | The power of Output ศิลปะของการปล่อยของ
เปลี่ยนโลกจริงให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ผ่านหลัก คิด พูด เขียน ทำ โดย ชิออน คาบาซาวะ จิตแพทย์และนักเขียนชื่อดังของญี่ปุ่น
ฟังไฟล์เสียงได้ที่ 👉🏻 https://youtu.be/u6ovD9Q6Xlg
เมื่อก่อน จูลเคยคิดว่า การอ่านหนังสือมากๆ ยิ่งทำให้เกิดการพัฒนาตนเองมาก แต่สิ่งที่พบคือ ผ่านไปไม่นานก็ลืม เอาความรู้อะไรมาใช้ไม่ได้เลย อีกทั้ง ยังคิดอีกว่า การที่มาสรุปหนังสือ อ่านไป เขียนไป เป็นสิ่งที่เสียเวลามาก แทนที่จะอ่านจบได้อย่างรวดเร็ว กลับต้องมาเสียเวลาเขียนอีก ทำให้ย่ิงไม่อยากทำ อีกทั้งตอนที่เรียน พบว่า ติวให้เพื่อนคนไหน คนนั้นได้คะแนนมากกว่าเราทุกที ไม่รู้จะทำไปทำไม แต่เมื่อได้มาอ่านหนังสือเล่มนี้ ทำให้ค้นพบว่า การที่เราสรุป การที่เราเขียน การที่เราพยายามทำ Output อะไรมากมายนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ดีกว่าเมื่อวานอีก จึงรู้สึกตื่นเต้นมากๆ และ ดีใจที่สุด ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ สิ่งที่จะออกไปทำคือ จะขยันทำ Output ตามที่หนังสือบอก มีหลายวิธีเหลือเกิน แต่ละวิธีดูสนุก และตอกย้ำให้จูลมั่นใจขึ้นกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ...เพื่อนๆ อย่าลืมไปหาอ่านกันนะคะ หนังสือเล่มนี้อ่านง่าย มีภาพประกอบชัดเจน จะเข้าใจมากๆเลยค่า
1
....ต่อให้คุณเป็นคนที่วิเศษมากแค่ไหน หากไม่ทำOutput คนรอบข้างไม่มีวันรู้ถึงเสน่ห์ ความสามารถที่แท้จริงของคุณเลย เพื่อที่จะได้รับความไว้วางใจ มีความสัมพันธ์กับผู้คนที่หลากหลาย แสดงออกมาให้โลกรับรู้ ด้วยการ พูด เขียน และลงมือทำ
1
....การนำข้อมูลมาใช้ ทำให้สมองรับรู้ว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญ จะเอาไปเก็บที่ความจำระยะยาว แค่เปลี่ยนการเรียนการทำงานมาเน้นที่Output จะพัฒนาตนเองได้อย่างก้าวกระโดด และ แสดงความสามารถอย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้เราจำได้ เปลี่ยนพฤติกรรม เกิดผลสำเร็จชัดเจน
1
....Input....อ่าน ฟัง...เป็นการดูด้วยตา ทำให้โลกในสมองเปลี่ยน ...จำไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพราะคิดว่าตนเองรู้แล้ว
Output....พูด เขียน ปฎิบัติ ทำแบบฝึกหัด สอบ อธิบาย สอน ....ทำให้โลกความเป็นจริงเปลี่ยน ทำให้เราจำได้ ..เป็นการขยับร่างกาย ขยับกล้ามเนื้อ เหมือนการขี่จักรยาน..คนที่ไม่เคยทำให้เริ่มจากการพูด เล่าสิ่งที่อ่านมา ฟังมา ประสบมา ..สะสมความรู้ไปพัฒนาตนเอง จะจำติดตัว
....การพัฒนาตนเองวัดจากปริมาณ Output
2
กฎพื้นฐานของ Output
1. สร้าง Output อย่างน้อย 3 ครั้ง ใน2 สัปดาห์
2. ทำ Input - Output สลับกันไป เป็นบันไดของการพัฒนา
3. อัตราส่วนที่ดีสุด คือ Input 3 : Output 7
4. ก่อนทำ Output ครั้งต่อไป ต้องสำรวจ Feedback ก่อน ควรทำทุกวัน เพื่อปรับปรุง Input ครั้งต่อไป การมองย้อนกลับ คิดถึงข้อผิดพลาด การแก้ไข การปรับทิศทาง การปรับเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ การค้นหาสาเหตุ ทำให้เราปรับทิศทางการลงมือทำ ทำให้พัฒนาได้มากกว่าครั้งก่อน (ทำไมถึงทำได้ดี ทำไมถึงผิดพลาด คร้ังต่อไปต้องทำยังไง)
1
....4 วิธีสร้าง Feedback ที่ได้ผลดี
1. แก้ไขข้อด้อยและพัฒนาข้อดีที่ถนัด เช่น อ่านซ้ำตรงที่ไม่เข้าใจ ค้นหาเพิ่มเติม เป็นการแก้ข้อด้อย มองหาสาเหตุที่ผิด....คิดส่วนที่น่าสนใจ เอาไปใช้ อ่านเล่มอื่นเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น เป็นการพัฒนาข้อดี
....ทำแบบฝึกหัดที่ยากขึ้น หากคนเรียนไม่เก่ง ให้เน้นพัฒนาข้อดี เพื่อสร้างความมั่นใจ ให้รู้สึกถึงความสนุก
2. ขยายให้กว้างและ เจาะให้ลึก คือ อ่านให้กว้างก่อน หากสนใจค่อยเจาะลึก (กว้าง คือ อ่านของหลายๆคน ...ลึกคือ อ่านของคนๆเดียว)
3. ไขข้อสงสัยว่าทำไม ...ทำให้ค้นพบบางอย่าง และก้าวข้ามได้ เป็นการพัฒนาตนเอง
4. ให้คนอื่นแนะนำ จากคนที่มีความรู้ ประสบการณ์มากกว่า เป็นkey ของการพัฒนา
1
Outputด้วยการพูด มี 15 ข้อ
1. การพูด
....พูดรีวิว ...พูดความคิดเห็นส่วนตัว สิ่งที่ตนเองชอบค้นพบอย่างออกรส ...คิดยังไง โดยใส่ความเป็นตัวตนลงไป ความรู้สึก (ข้อเท็จจริง+ข้อคิดเห็น)
1
....การพูดแง่บวก ...ทั้งงาน การดำเนินชีวิต ชีวิตคู่ คนรอบข้าง
บวก : ลบ
3 : 1 = ทีมทำงานได้ดี
5 : 1 = สามีภรรยาที่รักกันดี
6 : 1 = ทีมทำงานได้ดีมากสุด
1
....เลี่ยงการพูดว่าร้ายคนอื่น เกิดผลเสีย
A.... ยิ่งพูดว่าร้ายคนอื่นยิ่งเครียด เกลียด หงุดหงิด โมโห ไม่ชอบขี้หน้า มีภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนไม่นินทาถึง 3 เท่า....
B. ความสัมพันธ์กับผู้อื่นแย่ลง ..รู้สึกตามที่ตนเองพูด ความรู้สึกส่งไปถึงคนอื่น
C. กลายเป็นคนจับผิดคนอื่น ..ฝึกมองข้อด้อย ข้อบกพร่อง คิดแง่ลบ
2
2. การสื่อสาร แบ่งเป็น 2 ประเภท (เป็นการสื่อความคิด)
A: สื่อสารด้วยคำพูด ...จะพูดอะไรดี
B: สื่อโดยไม่ใช้คำพูด...รับรู้โดยผ่านการมอง เช่น เสื้อผ้าหน้าผม บุคลิก สีหน้า การกระทำ ท่าทางมารยาท น้ำเสียง.
....กฎของเมราเบียน คือ คนเราเชื่อในสิ่งที่เห็นด้วยตา 55% ฟังด้วยหู 38% เชื่อจากคำพูด 7%
....คนเราสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด 93% ..ให้คิดว่าจะพูดอย่างไรดี แค่ยิ้ม พูดจาฉะฉาน เป็นสิ่งสำคัญกว่าเนื้อหาที่พูด
....เวลาพูดต้องมี อายคอนแท็กต์ ..มองตาคู่สนทนา ทำให้สนิทสนมง่าย ผูกพันง่าย ร่างกายหลั่งโดพามีน
1
....เทคนิคการทำอายคอนแทก
A: หากกลัวที่จะสบตาตรง ให้มองที่หว่างคิ้ว หว่างตา หรือจมูก
B: สบตา 1 วินาที เฉพาะตอนสำคัญ (ว่าฉันอย่างสื่อตรงนี้)...ผลวิจัย อาร์ไกล์ (Argyle) เวลาคุยกัน จะสบตากัน 30-60% มากน้อยขึ้นกับว่าเค้าเป็นคนที่สำคัญไหม
C: สื่อความรู้สึก อารมณ์ผ่านทางสายตา
D: เวลาฟังคนอื่น ให้มองตาด้วย สื่อว่า ฉันสนใจในตัวคุณ กำลังฟังอยู่ พยักหน้าด้วย
1
....การแจ้งข่าวร้ายหรือพูดเรื่องลบ/จุดด้อยที่ต้องแก้ไข ให้พูดเรื่องที่เค้าทำได้ดีก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องที่ต้องการตักเตือน เพื่อป้องกันการหูดับ/การต่อต้าน
A: Yes....But... เรื่องดี....เรื่องไม่ดี...พยายามดีมาก แต่มาสายบ่อยช่วยรักษาเวลาด้วย
B: Yes....and....เรื่องดี...เรื่องดี ...พยายามดีมาก ถ้ารักษาเวลาด้วยจะดีมาก
C: Yes...How......ใช้การตั้งตำถามเพื่อให้คิด เจ้าตัวจะรู้สึกเอง ....พยายามดีมาก...มากช่วยกันคิดทำไงให้ดีกว่านี้
1
3. การคุยสัพเพเหระ
....การทักทายเป็นประตูการสื่อการ
....การคุยสัพเพเหระ ...ทำให้ยอมรับตัวตนของอีกฝ่าย (Stroke = ทุกคนต้องการการยอมรับ) ต้องมีภาษากาย และ อายคอนแทร็กด้วย
....ทฤษฎีของไซแอนซ์ (Zajioc) การคุยไม่ได้อยู่ที่เนื้อหา แต่อยู่ที่จำนวนครั้ง ยิ่งบ่อย ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบ รวมถึงการเห็นภาพเราด้วย เช่น คุย5 นาที ทุกวัน ดีกว่าคุยเดือนละครั้งนาน 3 ชั่วโมง
1
4. การตั้งคำถาม
...ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง ..ทำให้สมองทำงาน และ รวบรวมข้อมูลที่จำเป็น เช่น การทำข้อสอบก่อนเรียน การถามตัวเองว่าต้องการอะไรจากการมาสัมมานาครั้งนี้ ต้องการเรียนรู้อะไรมากสุด ต้องการรู้อะไรจากหนังสือเล่มนี้มากสุด ซึ่งการถามก่อน ทำให้เรียนรู้และทำคะแนนได้สูงกว่า 10-20%
2
....ทำให้เราจดจ่อกับ keyword ที่เราต้องการได้ยิน จากข้อมูลจำนวนมาก (Cocktail party effect) สมองเราจะเลือกคำนั้น เช่น ชื่อตัวเราเอง
...ยังเป็นการไขข้อข้องใจ ทำให้ผู้พูดยินดีที่มีคนสนใจ ทำให้เข้าใจกัน ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น คนอื่นประเมินเราสูงขึ้น
....เทคนิคการตั้งคำถาม (ให้คิดว่าตนเองคือนักข่าว)
A: ฟัง..พลางคิดคำถามที่เราสงสัยหรือต้องการให้ขยายความด้วย สัก 3 ข้อ
B: ตั้งคำถามที่ต้องการให้อีกฝ่ายดีใจ เช่น สิ่งที่เค้าอยากพูด / ยังพูดไม่ละเอียดพอ
C: ตั้งคำถามที่คนอื่นสงสัยเหมือนกัน
D: คำถามที่เจาะลึก ต้องการเข้าใจมากขึ้น อาจเป็นคำถามนอกประเด็น
1
5. Give & Give
....การที่เราช่วยเหลือ/ ทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นประจำ ทำให้อีกฝ่ายต้องการตอบแทนน้ำใจนั้น
....เราต้องฝึกปฎิเสธสิ่งที่เราไม่อยากทำจริงๆ อย่าเกรงใจ (จะถูกมองว่าเป็นคนที่เรียกใช้ง่าย) รู้สึกไม่ดี หรือคิดว่ามีผลต่อหน้าที่การงาน เพราะทำให้ไม่มีความสุข ไม่มีแรงเหลือที่จะทำสิ่งที่ต้องการจริงๆ เสียเวลาทำงานที่ไม่เกี่ยวข้อง
....เคล็ดลับคือ ปฎิเสธโดยไม่ลังเล โดยดูจากลำดับความสำคัญของชีวิตเรา อย่าใจอ่อนกับคำว่าแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว มีกฎของเรา ที่สอดคล้องกับเป้าหมายเรา ให้ความสำคัญของกฎของเรามากกว่าความสะดวกของคนอื่น...อาจใช้รูปแบบ..ขอโทษ..เหตุผล..ปฎิเสธ...ข้อเสนอ
1
6. เสนอความคิดเห็น / การถกเถียง ทำให้เราเข้าใจแบบเจาะลึก
....ความตื่นเต้น อาจเกิดจากความกลัว แต่หากไม่เครียดเกิน ทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น มีสมาธิ ตัดสินใจได้ดี และ รู้สึกสนุก
....วิธีพัฒนาทักษะการเสนอความคิดเห็น
A: ฝึกการถกเถียง ...ช่วงแรกอาจมีอารณ์ขุ่นมัว ให้ฝึกบ่อยๆ จะเก่งขึ้น อาจฝึกที่ไม่เกี่ยวกับงาน
B: ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาปน เป็นวิธีที่ผิด
C: จินตนาการภาพในประเด็นที่พูด เตรียมเอกสารและ ข้อมูลให้พร้อม
D: รวมรวมคำถาม คำตอบให้พร้อม เพื่อเตรียมตอบข้อโต้แย้ง ใช้กฎ 10-30-100
คำถาม 10 ข้อ ครอบคลุมเนื้อหา 70%
คำถาม 30 ข้อ ครอบคลุมเนื้อหา 90%
คำถาม 100 ข้อ ครอบคลุมเนื้อหา 100%
E: แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก (มีพลังมากสุด)
1
7. ปรึกษาคนอื่น
....เราควบคุมความเครียดได้โดยการปรึกษา ทำให้เห็นทางออก และ แนวทางแก้ปัญหา ที่เราควมคุมได้ ...แม้บางทีอาจช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็คลายกังวลได้
เหมือน การทดลอง เรื่องหนูที่รู้ว่า เหยียบปุ่มไหนกระแสไฟฟ้าถึงหยุด จะไม่เครียดเท่ากับหนูที่ไม่รู้ว่าจะควบคุมตรงไหน ชีวิตขึ้นกับโชคชะตาหรืออยู่ในมือคนอื่น
....ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 8 ประเภท ....เราควรให้เวลาสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนแท้..คนที่ปรึกษา/ปลอบประโลมเราได้มากสุด
1
8. ชื่นชม / ดุว่า
....ชมเป็นสิ่งที่ควรทำ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว รู้สึกสนุก กระตุ้น มีกำลังใจ นำไปสู่การพัฒนาตนเอง
...วิธีการชมให้เกิดการพัฒนา
A: ชมในการกระทำที่ต้องการเน้น จะเกิดการทำซ้ำ
B: ชมอย่างเป็นรูปธรรมและเจาะจง พูดถึงรายละเอียดการทำที่ต้องการเน้นให้เห็นภาพว่าดีตรงจุดไหน เช่น ลูกค้าเซ็นสัญญาเพราะว่าไม่ย่อท้อที่จะแก้ปัญหาให้ลูกค้าพอใจ พยายามได้เยี่ยมมาก
C: ตอบสนองความต้องการความเคารพนับถือ ตามลำดับของมาสโลว์ ทำให้มีแรงบันดาลใจ เน้นย้ำถึงผลดีต่อคนอื่น/องค์กร เช่น ได้ทำสัญญากับลูกค้ารายใหญ่ ประธานได้ยินต้องดีใจมาก
D: เขียนคำชมเชย ไม่ใช่แค่พูด จะมีประสิทธิภาพมาก ..เกิดความสนิทสนม รู้สึกดีที่คนอื่นยอมรับ สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในที่ทำงาน
1
....ดุว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ...ไม่ใช้อารมณ์ ชี้ประเด็นที่ต้องการให้ปรับปรุง / ถามคำถาม (คนส่วนใหญ่อยากให้เตือน) แต่ต้องมีความเชื่อใจกัน ดุด้วยความรักแบบพ่อแม่ที่ต้องการให้อีกฝ่ายดีขึ้น และ คนถูกดุก็ต้องมีความเคารพนับถือ(ไม่ใช้กำลังบังคับ)
9. ขอโทษ
...ไม่ได้แปลว่าแพ้ / ลดคุณค่าในตัวเอง ...ยิ่งทำให้ได้รับการประเมินสูง เป็นการยอมรับความผิดพลาด ทำให้แก้ปัญหา และ พัฒนา
1
10. การอธิบาย
....เป็นการเปลี่ยนการจำความหมาย (จำยาก ลืมง่าย) เป็นการจำเหตุการณ์ /ประสบการณ์แทน (จำง่าย ลืมยาก)
....7 วิธีอธิบายได้เก่ง
A: พูดเสียงดังฟังชัด ...เป็นการสื่อโดยไม่ใช้คำพูดสู่ผู้ฟัง
B: พูดอย่างฉะฉานด้วยความมั่นใจ คนฟังจะมั่นใจ
C: เริ่มพูดจาก ประเด็นสำคัญ / ข้อสรุปก่อน แล้วค่อยพูดเหตุผล
D: พูดให้สั้น / กระชับ
E:ยกตัวอย่างประกอบ ..มีรายละเอียด นึกภาพตามง่าย ยกตัวอย่างจากสิ่งที่คุ้นเคย
F: ใช้ข้อมูลอ้างอิง ..เพิ่มความน่าเชื่อถือ
G: ใช้ตัวเลขอ้างอิง เช่น 87% ใช้ได้ผลดี ..ดีกว่าพูดว่า ใช้ได้ผลดีมาก
2
11. เผยความรู้สึกในใจ
....เช่น ความลับ จุดอ่อน ข้อเสีย จะทำให้ยิ่งสนิท (ทฤษฎีการเปิดเผยตัวเอง Self-disclosure theory) ทำให้รู้จักอีกฝ่ายมากขึ้น เชื่อใจกันมากขึ้น อีกฝ่ายยิ่งชอบเรามากขึ้น แต่ต้องขึ้นกับการเปืดใจของอีกฝ่ายด้วย แล้วอีกฝ่ายก็จะเปิดเผยตัวเองกลับ
12. การแนะนำตัว
...ให้เตรียมการแนะนำตัวไว้ 10 วิ = 200 ตัวอักษร 60 วิ =400 ตัวอักษร
A: พูดให้ทุกคนเข้าใจ ..รู้ว่าเราทำงานอะไร
B: พูดถึงประเด็นที่แตกต่างจากคนอื่น โดยพูดจุดเด่น จุดที่แปลกออกไป ข้อดี สิ่งที่ถนัด เพื่อให้คนจำเราได้
C: พูดถึงตัวเลข ..เช่น ..ชอบดูหนัง ปีละ 100เรื่อง แทน พูดว่า ชอบดูหนังมาก
D: พูดถึงวิสัยทัศน์ / ภารกิจ / เป้าหมาย ...สิ่งที่ตัวเองอยากทำ / แนวคิด / การปฎิบัติตัว
E: ใส่ใจกิริยา ท่าทาง บุคลิก...ไม่ใช่พูดอะไร แต่จะพูดอย่างไร ..มองคู่สนทนา..ยิ้ม..เสียงดัง
F: ใส่ความเป็นตัวเองลงไป คำนึงว่าอยากให้คนอื่นมองเราอย่างไร
1
13. การขาย
....คือ การสื่อคุณค่า ความยอดเยี่ยม เสน่ห์ ของสินค้านั้น ...ลูกค้าจะอยากซื้อของที่มีคุณค่า ไม่ใช่ให้ช่วยซื้อ ...แนะนำคุณประโยชน์ ว่าซื้อแล้วได้ประโยชน์อะไรบ้าง แก้ปัญหาอะไรให้เค้าได้
...สูตรการขาย ..คือ คุณค่า มากกว่า ราคา (คุณภาพแบบนี้ ที่อื่นไม่ใช่ราคานี้)
...มีจุดเด่นอะไร ..มีวิธีทำได้จริง..มีภาพประกอบ..ทำตามได้ง่าย
1
14. การขอบคุณ
....เป็นคำพูดที่มีเวทมนต์ให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี รู้สึกบวกทำให้สุขภาพดี เกิดการหลั่งสารเคมีในสมอง4ชนิด คือ โดพามีน เซโรโทนิน ออกซิโทซิน เอนดอร์ฟิน ...ฝึกสมองได้ดีที่สุด ..เพิ่มภูมิคุ้มกัน..ความสัมพันธ์ดี ..การสื่อสารลึกซึ้ง ..อายุยืนขึ้นเฉลี่ย 9.4ปี
1
15. ใช้โทรศัพท์
A: เมื่อมีเหตุเร่งด่วน จำเป็น ต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้
B: ระวังรบกวนการทำงานของอีกฝ่าย (การทำสมาธิใหม่ ใช้เวลามากกว่า 5 นาที) ให้โทรหลังเค้าเล่นโซเชี่ยว หรือ ช่วงพัก
C: สื่ออารมณ์ให้อีกฝ่ายรู้มากกว่า
D: เรื่องเข้าใจยาก ซับซ้อน โทรคุยง่ายกว่าตอบเมลล์
E: ข้อเสียคือไม่มีหลักฐานเหมือนข้อความ เพราะฉะนั้นคุยเสร็จ ให้ส่งข้อความไปยืนยันอีกครั้ง
F: ดูด้วยว่าอีกฝ่ายชอบคุยหรือไม่ ปกติเค้าติดต่อมาทางไหน
1
Output โดยการเขียน
1. เขียน
....สร้างความจำ..พัฒนาตนเองได้ดีกว่าพูด เพราะกระตุ้นระบบตื่นตัวเรติคิวลาร์ (RAS : Reticular Activating system ) โครงข่ายประสาท ที่เหมือนเสริ์จเอนจิ้นในสมอง ทำให้มีสมาธิและเก็บข้อมูลเต็มที่ ...สิ่งไหนที่เราคิดว่า สำคัญมาก อยากให้จำได้ อยากให้รู้มากกว่านี้ ต้องเขียนออกมา
A: การเขียนด้วยมือ มีผลการเรียนดีกว่า จำได้นานกว่า เกิดไอเดียใหม่มากกว่า เพราะ สมองส่วนโบรคา (Broca's area) ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาทำงานเฉพาะตอนที่เขียนเท่านั้น
2
B: เขียนแทรกระหว่างที่อ่าน ..เขียน เรื่องที่รู้สึกค้นพบ ..อ่อแบบนี้นี่เอง เพิ่งรู้นะ ข้อมูลนี้สุดยอด ทันที
1
C: เขียนออกมาที่คิดได้ เช่น บทพูด ความรู้สึกตนเอง ความคิด ไอเดีย การตีความ ฉาก/บทประทับใจ เป็นการทำรายการส่ิงที่อยู่ในสมอง หรือ ประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น ไปเที่ยว..ไม่งั้นผ่านไปก็ลืม (เป็น การ copy paste สิ่งที่อยู่ในสมองออกมา)
1
D: เขียนรายการที่คิดจะทำ ไอเดีย การค้นพบต่างๆ ลงกระดาษให้หมด เพื่อเคลียร์ถาดในสมองให้ว่าง ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ..สมองเราจัดการเรื่องได้เต็มที่ 3 เรื่อง หากไม่เขียนออกมาจะลนลาน
1
E: เขียนบทความลงโซเชี่ยว อยากเขียนบทความให้เก่ง ไม่มีวิธีอื่น นอกจาก อ่านให้เยอะ เขียนให้เยอะ
....การทำ Feedback คือ ดูยอดLike comment จำนวนการเข้าชม ..ต้องถูกวิจารณ์จะดีขึ้น
...ควรอ่านหนังสือ ที่สอนเทคนิคการเขียนสักเล่ม เพื่อมีความรู้พื้นฐาน ไม่ใช่เขียนตามใจ
1
....เทคนิคการเขียนให้เร็ว
ก. กำหนดเวลาในการเขียนให้ชัดเจน แรกๆจะยาก ฝึกฝนสมองจะเขียนได้ดี
ข. ร่างเนื้อหา แล้วค่อยเขียน ไม่คิดไปเขียนไป จะเขียนเร็วขึ้น 3-4 เท่า เป็นพิมพ์เขียว
1
....เทคนิคการพิมพ์ให้เร็ว (ทักษะสำคัญของนักธุรกิจ)
ก. พิมพ์ด้วยสภาพแวดล้อมเดิมเสมอ..ด้วยคอมเดิม แป้นเดิม เมาส์เดิม
ข. พิมพ์ด้วย ภาษาของ google (www.google.co.th/inputtools) เพราะ มีคำศัพท์อัตโนมัติ มีอัพเดทคำศัพท์ใหม่ที่นิยม จำคำศัพท์ที่เคยพิมพ์
ค. ใช้ text replacement กับข้อความที่ใช้3 ครั้งขึ้นไป/วัน
ง. ใช้ shortcut keyเช่น Ctrl+C
จ. ฝึกพิมพ์โดยไม่มองแป้นพิมพ์
ฉ.ใช้การพิมพ์ด้วยเสียง
1
2. วาดรูปเล่น
....ทำให้ความจำดีขึ้น 29% ช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ เพราะคนเราจะจำเรื่องที่สนุกมากๆ เศร้ามากๆ แม้ผ่านไปเป็นสิบปี
....เฮนรี่ฟอร์ด สตีฟจ๊อบ ใช้การวาดรูปเล่นเป็นจุดเริ่มต้นความคิดสร้างสรรค์
1
3. เขียน Todo list
....2-3 ชั่วโมง หลังตื่นนอน คือเวลาทองของสมอง ให้ใช้เขียน Todolist เป็นงานที่สำคัญที่สุดของวัน
A: มองเห็นภาพการทำงานทั้งวัน เป็น Image-training = ภาพความสำเร็จ เป็นพิมพ์เขียวใน 1 วัน มีแผนงาน ไม่ลืมงานสำคัญ
B: ไม่เสียสมาธิ ไม่ต้องคิดว่าจะทำอะไรต่อ
C: ลดความผิดพลาดในงานซ้อน / ลืมเส้นตาย (การอาศัยความจำเพียงอย่างเดียวเป็นสาเหตุของความผิดพลาด)
D: เพิ่มปริมาณ Working memory สมองจำได้แค่ 3 อย่าง...เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน (ไม่งั้นคิดแต่ว่าโน่นก็ต้องทำ นี่ก็ต้องทำ) เขียนทุกอย่าง ...งานที่ต้องทำ งานที่ค้างอยู่
1
....กฎการเขียน Todolist
ก. เขียน/พิมพ์ใส่กระดาษ ...ห้ามใส่ในมือถือ เพราะเป็นศูนย์รวมสิ่งรบกวน
ข. วางไว้บนโต๊ะให้เห็นทันที
ค. เมื่อทำเสร็จให้ขีดฆ่า ..รู้สึกถึงความสำเร็จ เกิดพลังในการทำต่อไป
1
4. เขียนโน๊ตเมื่อเกิดไอเดีย / ค้นพบ ภายใน 30 วินาที (อาฮ้าโมเม้นต์)
....เป็นการเรียนรู้โดยฉับพลัน ต้องรีบจด ทำให้เส้นทางในสมองใหญ่ขึ้น
1
5. การเหม่อลอย
....มีสมองใกล้เคียงกับการคิดไอเดีย สถานที่ 4 แห่ง ทำให้เกิดไอเดียง่าย คือ ห้องน้ำ รถ เตียงนอน บาร์ เพราะทำให้เราผ่อนคลาย ..สมองจะคิดถึงความทรงจำ เรียบเรียง จัดหมวดหมู่ วิเคราะห์ เป็นเวลาสำคัญมาก สมองใช้พลังงานมากกว่าปกติ 15 เท่า = DMN : Default mode network
1
....ควรให้เวลาตัวเองในการเหม่อลอย ตั้งสมาธิ ใช้ความคิด ความจำ ความคิดสร้างสรรค์ ป้องกันสมองแก่ (ปัจจุบัน มีสิ่งฆ่าเวลาเยอะ ทั้ง มือถือ ทีวี เกม ทำให้สมองไม่มีเวลาประมวลผล)
6. สร้างไอเดีย
....4 ขั้นตอน
ก. เตรียมการ...อ่านให้มาก..เขียน ..ระดมสมอง ..ต่อสู้กับปัญหา / ประเด็นตรงหน้า
ข. การฟักไข่ (Incubation) หยุดพักสมองไม่ต้องคิดอะไร
ค. เกิดอาฮ้าโมเม้นต์
ง. ตรวจสอบว่าไอเดียโอเคไหม
1
....การเขียนไอเดียด้วยการด์ข้อมูล ขนาด 12.5 x 7.5 Cm. ..ไอเดียจะผุดอย่างกับน้ำพุ
A: เขียนออกมากก่อน 1ไอเดีย 1การ์ด เขียนkeyword สัก 30 แผ่น
B: สร้างความเชื่อมโยง ...ใช้สถานที่ 4B สร้างไอเดีย ..เขียนเนื้อหา ความคิดทุกอย่างออกมา..เอาปริมาณมากกว่า คุณภาพ
C: เขียนจนคิดไม่ออก สัก 100 แผ่น (พอต่อการเขียนหนังสือหนึ่งเล่ม)
D: จัดหมวดหมู่ ให้ลงตัว หากไม่ลงตัว อาจมีหมวดหมูใหม่
E: รวมรวมไอเดีย และ องค์ประกอบ
1
7. จดโน๊ต
....หาวิธีที่เหมาะกับตัวเองที่สุด ไม่มีอะไรผิด/ถูก แต่ที่ผู้เขียนทำคือ
A: รวบรวมทุกอย่างในสมุดเล่มเดียว ทั้งงานสัมมนา ประชุม คุยงาน ความเห็นในการดูหนัง
B: หาสมุดที่ตนเองชอบ ...ทบทวน3 ครั้ง ใน2 สัปดาห์
C: จดบันทึกลงในหน้าคู่ (ไม่ต้องพลิกหน้ากระดาษ เห็นภาพรวม)
D: อย่าจดในเอกสารที่แจก จะหายากและใช้เวลานาน
E: อย่าจดละเอียดเกิน
F: เขียนสิ่งที่ค้นพบ 3 เรื่อง...ค้นพบ อาฮ้าโมเมนต์ เรียนรู้ คิดได้
G: เขียน Todo 3 ข้อ ...คิดจะเอาไปทำอะไร
1
8. ทำ Presentation Slide (ทำเมื่อรวบรวมไอเดียได้แล้ว)
....โดยเขียนไอเดียคร่าวๆ มองภาพกว้างๆ (หาไม่ได้ให้เริ่มจากการ์ดข้อมูล)
....เขียนโครงสร้างโดยใช้ Outline เหมือนพิมพ์เขียว
....ทำสไลด์ 1 พูด 1 นาที
1
9. เขียนบนไวท์บอร์ด (เป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดในการระดมความคิด)
....ทำให้ทุกคนมีสมาธิจดจ่อ เพราะได้เขียนลงไป มีส่วนร่วม มีการแสดงความเห็น
1
10. การอ้างอิงข้อมูล
....เพิ่มความน่าเชื่อถือ ไว้วางใจ (ปกติผู้เขียนเขียนหนังสือ 1 เล่ม จะอ้างอิงหนังสือ ราว 30 เล่มเสมอ)
ก. เขียนที่มาของข้อมูลให้ชัดเจน
ข. ใช้ชื่อเสียงของแหล่งอ้างอิงให้เป็นประโยชน์ เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ไม่ใช่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ค. กำกับตัวเลขให้ชัดเจน ไม่ใช่ตัวเลขคร่าวๆ
ง. รวบรวมแหล่งข้อมูลอ้างอิงเก็บไว้เสมอ เวลาจะให้จะไม่เสียเวลาหา
1
....เครื่องมือค้นหาวิทยานิพนธ์ / เอกสารอ้างอิง
ก. google scholar วิทยานิพนธ์ วารสารวิชาการ สิ่งพิมพ์
ข. google books หนังสือ / ตำรา
ค. pubmed ฐานข้อมูลวรรณกรรมการแพทย์โดยหอสมุดแห่งชาติอเมริกา (National library of medicine) วิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการแพทย์
11. การสรุปความ
....ให้ได้ 140 ตัวอักสร ฝึกได้ใน Twitter ฝึกเขียนสรุปเนื้อหา ความคิดเห็น ใน 5 นาที เป็นการฝึกทักษะ ความเข้าใจ ใช้ความคิด ฝึกสมอง
1
12. ตั้งเป้าหมายที่สำเร็จได้
....(แตกต่างจากเป้าหมายที่สำเร็จไม่ได้)
ก. ตั้งระดับความยากที่ยากเล็กๆ เป้าหมายที่สูงเกิน ไม่ทำให้โดพามีนหลั่งออกมาก ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจ
ข. กำหนดเวลา..ต่อสู้ในระยะเวลาสั้นๆ
ค. ทำให้เป็น Todo สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จในครั้งเดียว เช่น ไม่กินหลัง3ทุ่ม
ง. ประเมินผลได้จากมุมมองคนอื่นว่าทำสำเร็จไหม
จ. แบ่งเป็นเป้าหมายย่อย ..หากไม่สำเร็จ หาสาเหตุ วิธีปรับปรุงให้ดีขึ้น เคลียร์ไปทีละอัน
1
....เคล็ดลับการตั้งเป้าหมายให้เป็นจริง...ทำให้มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น
ก. มองย้อนดูเป้าหมายเราทุกวัน ดูว่ากระเตื้องขึ้นไหม เป็นการบันทึกเป้าหมายในระบบ RAS ทำให้สมองค้นหาข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำเป้าหมายมากขึ้น
ข. บอกเป้าหมายให้คนอื่นรับรู้ วาดภาพเป้าหมายไว้ในหัวแล้วบอกคนอื่น เป็นการทำ public Commitment รู้สึกตื่นเต้น ช่วยผลักดันให้ลงมือทำ
ค. ทำfeedback ประจำ ..ประเมินผลเสมอ ..ไม่สำเร็จให้คิดถึงสาเหตุแล้วแก้ไข
1
13. การเขียนใบเสนองาน
ก. เริ่มจากเขียนมือ ไปสู่คอม (การ์ด สมุด กระดาษ ไวท์บอร์ด) มีไอเดีย 70-80% แล้วค่อยพิมพ์
ข. เขียนใบเสนอแผนงานอยู่เสมอ ..หากนึกไอเดียออกให้เขียน Concept ออกมากันลืม เก็บไว้ 1-2 เดือน มาอ่านใหม่ว่ายังน่าสนใจอยู่ไหม
ค. รวบรวมข้อมูลอยู่เสมอ (ประมาณ1ปี) เพื่อเขียนแผนงานใหม่ ทั้งจากข่าว หนังสือพิมพ์ บล็อก
ง. การทำการตลาดเล็กๆ ..เพื่อเป็นหลักฐานว่าสิ่งที่เรากำลังทำเป็นที่น่าสนใจ เช่นโพสงานในบล็อกเพื่อดูยอดวิว
1
14. วาดภาพ / แผนผัง
....แทนการอธิบายด้วยคำพูด ช่วยจำได้ 65% หลังจาก 72 ชั่วโมง...มากกว่าอธิบายด้วยคำพูด 6เท่า และ จำรายละเอียดได้มากกว่า90% = ปรากฎการณ์ความเหนือกว่าของภาพ (picture superiority effect) เป็นการประมวลผลทันทีโดยไม่ต้องแปล ทำความเข้าใจ ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1
15. การใช้ eMail อย่างชาญฉลาด
....ตอบให้เสร็จใน 5 นาที โดย เข้าวันละ 1 ครั้ง เมื่อเปิดแล้วให้ตอบเลย หากต้องหาข้อมูลก่อนให้ส่งไปบอกว่าจะตอบกลับได้วันไหน การตอบอีเมลล์ไม่ต้องใช้สมาธิ ทำตอนพักได้
1
16. การทำแบบฝึกหัด
...เป็นการใช้ความรู้ input3 : output7 ทำให้จำได้
1
Output ด้วยการลงมือทำ
1
....การไม่ทำเป็นการสร้างความพึงพอใจให้ตัวเอง ว่าเราฉลาดขึ้น ไม่ลงมือทำไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ ..การกระทำในวันนี้ต้องเปลี่ยนจากเมื่อวาน
1. ทำอย่างต่อเนื่อง (กฎเหล็กในการสร้างผลลัพธ์ความสำเร็จ)
ก. คิดว่าจะทำแค่วันนี้ ตอนที่ไม่มีอารมณ์ทำ (ยิ่งคิดถึงเรื่องข้างหน้า เป็นการเหยียบเบรคการทำอย่างต่อเนื่อง)
ข. สนุกไปกับการลงมือทำ..หาความสนุกให้เจอ
ค. แบ่งออกเป็นเป้าหมายย่อย
ง. บันทึกผลการทำงานทุกวัน ทำให้อยากทำต่อ
จ. ให้รางวัลเมื่อทำสำเร็จ ..เพิ่มเชื้อเพลิงแห่งแรงบันดาลใจคือโดพามีน
2. การสอน เป็น Output ที่ดีที่สุด
....เพราะต้องเข้าใจ...ต้องจำได้..ต้องรู้ว่าเราขาดตกบกพร่องตรงไหน
ก. สอนแบบส่วนตัว / กันกันเองในกลุ่มเพื่อน ...ยิ่งสอนยิ่งเชี่ยวชาญ ..ยิ่งพัฒนาในเรื่องนั้น ..ยิ่งมีความสามารถเหนือคนอื่น
ข. รับหน้าที่บรรยาย ...ยิ่งไม่เก่ง ยิ่งควรรับ ..ได้เรียบเรียบความรู้ เพิ่มเติมส่วนที่บกพร่อง
ค. เข้าร่วมกิจกรรม / การเรียน การสอน / ค้นคว้า
ง. เป็นผู้บรรยายมืออาชีพ (รับเงินจากการสอน) คนสอนจะได้พัฒนาตนเองมากสุด
3. จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
....เพราะสมองมนุษย์ทำงานแบบ Multitask ไม่ได้ (สมองเราจำได้มากกว่า WIkipedia 17 เท่า) แต่การประมวลผลได้แค่ 3 อย่าง มากกว่านี้เครื่องค้าง ประสิทธิภาพลดลง 80-95% ผิดพลาดมากขึ้น 50% ต้องทำงานนานขึ้น 50% เพราะฉะนั้น ควรทำอะไรอย่างเดียว
1
4. ทำสิ่งที่ท้าทายตัวเอง
....เริ่มจากพื้นที่เรียนรู้ เป้าหมายเล็กๆที่คิดว่าน่าจะทำได้ ยากพอดีๆ เหมือนเล่นเกม ผ่านด่านง่ายก็น่าเบื่อยากไปก็ไม่สนุก
....หากรู้สึกกลัว กังวล อยากเลิกทำ อยากหนีให้ไกล แสดงว่า เข้าพื้นที่อันตรายแล้ว ให้ลดเป้าหมายลง ทำได้แล้วค่อยๆเพิ่มทีละนิด
1
5. ลงมือทำไปก่อน
...สัก 5 นาที เดี๋ยวความตั้งใจมาเอง เหมือนการอุ่นเครื่อง ..เซลล์ปราสาท Nucleus accumbens เป็นสวิตซ์ความตั้งใจ ต้องใช้เวลาในการเปิด 5 นาที อย่ารอให้มีความตั้งใจก่อนแล้วค่อยทำจะไม่ได้ทำ
6. ลองทำเลย
....ไม่ต้องกลัวความล้มเหลว หากมีข้อผิดพลาดก็หาทางป้องกัน หาสาเหตุ เรียนรู้ แก้ไข ทำซ้ำๆ ผ่านได้เอง ให้ทำให้มากพอ
7. สนุกกับมัน
...เก่งหรือไม่เก่ง ขึ้นกับว่าชอบ/ไม่ชอบ ไม่เกี่ยวกับหัวดีหรือไม่
...หากรู้สึกสนุกจะจำ แรงบันดาลใจเพิ่มขึ้น สมองเหยียบคันเร่ง หาความสนุกให้เจอ
...หาดฃกฝืนทน จะเหยียบเบรค
1
8. ตัดสินใจทันที ใน5 วินาที
....(ทฤษฎี First chess) การตัดสินใจแรก ตรงกันกับการตัดสินใจที่ผ่านการคิด30 นาที ตรงกันถึง 86% โดยเลือดอันที่เราตื่นเต้น กับเลือกความรู้สึกแรกที่คิดได้ก่อน เพราะมาจากสัญชาติญาณ (เสียงจากใจ)
9. ล้างพิษด้วยการพูด / เขียน
....เมื่อเหนื่อย / อึดอัด จะทำให้รู้สึกความเครียด ความเจ็บปวดลดลง เช่น การเขียนไดอารี่ การเขียนระบาย
1
10. พยายามทำให้เสร็จก่อนที่ 30 คะแนน
...ไม่ต้องทำให้เพอร์เฟคแต่แรก เริ่มทำก่อน แล้วค่อยมาปรับปรุงให้เป็น 100 คะแนน
1
11. เป็นผู้นำ
....การเอ่ยถึงวิสัยทัศน์ ภาพในอุดมคติ ความฝัน ...ทำให้คนมีความรู้สึกร่วมมากกว่าการประกาศเป้าหมาย เป็นการเสริมให้ผู้ตามมีกำลังใจ อยากทำตาม ดีกว่าบังคับให้ทำ โดยวิสัยทัศน์ที่เด่น คือ ทำเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อสังคม
1
12. แสดงความรู้สึกออกมา
....ยิ้ม
..เป็นการฝึกสมอง และคลายเครียดมากสุด
ก. สร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยการทำงานของ NK (Natural killer cell) เพิ่มความเข้มข้นของเอ็นโดฟิน
ข. ลดคอร์ติซอล เพิ่มเซโรโทนิน
ค. บรรเทาความเจ็บปวด เมื่อยิ้มหัวเราะนาน 10 นาที ได้ถึง 10%
ง. บรรเทาอาการป่วย เช้น ลดความดัน ส่งผลดีต่อหัวใจ ลดท้องผูก ลดการเพิ่มน้ำตาลในเลือด
จ.ทำให้ความจำดีขึ้น เพิ่มคลื่นสมองอัลฟ่า
ฉ. ทำให้มีความสุข เพิ่มสารโดพามีน และ เอ็นโดฟิน
ช. ทำให้เกิดความคิดแง่บวก
ซ. ทำให้อายุยืนกว่าคนไม่ยิ้ม 7 ปี
1
...ร้องไห้
...ตรงข้ามกับการยิ้ม ..เป็นการคลายเครียด ระบบปราสาทพาราซิมพาเทติก (ผ่อนคลาย) ทำงานเหนือกว่า ระบบซิมพาเทติก (ตื่นเกร็ง) (Sympathetic nervouse system : SNS)
....ขับ ฮอร์โมนความเครียดจากคอร์ติซอล ACTH (Adrenocorticotropic)
....การร้องไห้ขณะดูหนัง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น เป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง
...รวบรวมรายชื่อหนังที่ทำให้เราร้องไห้
...ควบคุมอารมณ์โกรธ
....มีความเสี่ยงหัวใจวายเพิ่มขึ้น 4.7เท่า ..ควบคุมโดย หายใจเข้าลึกๆ 30 วินาที จะผ่านจุดโกรธสูงสุดได้
1
13. การนอน
...นอนไม่พอสมาธิลดลง (การนอนแค่ 6ชั่วโมง ไม่ต่างจากการทำงานข้ามคืน)
....จำนาก ขัดขวางศักยภาพ เสี่ยงต่อมะเร็ง 6 เท่า โรคหลอดเลือดในสมอง 4 เท่า กล้ามเนื้อหัวใจตาย 3 เท่า เพิ่มอัตราการเสียชีวิต 5.6 เท่า มีผลร้ายมากกว่าการสูบบุหรี่อีก
14. การออกกำลังกาย
....สมองสร้างเซลล์ประสาทใหม่ขึ้นทุกวัน โดย BDNF (Brain derived Neuretrophic factor) โปรตีนที่เป็นอาหารของสมองถูกหลั่งตอนที่ออกกำลังกายเท่านั้น
...ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ 1 ชั่วโมง 2 ครั้ง/สัปดาห์
...ลดคอร์ติซอล
15. จัดการกับความเสี่ยง
....เพื่อความคุมความปลอดภัย ลดเหตุการณ์ก่อให้เกิดความเสี่ยง = ลดอุบัติเหตุ
....ทฤษฎีของไฮนริช์ คือ เหตุการณ์เฉียด
300: อุบัติเหตุย่อย29: อุบัติเหตุใหญ่1 (300:29:1)
16. บริหารเวลา
ก. ทำoutput 15 นาทีแบบจดจ่อ ดีกว่าทำ60 นาทีแบบขอไปที
ข. ใช้เวลาว่าให้เป็นประโยชน์ เช่น เวลารอคอย เวลาเดินทาง
ค. ใช้มือถือเป็นเครื่องมือในการทำ Output เช่น รีวิวหนังสือ รีวิวภาพยนต์ รีวิวสิ่งที่ได้พบจากการเรียน สัก3บรรทัด 3ประเด็น
1
....อย่าคิดว่าการทำOutput เสียเวลา ...พยายามทำOutput ของหนังสือที่อ่านอย่างเต็มที่ดีกว่าปริมาณInputเยอะ แต่จำไม่ได้
7วิธีเพิ่มทักษะในการทำOutput เพิ่มแบบก้าวกระโดด
1. เขียนบันทึกประจำวัน (ดี /ง่ายสุด)
ก. เพิ่มทักษะการเขียน
ข. เพิ่มความเข้าใจตนเอง พิจารณาตนเอง ความยืดหยุ่นทางจิตใจ ย้อนมองตัวเอง เห็นจุดอ่อนในตัวเอง
ค. เพิ่มทักษะในการค้นพบเรื่องที่เราสนุก ..วันนี้มีอะไรสนุกบ้าง
ง. ผ่อนคลายความเครียด ...แสดงอารมณ์ ปลดปล่อย
จ. มีความสุข เขียนสัก10 นาที
....วิธีเขียนโดยละเอียด
ก. เขียนเรื่องในเง่บวก ..เรื่องสนุก ทำให้ดีใจ วันละ3 เรื่อง ...จากหัวข้อ--> ข้อความสั้น --> ข้อความยาว
ข. เขียนทุกวัน ไม่เน้นคุณภาพและปริมาณ
ค. จำกัดเวลา 5 นาที
ง. เปลี่ยนเรื่องลบให้เป็นบวก เช่น โดนนายว่า ..หาสาเหตุ ..คิดวิธีแก้ไข ..เป็นการพิจารณาตนเอง เข้าใจตนเอง มองโลกแง่ดี
จ. เปลี่ยนจากส่วนตัวเป็นสาธารณะ ...เกิดความรู้สึกว่าต้องเขียนให้เก่งขึ้น (เขียนได้ทั้งเรื่องดีๆ เรื่องสนุก เรื่องที่กระตุ้นความรู้สึก เรื่องประทับใจ รีวิวหนังสือ ภาพยนตร์)
1
2. จดบันทึกเกี่ยวกับสุขภาพ ...วันละ 1 นาที
คือ น้ำหนัก ความรู้สึกในวันนั้น และ สาเหตุด้วย โดยการให้คะแนน ตั้งแต่ -5 0. +5 และ ชั่วโมงการนอน
3. เขียนรีวิวหนังสือ
....หากต้องการพัฒนาตนเองในด้านการทำธุรกิจมากสุด ให้เขียน Before After Todo ของหนังสือที่เราอ่าน เช่น เรามีปัญหา / กลุ้มใจอะไร หนังสือเล่มนี้แก้ปัญหาอะไรให้เราบ้าง
โดยแบ่งเป็นหัวข้อ ..โครงสร้าง 3 บรรทัด ...รายละเอียด ...ทำให้เสร็จภายใน 10 นาที
4. เผยแพร่ข้อมูล
....อาจมีคอมเม้นท์แย่ๆ แต่มีเรื่องดีๆมากกว่า 20 เท่า
ก. เห็นผลเรื่องของ Feeedback (นักกีฬาจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นกับการชี้แนะของโค๊ช)
ข. มีพัฒนาการในการเขียนบทความ สร้างOutput แบบก้าวกระโดด
ค. รู้สึกตื่นเต้น
ง. ได้รับข้อมูลมากขึ้น มีคนเข้าหา สังคมกว้างขึ้น
จ. ได้รับการประเมินในที่ทำงานสูงขึ้น เป็นที่รู้กันว่า มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ อ่านหนังสือเยอะ เขียนบทความเป็น
ฉ. ได้รับการติดต่อขอสัมภาษณ์ ออกรายการ ได้รับการเสนองาน
ช. สนุก
1
5. เขียนลง Social Media
....เป็นที่รวมข้อมูล ความสัมพันธ์ของสังคม การมีส่วนร่วม เป็นห้องกระจกที่คนภายนอกเห็น มีพลังในการเผยแพร่ เป็นเครื่องมือในการสร้างแบรนด์ที่ดีที่สุด เป้าหมายคือการสร้างความน่าเชื่อถือ
....ก้าวแรก คือ เผยแพร่คนใกล้ตัว ข้อควรระวัง
ก. เราต้องจัดการดูแลข้อมูลส่วนตัวด้วยตัวเอง ตรงไหนไม่อยากให้คนรู้ก็ไม่ต้องเขียน
ข. ถึงจะเป็น SNS (Social Netword service) ที่เป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่ว่ามีการ Like Share คนที่ไม่รู้จักก็เข้ามาอ่านได้ เพราะฉะนั้น คิดก่อนโพสต์ คิดก่อนว่าโพสต์อะไรแล้วไม่ขายหน้า
ค. เปิดเผยชื่อ และ ใบหน้า จะมีผลต่อโลกความเป็นจริงได้มากกว่าการใช้นามแฝง
ง. สนุกกับการมีปฎิสัมพันธ์
จ. โพสต์ทุกวัน เหมือนพูดทักทายว่า สวัสดี
1
6. เขียนบล็อก
....3 เคล็ดลับ ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการเขียนบล็อก ...เพื่อเป็นบล็อกเกอร์ชื่อดัง
ก. สร้างโดเมนของตัวเอง ...ต่อยอดได้ โฆษณาเองได้
ข. อัพเดตทุกวัน
ค. กฎ 100-300-1000 :
100= มีคนมาอ่านทุกวัน
300= มีคนค้นเจอ เข้าชมมากขึ้น
1000= อยู่หน้าแรกของ Search engine ทำให้มียอดชม หลายหมื่น/หลายแสน ใน1 เดือน (ใช้เวลาประมาณ 3 ปี)
1
....ยุค AI การเผยแพร่ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์เฉพาะตัว ความรู้คลั่งไคล้แบบโดตาคุ มีคุณค่ามาก
7. เขียนเกี่ยวกับงานอดิเรก
....ใช้ความรู้สึกที่เราชอบมาเขียนบทความขับเคลื่อนผู้คน
ก. เขียนเรื่องที่เราถนัด
ข. ยิ่งเป็นบทความแบบคลั่งไคล้ ยิ่งได้รับการตอบรับมาก ...ยิ่งขุดลึก คลั่งไคล้ แต่เจาะลึก โอตาคุมากยิ่งดี
ค. เขียนความรู้สึก ความคิดเห็น สิ่งที่ค้นพบ ..ให้เกิดความรู้สึกร่วม (คิดยังไงกับสิ่งนี้)
ง. ขับเคลื่อนอารมณ์ และ การกระทำของผู้อ่าน คือเงื่อนไขของบทความที่ดี (ชักชวนให้เกิดการกระทำ)
เพิ่มการพัฒนาตัวเองวันละนิด
เหมือนเติมวันละ 1 องศา
1 วัน อาจจะไม่มีอะไร
10 วันไม่มีความต่าง
แต่ 100 วันล่ะ 1000 วันล่ะ
จะเปลี่ยนแปลงไปโดยแทบไม่เห็นร่องรอยเดิม
มาพัฒนาวันละ 1 องศา เพื่อเติมเต็มวงล้อชีวิตให้สมบูรณ์ไปด้วยกัน...กับเพจ #องศาที่หายไป
👍🏻เลื่อนนิ้วโป้งกด Like กด Share ให้จูลสักนิด..เพื่อชีวิตที่มีกำลังใจให้จูลนะคะ..ขอบคุณค่ะ
1
⭐️ติดตามที่ Blockdit
❤️ติดตามที่ Youtube
🥰คุยกับจูลได้ใกล้ชิดมากขึ้น ที่Line ค่า (Add ไว้ จะได้ทราบข่าวสารอัพเดตค่า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา