4 ก.พ. 2021 เวลา 02:00 • กีฬา
ไม่ว่าคุณจะคิดว่า “ทำได้” หรือ คิดว่า “ทำไม่ได้” มันก็ถูกทั้งคู่
ช่วงนี้อาจไม่ได้เขียนเรื่องราวอะไรยาวมากนัก เพราะอยากลองเขียนบทความตามหัวใจ และความรู้สึกของตัวเองดูบ้างว่าจะเป็นอย่างไร
แน่นอนว่าผมเป็นแฟนรายการ Mission to The Moon Podcast ของ พี่แท๊ป-รวิศ หาญอุตสาหะ CEO รุ่นใหม่ไฟแรงทายาทรุ่นที่ 3 ของ ศรีจันทร์โอสถ หรือ ผงหอมศรีจันทร์ อันเลื่องชื่อนั่นแหละ จากเดิมเป็นคนรักการอ่าน รวมทั้งชอบฟังเรื่องราวมากมายในโลกที่ไม่หยุดหมุนแต่ละวัน จึงอยากทบทวนตัวเอง พร้อมแบ่งปันเรื่องราวในรายการ ซึ่งผมชื่นชอบ Podcast หลายตอนมาก แต่อยากจะนำเรื่องราวของตอนที่ 351 มาเล่าแชร์ให้ผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกัน
มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า “If you think you can do a thing, or think you can do a thing, you’re right.” หรือแปลเป็นไทยว่า
“ไม่ว่าคุณจะคิดว่า “ทำได้” หรือ คิดว่า “ทำไม่ได้” มันก็ถูกทั้งคู่”
เป็นสิ่งที่เฮนรี่ ฟอร์ด บิดาแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์สมัยใหม่ได้พูดไว้กว่า 2 ศตวรรษ
ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจผมจะเล่าเรื่องราวต่อไปนี้เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดยิ่งขึ้น
แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล แชมป์พรีเมียร์ลีกทีมล่าสุด ทุกคนคงได้เห็นถึงความสุดยอดในการทำลายสถิติเดิมต่างๆ ที่เคยได้จารึกไว้มานานแสนนาน ทั้งการได้แชมป์เร็วที่สุดจากการลงเล่นเพียง 31 นัด หลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปราชัยต่อเชลซี 1-2 คว้าชัยในเกมเหย้า 23 นัดติดต่อกัน ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับเจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือเฮฟวี่เมทัล รวมทั้งทีมของเขาที่ช่วยกันทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จครั้งนี้ แต่มีหนึ่งคนที่จะพูดถึงเขาไม่ได้เลยนั่นคือ กัปตันทีมอย่าง “จอร์แดน เฮนเดอร์สัน”
จอร์แดน ไบรอัน เฮนเดอร์สัน เติบโตมาจากซันเดอร์แลนด์แดนอีสานของอังกฤษ ซึ่งความหลงใหลในฟุตบอลของเขาไม่ได้ทิ้งแถว เฮนเดอร์สันผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งในปี 2003 เด็กชายจอร์แดน ได้ไปยังเมืองแมนเชสเตอร์กับพ่อของเขา เพื่อไปชมฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศระหว่างยูเวนตุส กับ เอซี มิลาน ที่จบไปด้วยการดวลจุดโทษ หลังจากในเวลาทำได้เพียงแค่เสมอ 0-0 แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของนัดชิงชนะเลิศในวันนั้น เด็กชายจอร์แดนผู้มีแววตาเป็นประกาย ได้บอกกับพ่อของเขาว่า “พ่อครับ สักวันผมจะต้องเล่นในนัดชิงชนะเลิศรายการนี้ให้ได้” หลายคนอาจมองว่าเป็นเพียงแค่ความฝันเฟื่อง แต่ตัวพ่อของเขานั้นเชื่อมั่นอย่างเต็มอกว่า ลูกของเขาจะสามารถทำมันได้อย่างแน่นอน
หลังจากเข้าทีมอคาเดมี่ของสโมสรซันเดอร์แลนด์ในวัย 7 ขวบ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปที่อาจไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรมากนัก แต่ด้วยทัศนคติที่มุ่งมั่น เชื่อว่าเขานั้นสามารถทำได้ พร้อมทั้งพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และแสวงหาโอกาสในการลงเล่นอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ตัวของเฮนเดอร์สันเอง เป็นที่รักของโค้ชชุดทีมเยาวชน รวมทั้งยกย่องว่าเขาเป็นดาวรุ่งที่มีหัวใจนักสู้อีกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
ด้วยทัศนคติของเขาจึงทำให้เขาได้ขึ้นทีมชุดใหญ่ และได้รับความไว้วางใจจากผู้จัดการทีมอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งได้ลงสนามครบ 38 นัดในฤดูกาล 2010/2011 หลังจากเขาฉายแววอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ลิเวอร์พูลไม่รอช้าคว้าตัวเขาไปในราคา 16 ล้านปอนด์ในฤดูกาล 2011/2012
การย้ายเข้ามาในถิ่นแอนฟิลด์ตอนแรก ดูไม่ค่อยน่าพอใจสักเท่าไหร่นักสำหรับเขา แม้จะลงสนามอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนร่วมกับการคว้าแชมป์ลีกคัพ แต่ก็ยังไม่มีผลงานอะไรที่โดดเด่นสะดุดตาของเหล่าเดอะค็อปเท่าที่ควร
จนกระทั่งการมาของ เบรนแดน รอดเจอร์ กุนซือหนุ่มผู้พาสวอนซี ขึ้นชั้นมาได้ในรอบ 50 ปี เข้ามารับงานเป็นผู้ปลุกยักษ์หลับให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ได้มีความสนใจตัวของ คลินท์ เดมพ์ชีย์ กองหน้าชาวสหรัฐอเมริกา และขอให้จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นส่วนหนึ่งในดีลการซื้อขายครั้งนี้
ซึ่งแน่นอนว่าตัวของเฮนเดอร์สันเอง รู้สึกเสียใจอย่างแน่นอน แม้ว่าตัวเขาเพิ่งจะย้ายมาสู่ทีมที่เขาอยากลงหลักปักฐานเพียงแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น แต่เมื่อเสียใจแล้วเขาตัดสินใจเข้าไปคุยกับเบรนแดน รอดเจอร์ อย่างตรงไปตรงไปว่า ตัวเขานั้นขอพิสูจน์ตัวเอง และต่อสู้เพื่อเป็น 11 ตัวจริงของทีมต่อไป หลังจากวันนั้นเขาพยายามฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ ฟังคำแนะนำจากกองกลางรุ่นพี่อย่าง สตีเฟน เจอร์ราร์ด เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าวันวาน จนทำให้เขาเป็นอีกฟันเฟืองสำคัญในฤดูกาล 2013/2014 ที่พลาดท่าท้ายฤดูกาลเป็นเพียงแค่รองแชมป์พรีเมียร์ลีก
มรสุมของชีวิตเขาก็ไม่ได้หมดเพียงแค่นั้น จนกระทั่งฤดูกาล 2015/2016 เจอร์ราร์ดได้ออกจากถิ่นแอนฟิลด์ พร้อมมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้กับเฮนเดอร์สัน ทำเอาเดอะค็อปหลายคนเกิดการเปรียบเทียบ และค่อนขอดว่าตัวของเขาไม่เหมาะสมกับการสวมปลอกแขนอันทรงเกียรติ แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นว่า เขา “ทำได้” เหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา จนในวันนี้เขากลายเป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูลที่ได้ชูถ้วยถึง 4 ใบในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี
สิ่งที่ผมอยากจะมาเล่านั่นคือ ไม่ว่าคุณจะคิดว่า “ทำได้” หรือ คิดว่า “ทำไม่ได้” มันก็ถูกทั้งคู่ หาก เฮนเดอร์สันเลือกที่จะย้ายไปฟูแล่ม เป็นส่วนหนึ่งในดีลเพื่อต้องการการลงเล่นที่มากขึ้น ในสเกลทีมที่เล็กลง รวมถึงการไปบอกผู้จัดการทีมว่าไม่ขอรับปลอกแขนกัปตันทีม และให้คนอื่นแทน เพราะกดดันเกินไป นั่นก็มีเหตุผลหรือ จะกลายเป็นตำนานบทใหม่ เพราะเชื่อมัน และศรัทธาในตัวเอง นั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกไม่ต่างอะไรจากข้อก่อนหน้านี้
ในโลกใบนี้ที่เราต้องอยู่ร่วมกันนั้น เราทุกคนต่างเจอปัญหา อุปสรรค ความผิดหวัง สมหวัง ความเสียใจ รวมไปถึงแรงกดดันที่ต่างกันออกไป แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของมันจะไปในทิศทางไหน มันก็ขึ้นอยู่กับความคิดที่เราจะเป็นคนกำหนดให้มันเกิดขึ้น
ตอนนี้ไม่ว่าตัวคุณนั้นจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม จะอยู่ในบริบทที่เต็มไปด้วยอุปสรรค หรือเจอในสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นเคย บางครั้งคุณอาจลองทำมันดู คิดว่าตัวเองสามารถทำมันได้ มันอาจจะทำให้เรารู้ว่าตัวเรามีความสามารถมากกว่าที่คิดไว้อย่างน่าเหลือเชื่อ
- โพนี่จี้จุด
#Henderson #Liverpool #PonyJeeJud #โพนี่จี้จุด
โฆษณา