29 ม.ค. 2021 เวลา 02:35 • สุขภาพ
“มะเร็งปอด” ต้องกังวล! หาก PM 2.5 ยังอยู่กับเราอีกนาน
6
เมื่อฤดูหนาวผ่านไป ความชื้นในอากาศลดลง ทำให้ฝุ่นละอองที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งการเผาไหม้เชื้อเพลิง การเผาไหม้ทางการเกษตร กระบวนการอุตสาหกรรม ฯลฯ กลับมาเพิ่มปริมาณสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะฝุ่นละอองอนุภาคขนาดเล็ก PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพค่อนข้างมาก
3
ผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM 2.5
2
ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผลกระทบระยะสั้นที่เกิดจากการได้รับฝุ่นละอองอนุภาคเล็ก PM 2.5 อาจทำให้ระคายเคืองต่อผิว ดวงตา คอ จมูก ทางเดินหายใจ รวมทั้งอาจทำให้ผู้มีอาการหอบหืดกำเริบได้ แต่ในระยะยาวนั้น ยังอาจเป็นปัจจัยในการเพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยมะเร็งปอด เป็นต้น
PM 2.5 กับมะเร็งปอด
ผลศึกษาจากวารสารการแพทย์ Oncology Letter - PMC5920433 ซึ่งเผยแพร่ในหอสมุดแพทย์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ฝุ่นละอองอนุภาคเล็ก PM2.5 อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับยีน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงโมเลกุลขนาดเล็กที่กำหนดการแสดงออกของยีนต่าง ๆ ในร่างกาย (microRNA dysregulation) และมีผลต่อกระบวนการกลายพันธุ์หรือแบ่งตัวผิดปกติภายในเซลล์ (DNA methylation) รวมถึงอาจเอื้อให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเกิดมะเร็ง (Tumor Microenvironment Alteration) เปลี่ยนแปลงยีนที่ควบคุมการเจริญเติบโตแบบปกติของร่างกาย ให้กลายเป็นยีนก่อมะเร็งได้ (Oncogene) ซึ่งมีส่วนต่อการเกิดมะเร็งปอดในท้ายที่สุด
ดูแลตนเองเมื่อต้องอยู่ร่วมกับ PM 2.5
ในช่วงที่ค่าฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นสูง แนะนำให้ลดกิจกรรมนอกบ้าน งดออกกำลังกายกลางแจ้ง และสวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 ที่มีมาตรฐาน ก่อนออกภายนอก
4
ชนิดของมะเร็งปอด
มะเร็งปอดเกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดเป็นกลุ่มก้อนของเซลล์ที่ผิดปกติ ซึ่งจะตรวจพบได้เมื่อมีขนาดใหญ่ มีจำนวนมาก และแพร่ไปตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย มะเร็งปอดจะทำลายชีวิตของผู้ป่วยได้รวดเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง
2
มะเร็งปอดแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามขนาดของเซลล์ ซึ่งความแตกต่างของขนาดเซลล์นี้มีความสำคัญ เนื่องจากวิธีการรักษาจะแตกต่างกัน
มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (small cell lung cancer) พบได้ประมาณ 10-15% เซลล์จะเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่ามะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว การรักษาจะไม่ใช้วิธีการผ่าตัด ส่วนมากรักษาด้วยการใช้ยาหรือฉายรังสี
มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (non-small cell lung cancer) พบได้บ่อยกว่ามะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (พบได้ประมาณ 85-90%) แต่แพร่กระจายได้ช้ากว่าและสามารถรักษาให้หายได้โดยการผ่าตัดหากพบตั้งแต่เนิ่นๆ
อาการของโรคมะเร็งปอด
2
โดยทั่วไปแล้วมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามแล้ว อาจพบอาการดังต่อไปนี้
1
ไอเรื้อรัง (ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ)
มีปัญหาการหายใจ เช่น หายใจสั้น
หายใจมีเสียงหวีด
เจ็บบริเวณหน้าอกตลอดเวลา
ไอมีเลือดปน
เสียงแหบ
ติดเชื้อในปอดบ่อยๆ เช่น ปอดบวม
เหนื่อยง่ายหรือรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวเนื่องกับมะเร็ง เนื่องจากมีหลายโรคที่อาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีอาการดังกล่าวข้างต้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็วที่สุด
2
ตรวจคัดกรอง อีกหนึ่งวิธีดูแลตนเองตั้งแต่เนิ่น ๆ
3
นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการผิดปกติเช่น ไอเรื้อรัง แน่นหน้าอก หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด สามารถตรวจคัดกรองด้วยวิธี Low Dose CT ที่มีความแม่นยำมากขึ้น สามารถเห็นภาพสแกนแนวตัดขวาง แบบ 3มิติ ช่วยให้พบจุด หรือก้อนมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น หรือเห็นได้แม้ซ่อนอยู่หลังอวัยวะสำคัญ
5
ปัจจุบันมีการศึกษาทางคลินิกพบว่า การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดระยะเริ่มต้น ด้วยวิธี LDCT ประจำปี สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดได้สูงถึงร้อยละ 20 ในคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด เนื่องจากการตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ในขณะที่ยังไม่แสดงอาการใด ๆ นั้น มีโอกาสรักษาหายได้มากกว่า โดยที่ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีจากการตรวจ น้อยกว่าการตรวจด้วยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบมาตรฐาน (Computed Tomography (CT)–Chest)
5
โฆษณา