28 ม.ค. 2021 เวลา 08:04 • หนังสือ
การตั้งเป้าหมาย
ผมเชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมายหลักในชีวิตครับ ไม่ว่าจะเป็นการมีครอบครัวที่ดี การมีเงินเก็บที่มากพอจะใช้หลักเกษียณ หรือแม้แต่อะไรที่ไม่ไกลตัวมากเช่นการสอบให้ได้คะแนนดีๆครับ
การตั้งเป้าหมายนั้นสำคัญต่อการทำงานอย่างมากครับ นอกจากจะทำให้เรามองเห็นทิศทางที่กำลังมุ่งไปแล้วมันยังเป็นแรงผลักดันให้เราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยครับ
เราลองพิจารณากันดูนะครับว่าเรามีเป้าหมายหลักหรือ Final Goals แล้ว และเราได้ตั้งเป้าหมายปฏิบัติงานหรือ Performance Goals หรือยังครับ
Final Goals กับ Performance Goals ต่างกันยังไง
Final Goals คือเป้าหมายหรือจุดหมายที่เราต้องการไปถึง เราต้องการทำให้สำเร็จ เช่น เราตั้งเป้าไว้ว่าจะสอบให้ได้ที่หนึ่งของภาคเรียนนี้ หรือเราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะมีเงินเก็บให้ได้ถึง 1 ล้านก่อนอายุสามสิบ
ส่วน Performance Goals คือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้ไปถึง Final Goals นั้นครับ เช่นเราจะอ่านหนังสือวันละสองชั่วโมงทุกวันเพื่อจะสอบให้ได้ที่หนึ่งของภาคเรียนนี้ หรือเราจะเก็บเงินให้ได้เดือนละประมาณ 10,000 บาท เพื่อให้มีเงินเก็บให้ได้ถึง 1 ล้านก่อนอายุสามสิบ
ในหนังสือ The Decision Book เสนอวิธีของ จอห์น วิทมอร์ (John Whitmore) มาช่วยในการตั้งเป้าหมายของเราครับ
ภาพจาก https://foundationoficf.org/whitmore_john/
The John Whitmore Model จะช่วยให้เราว่าแผนเป้าหมายของเราให้ชัดเจนและละเอียดขึ้นครับ รูปแบบการตั้งเป้าหมายด้วยวิธีนี้รู้จักกันในชื่อ The Right Goal ซึ่งมีองค์ประกอบคือ SMART PURE CLEAR ครับ
ภาพจากหนังสือ The Decision Book
เริ่มกันที่ SMART ก่อนนะครับ
💡 SMART คือ Specific, Measurable, Attainable, Realistic, Time-phased ซึ่งหมายถึง เป้าหมายนั้นมีความแน่นอนชัดเจนหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ไหม บรรลุได้ไหม ตั้งอยู่บนหลักความเป็นจริงหรือไม่ และระยะเวลาเหมาะสมหรือไม่ครับ
🎯 ความชัดเจนของเป้าหมายสำคัญมากครับ เพราะจะทำให้เราสามารถวางแผนการทำงานที่แน่นอนได้มากขึ้นได้ครับ ยิ่งแผนที่วางไว้แน่นอนมากเท่าไรประสิทธิภาพการทำงานก็จะมากขึ้นเท่านั้นครับ
🔍 ความสามารถในการตรวจสอบของเป้าหมายจะทำให้เราสามารถวัดความสำเร็จของแผนงานได้ครับ ว่าจะตรงตามเป้าหรือไม่
🔖 หากเราประเมินเป้าหมายที่เราตั้งไว้ว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเสียเวลากับมันครับ
⏳ เป้าหมายที่ตั้งไว้ควรอยู่บนหลักความเป็นจริง ไม่เพ้อฝัน และกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการบรรลุผลครับ
ไปต่อกันที่ PURE เลยดีกว่าครับ
💧 PURE มาจาก Positively stated, Understood, Relevant, Ethical ครับ ซึ่งก็คือเป้าหมายที่เราตั้งนั้นเราตั้งมันด้วยมุมมองเชิงบวกหรือไม่ เราเข้าใจมันจริงๆหรือเปล่า ตรงประเด็นหรือมีความสัมพันธ์กันไหม และมีจริยธรรมหรือไม่ครับ
🎖 การตั้งเป้าหมายเชิงบวกมีผลอย่างมากกับประสิทธิภาพการทำงานครับ เพราะการตั้งเป้าหมายเชิงบวกจะทำให้เราจดจ่อกับจุดหมายมากกว่าข้อเสียของตัวเองครับ เช่น ให้เราตั้งเป้าว่า เราจะทำงานที่ได้รับมอบหมายทุกอย่างให้เสร็จ 1 วันก่อนกำหนดเวลา แทนที่เราจะตั้งเป้าว่า เราจะเลิกขี้เกียจครับ หรือตั้งเป้าว่าเราจะเป็นคนที่มีบุคลิกดีขึ้นภายใน 3 เดือน แทนที่จะตั้งเป้าว่า เราเลิกทำหลังงอครับ
🔦 การเข้าใจเป้าหมายนั้นจำเป็นอย่างมากครับ เพื่อไม่ให้เราเสียเวลาทำงานอย่างสะเปะสะปะครับ
🧐 ให้ลองประเมินเป้าหมายที่เราตั้งขึ้นมานั้นตรงประเด็นหรือมีความเกี่ยวข้องกับเราหรือไม่ครับ เพื่อไม่ให้เราหลุดโฟกัสไปจากสิ่งที่สำคัญครับ ผู้บริหารชั้นนำจะจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆและจดจ่อกับการทำสิ่งที่สำคัญจริงๆ เพื่อให้ง่ายแก่การตั้งเป้าหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นและประสบความสำเร็จครับ
🙏 เรื่องจริยธรรมเป็นพื้นฐานของตั้งเป้าหมายที่ดีครับ เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แต่ไร้จริยธรรมก็ไร้เสน่ห์ครับ
สุดท้ายคือ CLEAR ครับ
CLEAR หมายถึงแชมพูใช่ไหมครับ
ไม่ใช่ครับ
🌊 CLEAR คือ Challenging, Legal, Environmentally sound, Agreed, Recorded ครับ ซึ่งก็คือ เป้าหมายนั้นมีความท้าทายหรือไม่ ถูกกฎหมายไหม มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมหรือไม่ เหมาะสมไหม และสามารถจดบันทึกได้ไหมครับ
⛳ เป้าหมายที่ดีคือเป้าหมายที่ท้าทายความสามารถครับ การที่เราตั้งเป้าหมายที่ท้าทายจะทำให้เรามีแรงจูงใจมากกว่าเป้าหมายที่ง่ายครับ เพราะเมื่อเราทำสิ่งที่เราเห็นว่ามันท้าทายได้สำเร็จ แม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็จะทำให้เราเกิดความภูมิใจในตัวเองและเกิดแรงขับให้เราทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆครับ
👨‍⚖ เช่นเดียวกับการมีจริยธรรม เป้าหมายที่ตั้งควรเป็นเป้าหมายที่ถูกกฏหมาย แม้ทั้งสองข้อนี้จะฟังดูคล้ายกันแต่ก็มีความแตกต่างกันครับ เช่นเราอาจจะตั้งเป้าว่าจะชนะในการพนันกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งสำหรับบางคนอาจไม่ผิดต่อหลักจริยธรรมร้ายแรงแต่ก็อาจผิดกฏหมายครับ
🏷 ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสิ่งที่ควรจะมีในทุกการกระทำของเราครับ จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นบริษัทนั้นที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน หากไม่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองทำ ก็อยู่ได้ไม่นานครับ
🎏 ลองพิจารณาว่าเป้าหมายนั้นเหมาะสมหรือไม่ดูครับ แล้วเราเห็นด้วยกับมันจากใจจริงหรือไม่ครับ
📝 สุดท้ายคือการจดบันทึกครับ การบันทึกเป้าหมายและการปฏิบัติเป็นปัจจัยที่สำคัยที่ทำให้เราประสบความสำเร็จครับ เพราะเราจะสามารถตรวจสอบสิ่งที่ทำและสิ่งที่ต้องทำได้ตลอดเวลา และเราจะเห็นภาพรวมของการทำงานได้ชัดเจนขึ้นครับ
การตั้งเป้าหมายให้ครบหลักเกณฑ์ทั้ง 14 ข้อนี้จะทำให้เราได้เป้าหมายที่ชัดเจน เป็นไปได้และถูกหลักจริยธรรมครับ ยิ่งเราสามารถตอบคำถามแต่ละเกณฑ์ได้มากเท่าไรเป้าหมายก็จะยิ่งชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากเท่านั้นครับ
สำหรับคนที่คิดว่าการตั้งเป้าหมายให้ตอบโจทย์ทั้ง 14 ข้อนี้มันยากและซับซ้อนเกินไป ในหนังสือก็ยังแนะนำแนวคิด K.I.S.S ด้วยครับ ซึ่งก็คือ Keep It Simple, Stupid! หรือก็คือไม่ต้องตั้งเป้าหมายให้ยุ่งยากครับ แค่ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เป็นไปได้และลงมือทำครับ จากนั้นค่อยปรับวิธีให้เข้ากับสถานการณ์ต่อไปครับ
🏫 ผมขอเอาคำพูดของครูภาษาไทยของผมตอนอยู่โรงเรียนมาให้กำลังใจทุกท่านที่กำลังท้อในเป้าหมายที่ตั้งไว้นะครับ ครูของผมพูดว่า "ความสามารถของเราสูงกว่าเป้าหมายที่เราตั้งเสมอครับ" ซึ่งผมก็เห็นด้วยครับ บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเราตั้งเป้าไว้สูงเกินไปหรือเราคงทำไม่ได้หรอก ผมอยากให้ทุกท่านลองทำให้เต็มที่ดูครับ ทิ้งความกังวลว่าจะล้มเหลวและทำให้เต็มความสามารถ แล้วลองดูผลลัพธ์ที่ได้ครับ เราอาจจะแปลกใจกับความสามารถที่ซ่อนอยู่ของเราก็ได้ครับ
📌 สิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับคนเราไม่ใช่การที่เราตั้งเป้าหมายสูงเกินไปและเราไปไม่ถึง แต่คือการที่เราไปถึงเป้าหมายที่ต่ำเกินไป Michelangelo
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติ่มจาก
อ่านเสร็จแล้วก็กดติดตามกันด้วยนะครับ เพื่อที่จะไม่พลาดตอนต่อไปครับ💫
สำหรับคนที่อ่านแล้วอยากแชร์ความคิดเห็นหรือมุมมองที่น่าสนใจ คอมเมนต์ได้เลยครับ😁😁

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา