27 ม.ค. 2021 เวลา 07:36 • ความคิดเห็น
ฉะนั้น เมื่อเราทำให้วิญญาณทั้งหก แม่ทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้งห้า มาเป็นบุญเป็นบารมี จิตของเราจะไปอยู่ในสังขารของกรรมได้อย่างไร ก็อยู่ในสังขารที่เราต้องการให้เป็นสังขารบุญสังขารบารมีเกิดขึ้น นั้นคือ การปรารถนาที่จะรู้จัก คำว่า บุญ และ ทาน ให้เป็นบารมีให้แก่จิต
ต่อไปเราก็รู้จัก เรื่องราวอารมณ์ต่างๆ ที่จะไปรู้เรื่องราวถึงที่สุดนั้น จิตของเราต้องศึกษาเรื่องราวของกรรม กรรมเป็นตัวต้น ทำให้เราเกิดแก่เจ็บตาย หมุนเวียน อยู่เช่นนี้ ไม่รู้จักจบสิ้น ก็ต้องเกิดมามีตัวตนอยู่อย่างนี้
การสร้างจิตสร้างใจ โดยการสร้างบุญสร้างกุศล ด้วยกิริยากายที่นอบน้อม ถวายสิ่งที่เป็นวัตถุธาตุทั้งหลาย ให้เป็นเนื้อนาบุญในศาสนานั้น ก็ทำด้วยกิริยาที่งดงามเกิดขึ้น จิตของเราก็จะเป็นผู้ที่มีความงามในกายของตัวเราเอง มีความสง่างามเกิดขึ้น จิตนั้นๆ ก็มีจิตที่เป็นบุญเป็นทาน ด้วยความบริสุทธิ์เกิดขึ้นจากการกระทำ ที่มุ่นมั่นอยู่คำว่าบุญบารมี ที่จะเกิดขึ้นให้แก่จิตของเรา
จิตของเราสามารถที่จะกระทำสิ่งนี้ได้ เท่ากับว่า จิตของเราได้ เลือกที่จะอยู่ในสังขารที่เป็นบุญบารมี ในกาลต่อๆไป แม้แต่ชาติปัจจุบัน ที่ครองกายนี้อยู่ เมื่อกายใด..ทำเช่นนี้ได้ เท่ากับกายนั้น ต้องเป็นกายบุญ
กายบุญนั้น แม้แต่จะแก่เฒ่าชราก็แล้วแต่ ก็จะไม่มีเรื่องราวต่างๆ ที่ขุ่นข้อง หมองอยู่ในสังขารได้ เพราะบอกแล้วว่า ได้เริ่มให้จิตของอยู่ในกาย กายที่เป็นบุญ ก็ย่อม..กายบุญนั้นก็ย่อมไม่มีอันตราย ไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง หรือไม่ง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่เกิดเรื่องคำว่าต้องหลงลืม หูตาวิญญาณต่างๆนั้น ก็มีการตื่นตัวตลอดเวลา วิญญาณทั้งหก ก็ไม่บกพร่อง เพราะจิตอยู่ในเรือนกายที่เป็นบุญ นั้นคือ การที่ได้สร้างบุญไว้ในศาสนา
ถ้าทำบุญเพื่อหวัง ลาภยศสรรเสริญ สิ่งนั้น ตาหูจมูกบิ้นกายใจ วิญญาณทั้งหกของเรา ก็ต้องจมอยู่ในเรื่องมายาของกรรม ว่าสิ่งเหล่านั้น เราก็รู้ว่า เป็นกรรม เรารู้จัก..สิ่งนั้นหามาได้..เพื่อประทังสังขาร เพื่อจะนำกายนำจิตของเรามาสร้างเป็นบุญ เป็นบารมีให้แก่จิตของเรา ก็อยู่ที่จิต..ที่จะเลือกกระทำ
นั้นก็คือเรื่องราวของผู้ที่ตั้งอกตั้งใจสร้างบุญสร้างกุศล ยิ่งปรารถนา ยิ่งว่าทำบุญแล้ว จะขยายบุญนั่น ให้กับผู้ที่นอบน้อม ที่เราเคารพนอบน้อมคนนั้นคนนี้ หรือจะอุทิศให้กับผู้ที่เวรมีกรรมอยู่ขณะนี้ เราก็กระทำได้ นั้นเค้าเรียกว่า จิตไม่ยึดมายา จิตได้กระจายมายา ให้เป็นบุญเป็นบารมีให้ผู้อื่นมีความสุข แล้วเป็นการนอบน้อมในจิตของเราต่อผู้มีพระคุณ
เช่น คุณบิดามารดา ปู่ย่าตายายอะไรต่างๆ หรือ แม้แต่ผู้ที่เราได้ยินชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณอันสูงส่งให้แก่เรา เราก็น้อมถวายท่าน เป็นเรื่องราวที่จิตต้องกระทำด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ใช่จิตทำแล้ว เพื่อจะหวังสิ่งที่จะตอบแทนมา อยากได้เป็นผู้มีบุญ มีร่างกายที่เป็นบุญ มีสังขารที่แข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่มีความเดือดร้อนต่างๆ สิ่งที่เหล่านั้น อย่าไปปรารถนาเข้าว่า ไม่ต้องให้มี เค้าจะมีหรือไม่มี อยู่ที่จิตของเรา
เรากระทำของเราให้เป็นกายบุญตลอดเวลา กายบารมีอยู่ตลอดเวลา ก็เศษของกรรม ที่ไหนจะมาทักท้วง ให้จิตนั้นต้องไปอยู่ในสังขารของกรรมเล่า เราอยู่อย่างนี้ เราก็ทำของเราไป ไปเป็นนิจสิน ด้วยความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้น จิตก็จะได้สังขารที่..ที่เป็นสังขารบุญ สังขารที่จะสร้างบารมี ให้แก่จิตของเราต่อไป เกี่ยวข้องตั้งหลายอย่าง เกี่ยวข้องที่เราใช้อยู่ในขณะนี้ คือ วิญญาณทั้งหก ขันธ์ทั้งห้า แม่ทั้งสี่ ที่ประกอบเป็นธาตุ ให้เราอาศัยอยู่
ฉะนั้น เมื่อเราทำให้วิญญาณทั้งหก แม่ทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟ ขันธ์ทั้งห้า มาเป็นบุญเป็นบารมี จิตของเราจะไปอยู่ในสังขารของกรรมได้อย่างไร ก็อยู่ในสังขารที่เราต้องการให้เป็นสังขารบุญสังขารบารมีเกิดขึ้น นั้นคือ การปรารถนาที่จะรู้จัก คำว่า บุญ และ ทาน ให้เป็นบารมีให้แก่จิต
ต่อไปเราก็รู้จัก เรื่องราวอารมณ์ต่างๆ ที่จะไปรู้เรื่องราวถึงที่สุดนั้น จิตของเราต้องศึกษาเรื่องราวของกรรม กรรมเป็นตัวต้น ทำให้เราเกิดแก่เจ็บตาย หมุนเวียน อยู่เช่นนี้ ไม่รู้จักจบสิ้น ก็ต้องเกิดมามีตัวตนอยู่อย่างนี้
เกิดมา ก็บอกแล้วว่า เป็นกายมายา กายสมมุติ เกิดมาก็เป็นเด็ก เป็นเด็กแล้วก็โต โตแล้วก็แก่เฒ่าชรา เจ็บป่วยตาย เกิดมาใหม่ก็เป็นอย่างนี้ หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ ตลอดเวลา และระหว่างที่จากเด็กไปถึงเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็จะเกิดความลำบากลำบนเกิดขึ้น ก็เศษของกรรม บางคนก็สร้างกรรมอย่างหนักเลย ก่อนที่จะเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา โตที่อยู่ในศูนย์เที่ยงแล้วนี่
หนุ่มสาวเต้าเรียกศูนย์เที่ยง เที่ยงที่มีกำลังวังชา จะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวายังไงก็ อยู่ในสภาพของกายนั้นว่าเราจะไปทางไหน ไปทางบุญทางบารมีหรือ สร้างเวรสร้างกรรม ก็อยู่ตรงนี้แหละ เพราะมีกำลังวังชามาก มีกำลังวังชาพร้อมที่จะกระทำอะไรก็ได้ พอพ้นจากตรงนั้น ก็ลดลงไปๆ ไม่อยู่คงที่ เพราะไม่ใช่ของเรา
จิตของเราก็คือของๆเรา แต่กายนั้นไม่ใช่ของเรา ก็จำเป็นที่..ตามวัฏจักร คือ ให้มีการแก่เจ็บลงไป เราก็เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย เห็นเด็กเล็ก เห็นหนุ่มสาว เห็นมาตลอด แล้วเราก็เป็นอย่างงั้น แต่เราไม่เคยสำรวจ ตัวเอง
..สมมุติตัวเอง ลดลงไปเป็นเด็ก..เป็นยังไงขณะนี้ ลำบากไหม ต้องไปเรียนหนังสือ ต้องไปทำไอ้โน้นไอ้นี่ อะไรต่างๆ เอ้า..โตมาเป็นหนุ่มเป็นสาว ต้องมีเหย้ามีเรือน ต้องหาที่อยู่ที่อาศัย ต้องมีบ้านมีช่อง มีทรัพย์สินเงินทอง โลภไปทั้งหมด ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้น ก็ไม่ใช่เป็นของเรา แต่ก็เกิดอยากได้ อยากมี อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่มีใครเค้าทำ..นั่นเค้าก็คือ อารมณ์กรรมที่เราสะสมนั้นเอง แล้วมันก็หมุนเวียนกันมาอย่างนี้ เกิดแก่เจ็บตายกันอยู่อย่างนี้ เกิดมาเท่าไหร่มันก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป
แล้วก็สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ระหว่างที่ไม่อยู่ศูนย์กลางเลย คือ หนุ่มสาว ..ระหว่างเด็กไปเป็นหนุ่มเป็นสาว สิ่งที่น่ากลัวคือไม่ทันต่อโลก ไม่ทันต่อเรื่องราวต่างๆ ต้องหากินหาอยู่มาด้วยความลำบากบำบนเกิดขึ้น
พอจากหนุ่มสาว ยิ่งน่ากลัวไปใหญ่ เพราะมันแก่เฒ่าชราขึ้นมา มันก็มีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ตรงนี้ใครจะดูแลเรา ใครจะสงสาร จะมีกินมีใช้มั้ย หรือว่ามีเงินมีทอง มีวัตถุมาก บางทีก็ใช้ไม่ได้เลย บางทีมันก็กองอยู่อย่างนั้น บางทีไอ้ความโลภ ไม่อยากจะใช้จ่ายอะไร
แม้แต่จะซื้อยามา แก้ไขตัวเอง มารักษาตัวเอง ก็เสียดายเงินเสียดายทอง เพราะกว่าจะได้เงินที่มากอง อาจจะได้สิ่งที่ไม่ดีเสียเป็นส่วนใหญ่ ไปโลภ ไปเอากับคนนั้น คนนี้มา ไปยักยอกเค้ามา ก็เลยมากองๆไว้ จะใช้จ่ายทั้งที ก็เสียดาย ก็เลยปล่อยมันๆ เดี๋ยวก็คงหายๆ หยูกยาไม่ซื้อมากิน ไม่อะไรทั้งนั้น ก็เก็บทรัพย์สินเงินทองไว้
ในที่สุดตัวเองก็ทุกข์ทรมาน อะไรก็ไม่ได้ จะกินข้าวซักมื้อ ก็ต้องรอคอย บางที่เค้าก็ไม่ให้กิน อดๆอยากๆไป เพราะแก่เฒ่าชรา ไม่สามารถที่จะเดินเหินไปไหน ไปหากินหาอยู่ได้แล้ว สิ่งนั้นน่ากลัวที่สุด กรรมที่มาเกิดขึ้นแก่จิตดวงนั้น ที่มีสังขารเป็นมนุษย์ กลายเป็นโมฆะบุรุษโมฆะสตรีไป หามีความสิ่งที่ดีที่งามแก่จิตดวงนั้นไม่
เพราะฉะนั้นระหว่างที่เราอยู่ศูนย์กลางนี้ พยายามหาทางเดินให้มันถูก ทางไหนที่เป็นกรรมเราก็ เดินแค่เชียดๆ เดินให้มันถูก สิ่งไหนที่เป็นบุญเป็นทานเราก็เดินไปในทางนั้น เดินให้มันถึงที่สุด เดินให้มากๆ ไปอยู่กับเค้าให้มากๆ ไม่ใช่ไปอยู่แต่กรรม กรรม กรรมตลอดเวลา แล้วมันก็อยู่อย่างนี้ หมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างนี้
เหมือนกับที่เราอยู่ปัจจุบัน มีกลางวันมีกลางคืนๆ เมื่อไหร่จะมีกลางคืนอย่างเดียว มีกลางวันอย่างเดียว เมื่อไหร่มันจะเป็นอย่างงั้น แต่ก็อยู่ในโลกนี้มันเป็นอย่างนั้น เค้าให้มีการพัก บางคนก็ไม่ได้พัก เรื่องกรรมนั้นนะ เค้าบอกกลางวัน อ่ะ..ทำการทำงานเกิดขึ้น บอกกลางคืนมืดแล้ว พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว พักผ่อน ..ก็ไม่ได้พักผ่อน..ไปโน้นไปนี่ ไปเรื่อย ไปสร้างกรรมอะไรต่างๆ มากมายก่ายกอง หาเป็นที่พึงปรารถนาของจิตไม่ แต่อารมณ์ของเรา อารมณ์กรรม...ดึงจิตของเราไปสู่เรื่องกรรมตลอดเวลา
เราจะตัดอย่างงี้ได้อย่างไร เราก็หาวิธีตัดกรรมขึ้น คือ
นอบน้อมต่อผู้มีพระคุณ ๑
นอบน้อมต่อบุญกุศล เพื่อจะสร้างบารมี หนีกรรม ๑
มันก็ต้องทำอย่างนั้น แต่นี่เวลาสร้างบุญสร้างบารมี สร้างบุญสร้างทานกลับไปใหญ่โตกว่าบุญกว่าทาน ที่ตนเองสร้าง ไปดูถูกเงินทอง สิ่งที่ตนเองหามาได้ เหมือนกับว่า บางทีให้ ขอทาน ก็โยนไปให้เค้า ไปดูถูกเงินของตัวเอง
บางที่เงินของเราจะไปถวายภิกษุสงฆ์ สร้างบุญสร้างกุศล ไม่นอบน้อมที่จะถวายต่อเครื่องหมายของธรรม (ผ้าเหลือง) ก็ไปดูถูกปัจจัยที่เรา หรือ วัตถุนั้นไปถวาย สิ่งนั้นก็เกิดกรรม บุญไม่ได้ ได้แต่กรรมเกิดขึ้น นั้นลักษณะของการที่สร้างบุญไม่ถูกต้อง แล้วยังมีอีกว่า ทำไปทำมายังใหญ่กว่าเค้า ยังอธิษฐานเป็นกรรมเสียอีก มันก็เพิ่มพูน ดินฟ้าอากาศ พญามารเค้าคอยอยู่แล้ว
เค้ารีบส่งให้เลย คนนี้อยากได้เค้าส่งให้ เลยมั่งมีศรีสุขตามที่ตัวเองปรารถนา บางครั้งก็ส่งเรื่องราวที่...อาศัยบุญที่มืดมิด ปิดจิตดวงนั้น เพื่อให้หลงใหล ในสิ่งที่ตัวเองทำ นึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำถูก ก็เลยมาท่อง มาบ่น มาบนบานศาลกล่าวเกิดขึ้น มันก็เลยเกิดเป็นกรรม ให้แก่จิตของเรา แต่เป็นบุญที่เกิดจากอารมณ์และกายของเรา ก็คลุกคลีอยู่กับมายาโลภโกรธหลง ที่ตัวเองได้มา เลยจมอยู่ตรงนั้น แล้วกายที่ สิ่งที่จะอาศัย...เรือนกายที่มีความสุขความสบาย มีมั้ย..ไม่มี ไม่มีเวลาที่จะอยู่ในเรือนกายนั้นเลย
แม้แต่สิ่งที่เค้าให้เรามานั้น ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ไปกราบไหว้ สิ่งนั้น กราบไหว้แล้ว ท่องอย่างนี้นะ ทำอย่างนี้นะ แล้วจิตของเราก็หมกมุ่น อารมณ์ของเราก็วุ่นวายกับเรื่องของกรรมให้ได้ยศให้ได้เงินได้ทองมา ..
แล้วรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ คือ ทำให้เราจมอยู่โลภโกรธหลงอยู่ตรงนั้น มีวาจาสามหาว มีกิริยาท่าทางต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน ที่เดินเหินด้วยความสง่างาม เหมือนเทพเหมือนพรหมที่เค้าเดินกันไม่มี มีแต่เดินหนีบุญหนีทานที่ตัวเองทำ เดินไปอย่างรวดเร็ว เพื่อจะไปหากรรม นั้น ก็คือ สิ่งที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่เราถึงจะรู้จัก
เมื่อเราอยากจะรู้จัก เราก็ต้องสร้าง คือ ความกตัญญูรู้คุณ ในศาสนาบ้าง ในบิดามารดา เอ้า..บิดามารดาของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตไปแล้ว หรือ ล่วงลับไปแล้ว แล้วข้าพเจ้าจะทำความกตัญญูรู้คุณได้อย่างไร ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้อยู่อย่างงั้น
ถ้าผู้ที่รู้...กายนี้ คือ กายบิดาและมารดา เราก็แสดงกตัญญูรู้คุณ นำกายของท่านที่เราอาศัยอยู่ เหมือนอาศัยสถานที่นี้อยู่ บ้านหลังนี้อยู่ เราก็ทำปัดกวาดให้สะอาดสะอ้าน บ้านนี้มีความสวยงามเกิดขึ้น เช่น นำกายนี้ไปสร้างบุญสร้างกุศล นอบน้อมถ่อมตนไม่สร้างเวรสร้างกรรม ไม่หลงในมายากรรมต่างๆ ยศฐานบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทองต่างๆ นึกถึงว่า สิ่งเหล่านี้ คือ เราเป็นผู้อาศัยเค้าชั่วระยะหนึ่ง เมื่อมีความสุขแล้วเรา ก็ขอลาเค้า จิตเราต้องลาเค้าแน่ไม่วันหนึ่งวันใด
เพราะฉะนั้น การเอาเรื่องกายของเราไป ไปสร้างบุญบ้าง ไปสร้างบารมีบ้าง ไปสร้างทานบ้าง ด้วยความนอบน้อมที่กายของเรากระทำ นั้นแสดงความกตัญญูรู้คุณของบิดามารดาแล้ว
นี่แหละ สิ่งที่เราควรจะทำ แล้วที่เราไม่ควรจะทำก็มีมากมายก่ายกอง สิ่งเล็กๆน้อยๆมีนิดเดียวเท่านั้นเอง แค่สร้างบุญ ให้นั่งตัวนิ่งๆ นอบน้อมนำวัตถุต่างๆ ที่เราหามาด้วยความเหนื่อยยากลำบากยากเข็ญ มาถวายต่อหน้าเบื้องพระพักตร์องค์พระสีมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อต้องการให้กาย จิตต้องรู้คุณของบิดามารดา ก็เอากายมาสร้างบุญสร้างกุศล หรือ นำกายมากราบองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตอนที่บิดามารดาเราอยู่ ท่านก็ไม่ได้กราบ ได้ไหว้ ไม่กระทำเหมือนกับเรา
เรารู้ท่านไม่ทำ ก็เอากายของท่านมาทำซินะ..กระทำความกตัญญูรู้คุณ นี่คือผู้ที่รู้คุณ..คุณของบิดามารดา ไม่ใช่ว่ารู้คุณทางโลกอย่างเดียว เอากับข้าวกับปลามาให้เอาขนม นม เนยมาให้ ปฏิบัติพัดวีต่างๆ นั้นเรื่องราวของทางโลก กิริยาของโลก
แต่เราที่อาศัยสังขารนี้อยู่ เราควรจะทำที่..ให้มันเหนือกว่านั่นได้มั้ย เหนือที่สูงที่สุด.. ก็คือ เอากายมาสวดมนต์ภาวนา นั่นก็คือ อยู่ที่สูงที่สุด ไม่ใช่เอาเงินเอาทองมาให้มากมาย บางทีเผลอไผลทำให้พ่อแม่ของเราหลงใหลในกิริยาที่ลูกทำ เลยไม่ต้องทำเลยพ่อแม่ เลยสร้างแต่วาจาก้าวร้าว
เรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น มีการพูดจา เรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำให้จิตของท่านหลงใหลในลาภยศสรรเสริญอยู่ในตรงนั้น เห็นมั้ยว่า ทำเรื่องราวที่จะถูก..กลับไม่ถูก ควรจะทำให้มันถูกเรื่อง ที่สุดความกตัญญูนี่..รู้จักคุณที่ท่านให้ รู้จักความกตัญญูรู้คุณของบิดามารดา ก็เอากายมาสวดมนต์ภาวนา
คราวนี้ ..มาอยู่ที่ว่าพ่อแม่ของเรามีชีวิตอยู่ พ่อแม่ของเรามีนิสัยที่ก้าวร้าว มีนิสัยที่มีความโลภ ความโมโห มีความหลง อะไรต่างๆ ถ้าเราเอากายท่านมาทำ ..มาทำเรื่องดีๆเกิดขึ้น กายนั้นกายพ่อแม่ก็เป็นกายบุญ กายบุญเกิดขึ้น พ่อแม่เรา..กับสิ่งที่เราเคยเห็น ค่อยๆ เปลี่ยนไปๆ เป็นคนที่ใจเย็นเกิดขึ้น วาจาก็รู้จัก ความสามหาวลงไป ใครที่เคยบ่นอย่างโน้นอย่างนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ค่อยลดลงไป นั้นคือ ความกตัญญู..ที่รู้จักว่า พ่อแม่เค้าทำผิดแล้วนะ เราไปห้ามปรามเค้าไม่ได้ กลัวเกิดเป็นเวรเป็นกรรม
ก็ใช้วิธี..เอากายของท่านมาสร้างเป็นบุญกุศลบารมีเกิดขึ้น เพื่อให้ดวงจิตของท่าน เปลี่ยนแปลง สภาพจาก ความเร่าร้อนต่างๆมีความโลภโกรธหลงเกิดขึ้น..ให้มันเบาบางลง ..
..ไม่ใช่ว่าให้มันสูงขึ้นๆ จนในที่สุด ท่านก็แก้ไขอะไรไม่ได้ จิตของท่านก็ต้องลงสู่อบายภูมิแน่นอนนะ เพราะความโลภโกรธหลงของท่าน ที่มีสูงมาก ทีให้นี้ท่านก็ลดลงๆ ไม่ถึงที่สุดก็ แล้วจะได้มีกายที่ดี..เวลาจิตออกจากร่าง ท่านก็ยังนึกถึงพระบ้าง นึกถึงการ..ลูกได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โอ้ว..ลูกของเรา. ไปถือศีลไปปฏิบัติ แล้วนึกถึงภาพ ลูกไปนั่งสมาธิ ลูกสวดมนต์ อย่างกรณี..ก่อนที่จิตจะออกจากร่าง เค้าก็ไปเกิดเป็นเทวดา ไม่ถึงกับลงนรก เห็นมั้ย ..เทวดาก็จุติ หรือ ไม่อย่างนั่น เค้าก็ให้มาแก้ไข
นั่นก็ชี้ให้เห็นว่า ลูกมีความกตัญญูรู้คุณ คุณบิดามารดาที่แท้จริง เป็นคำกล่าวที่สูง ใช้กายที่สูง ที่เกิดขึ้น แล้วจิตที่อาศัยเรือนกายที่สูง วาจาสูงๆ แล้วจิตจะไปไหน จิตก็ต้องเป็นเทวดา เป็นเทพยดาอินทร์พรหมไป แล้วในที่สุด เค้าก็รู้เรื่องราวต่างๆมากขึ้นๆ จนหลุด..หลุดจากอารมณ์กรรมตัวกระทำได้ นั้นเราก็หวังว่าเป็นเช่นนั่น
ที่การมาสร้างบุญสร้างกุศลให้กับผู้มีพระคุณในวันนี้ก็ ดีใจและก็อนุโมทนาด้วย ในสิ่งที่ระลึกถึง ผู้ที่..ไม่น่าจะทำ ก็ทำขึ้นมาเกิดขึ้น อนุโมทนาที่เกิดขึ้น และทวยเทพทั้งหลาย เค้าก็มาห้อมล้อมอนุโมทนา ในการครั้งนี้
เราก็ประจักษ์แล้วว่า ผู้ที่มาอนุโมทนารับกองกุศลนี้ ได้ยินเสียงท่าน ได้เห็นพระวรกายท่าน ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น นั่นก็เป็นสิ่งที่..จิตที่ดี ..จงรักษาจิตนี้ไว้ ให้ไปตลอดอายุขัย ก็ขออนุโมทนาให้จิตนี้ ไปสู่คำว่า บรรลุธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นธรรมเป็นที่พึง
แล้วไม่หลุด..ก็ในชาตินี้ไม่หลุดแน่ ในชาติหน้าก็ขอให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ในที่สุดให้จิต..คำว่าติดเรื่องราวของบุญบารมี เกิดมาเป็นมนุษย์ครบอาการสามสิบสอง เริ่มตั้งแต่ เหมือนกับพระ..เลย พระอรหันต์เรา พระ..ที่ท่านบวชตั้งแต่ 7ขวบ ก็ให้เริ่มตรงนั้น
..เอาละ อย่างโยมนี่ก็ขอให้ไปโน้น อายุประมาณ..ขวบก็เกิดมาใหม่ ก็ให้ได้บวช ได้ศึกษาธรรม หลุดพ้นจากคำว่าไสยศาสตร์มนต์ดำต่างๆ ยุติแล้ว เพราะชาตินี้คลาย..เพราะคลายออกไปได้เยอะแล้ว อย่าไปเอามันมาอีกก็แล้วกัน
ถ้าไม่เอามาอีก ก็หลุดจากมนต์ดำไสยศาสตร์ต่างๆออกไป ชาติหน้าก็มีแต่ธรรม มารับรองที่จิตของเรา นั่นมันเรื่องเริ่มต้น มันก็..มันเศษของกรรมต้องใช้ เพราะเราไปหมกมุ่นกันมาทุกชาติ หลายชาติหลายภพนะ มันก็ต้องมี..นี่ก็ออกมาได้เยอะแล้ว เอาละวันนี้ ก็มาให้เรื่องราวต่างๆ ให้แก่จิตที่รับรู้เรื่องดีๆให้รับสิ่งที่ไม่เคยรับ ก็ได้รับ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินก็ได้ยิน ก็ขออนุโมทนาเกิดขึ้น สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา