Daphne ได้พบกับ Simon Basset (Regé-Jean Page) ซึ่งมีศักดิ์เป็นถึง Duke of Hastings และเป็นเพื่อนร่วมรุ่น Oxford ของพี่ชายของเธอ แล้วพบว่าความต้องการของทั้งสองมันเอื้อต่อกัน นั่นคือ Simon ไม่อยากแต่งงาน และอยากไล่สาว ๆ ที่มารุมตอมเขาออกไปไกล ๆ เขาจึงเสนอที่จะควงกับ Daphne ซึ่ง Daphne ก็จะได้ดูน่าหมายปองมากขึ้นในสายตาหนุ่ม ๆ เพราะคนทั้งลอนดอนจะสนใจว่าทำไมคนระดับ Duke ถึงสนใจผู้หญิงคนนี้ หลังจากนั้น พล็อตก็คงเดากันได้ไม่ยาก ไป ๆ มา ๆ รักหลอก ๆ ของสองคนนี้ก็กลายเป็นรักจริงที่ชวนปวดหัว
แต่ถึงแม้ซีซันนี้จะเป็นเน้นเรื่องของ Daphne แต่พี่น้องคนอื่นในตระกูล Bridgerton ก็ได้รับการเปิดตัวและเล่าเรื่องพื้นฐานตามความเหมาะสม โดยเฉพาะ Viscount Anthony ที่มีความสัมพันธ์ลับอันลึกซึ้งกับนักร้องโอเปร่า Siena Rosso (Sabrina Bartlett), Eloise (Claudia Jessie) สาวห้าวหัวขบถประจำบ้าน (อารมณ์คล้าย.Jo March ใน Little Women แต่เด็กกะโหลกกะลากว่า)
ในความพีเรียดและความน้ำเน่านั้น ซีรีส์ Bridgerton ยังมีการดัดแปลงให้ร่วมสมัยในหลาย ๆ อย่าง ตั้งแต่การใช้เพลงสมัยใหม่ เช่น เพลง Thank U, Next ของ Ariana Grande ในฉากงานเลี้ยงเต้นรำ และการปรับคาแรกเตอร์หลายตัวละครสำคัญ เช่น พระเอกที่เป็น Duke, Lady Danbury (Adjoa Andoh) แม่เลี้ยงของพระเอก, และราชินี เป็นคนผิวสี ซึ่งถ้าอิงตามประวัติศาสตร์ความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้เห็นคนผิวสีเป็นคนชั้นสูงระดับนี้ได้ แต่บทเขาปรับให้เป็นไปได้ โดยให้ King George III (ตามเรื่องเล่าก็คือ คนเดียวกับคนที่เป็น The Mad King) รักและแต่งงานกับหญิงสาวเชื้อสายแอฟริกันนั่นเอง