1 ก.พ. 2021 เวลา 13:13 • กีฬา
Mourinho’s Playbook ตำราพิชัยยุทธของ โชเซ่ มูรินโญ่
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผมได้หาแรงบันดาลใจผ่านการดูซีรีย์ Netflix อีกครั้งหลังจากร้างรามาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งหน้าสุ่มเจ้ากรรมที่รู้ใจเหมือนนอนบนเตียงเดียวกัน ก็สุ่มเรื่อง The Playbook กฎชีวิตพิชิตทุกสนาม มาให้ผมนั่งชมอย่างพอดิบพอดี
ซึ่งแน่นอนว่าในทั้งหมด 5 ตอนนั้น ผมเลือกพุ่งเข้าหาตอนของ โชเซ่ มูรินโญ่ เฮดโค้ชชาวโปรตุกีส นักคว้าถ้วยรางวัลให้กับหลากหลายสโมสรมามากกว่า 2 ทศวรรษ ผ่านการคุมทีมชั้นนำในโซนยุโรปทั้ง ปอร์โต้, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ กำลังกอบกู้ ไก่เดือยทอง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ กลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเขาจะขึ้นชื่อเรื่องฝีปากกล้า หยิ่งผยอง จองหอง ไร้เมตตา และความปราณี จนทำให้หลายต่อหลายครั้งเกิดความขัดแย้งในกลุ่มนักเตะ กับบอร์ดบริหารอยู่บ่อยครั้ง แต่ผลงานของเขาก็เป็นที่ประจักษ์ในโลกฟุตบอล จนต้องแกะบทเรียนแห่งความสำเร็จ
แน่นอนว่า The Playbook ได้อธิบายเป็นกฎให้เราเข้าใจอย่างง่ายเป็นทั้งสิ้น 4 ข้อด้วยกัน
1. เข้าใจแฟนบอล
ในช่วงการเข้ามาของมูรินโญ่ ผลงานของเอฟซี ปอร์โต้ เข้าสู่สถานการณ์ย่ำแย่ ดิ่งลงเหวส่งผลให้ ออกเตบิโอ มาชาโด้ ถูกไล่ออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชหลังจากคุมทีมไปเพียงแค่ 36 นัดรวมทุกรายการ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แฟนบอลหมดศรัทธา มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากหากแฟนบอลนั้นหันหลังให้ทีมรักซึ่งคุณจะเชียร์ไปจนวันชีพมลาย ดังนั้นหน้าที่สำคัญของมูรินโญ่ในตอนนั้นคือ ต้องปลุกจิตวิญญาณแฟนบอลให้กลับมาเชียร์ทีมรักอีกครั้ง ทุ่มเททุกอย่างทั้งแรงกายแรงใจ ให้ “เสื้อเต็มไปด้วยเหงื่อ” ซึ่งสำนวนโปรตุเกส นั้นหมายถึงต้องเสียสละ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา โดยหลังจากการมาของ มูรินโญ่ นั้น ปอร์โต้กลับมาเป็นทีมกระหายชัยชนะ ดุดัน แข็งแกร่ง อีกครั้ง นั่นเป็นเพราะว่าเขาเข้าใจสิ่งที่แฟนบอลต้องการนั่นเอง
2. ถ้าพร้อมรับสิ่งที่แย่สุด คุณก็พร้อมรับกับทุกเรื่อง
เมื่อคุณไม่ได้เป็นทีมที่ดีที่สุด และไม่มีผู้เล่นดีที่สุด ในทัวร์นาเมนต์ ด้วยความสามารถในการอ่านเกมของ มูรินโญ่ นั้น ทำให้เขาคิดกลยุทธปลุกความทะเยอทะยานให้กับนักเตะของเขา ที่จะชนะ ซึ่งในฤดูกาล 2003/04 ปอร์โต้เข้าสู่รอบน็อกเอาท์ ท่ามกลางการจับฉลาก หลายคนคงพยายามภาวนาให้ทีมของตัวเองนั้น เจอทีมแข็งแกร่งน้อยสุดในบรรดาทั้งหมด แต่มูรินโญ่นั้นคิดแตกต่างกันออกไป ตัวเขานั้นบอกลูกทีม พร้อมทั้งแสดงความต้องการว่าอยากเจอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมแข็งแกร่งระดับต้นๆ ของสายนี้ ความจริงแล้ว การทำแบบนี้เป็นการทำให้นักเตะมีความทะเยอทะยานอยากเอาชนะ ถ้าเจอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขึ้นมาจริงๆ ทีมก็พร้อมเผชิญหน้า แต่ถ้าเจอทีมอื่นก็ยิ่งมั่นใจเข้าไปอีก
ในความจริงนั้น ปอร์โต้ พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สมดั่งที่ มูรินโญ่ หวังไว้จริงๆ เพราะฉะนั้นทีมของเขาก็พร้อมจะเจอยอดทีมของเกาะอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการเตรียมตัวของเขา คล้ายคลึงกับการประเมินแบบ Worst Case Scenario ที่พร้อมรับมือสถานการณ์ที่ย่ำแย่ แต่แตกต่างที่การสร้างความทะเยอทะยานนั่นเอง
3. กฎบางข้อต้องแหกบ้าง
ระหว่าง เชลซี พบ บาเยิร์น มิวนิค รอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เขาโดนแบนห้ามคุมทีมข้างสนาม แน่นอนว่าแม้แต่สนามก็ห้ามเข้า แต่เขาตัดสินใจแอบเข้ามาในห้องแต่งตัวเพื่อให้ขวัญกำลังใจลูกทีม พร้อมแก้เกมในช่วงพักครึ่ง จนทำให้เชลซีชนะไปได้ 4-2 ซึ่งเขาได้ฝ่าฝืนกฎของยูฟ่า อย่างชัดเจน และกรรมการสนามตัดสินใจมาตรวจสอบในห้องแต่งตัวพอดิบพอดี ทำให้เขาต้องหลบไปอยู่ในรถเข็นซักรีด เพื่อหลบนี้ออกไป
4. อย่าคุมผู้เล่น จงคุมทีม
“ถ้าคุณนักเตะดังๆไม่ได้ คุณก็คุมใครไม่ได้ทั้งนั้น”
ช่วงเวลาในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ของเขานั้น มีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์มากมายอยู่ในทีม ทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, อังเคิล ดิ มาเรีย, มาร์เซโล่, คาริม เบนเซม่า ฯลฯ หากคุณไม่สามารถคุมใครคนใดคนหนึ่งได้ การคุมทีมของคุณถือว่าล้มเหลว เมื่อนักเตะคนอื่นเห็นแบบนี้ ก็จะเอาแบบอย่างบ้างจนทำให้ทีม ไม่กลายเป็นทีมอีกต่อไป เพราะฉะนั้นในฐานะที่คุณเป็นผู้จัดการทีมนั้นต้องให้นักเตะทุกคนอยู่ภายใต้การนำของคุณ คอยรับฟัง และพร้อมเปลี่ยนกลยุทธวิธีการเล่นให้ตามที่คุณวางไว้ เพื่อหาทางออกที่ดีสุดให้กับทีมของคุณ
อย่างในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ โคปา เดล เรย์ ปี 2011 เขาได้นำ โรนัลโด้ ที่เล่นปีกมาตลอดในยุคนั้น ฉีกไปเล่นศูนย์หน้าตัวเป้าอย่างเต็มตัว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ โรนัลโด้ ลงมาไล่บอลกับดาเนียล อัลเวส แบ็กขวาจอมบุกของบาร์เซโลน่า จนไม่ได้โจมตีในแดนหน้า โดยมูรินโญ่ได้พูดเสริมจากเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “บางครั้งเราก็ต้องขยับหมากในเกมเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทีม” ซึ่งหลังจากการขยับหมากในครั้งนั้น ทำให้ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ไปด้วยสกอร์ 1-0
แม้ว่าจะเป็นเพียงกฎ 4 ข้อแบบคร่าวๆ จากการย่อยประเด็นในเรื่องทั้งหมด 6 ข้อ แต่ก็รับรองว่า สิ่งที่ผมได้นำมาเล่านี้ อาจทำให้เห็นภาพการนำทีม ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกลุ่ม หรือทำงานร่วมกับทีม ได้เป็นอย่างดี ถ้าเป็นไปได้ ผมจะพยายามสรุปประเด็นในซีรีย์ The Playbook ให้ครบทุกคน เพราะคิดว่ามันเป็นประโยชน์อันดีที่จะสรุปการเรียนรู้ของตัวเอง และน่าจะจุดประกายให้นำไปประยุกต์ใช้หากคุณได้เป็นผู้นำ
#ThePlayBook #Mourinho #Netflix #PonyJeeJud #โพนี่จี้จุด
โฆษณา