4 ก.พ. 2021 เวลา 13:35 • นิยาย เรื่องสั้น
#จันทร์เจ้าขาตอนพิเศษ,
#ที่มาตัวละครผู้กองหนุ่ม
(4/2/2021)
สวัสดีครับ เพื่อนๆ
จันทร์เจ้าขา ในวันนี้.. ยังคงเป็นตอนพิเศษ ของผู้กองหนุ่ม และนายแพทย์ชอว์ นะครับ
สุขสันต์วันพฤหัสนะครับ ทุกคน
..
..
บทที่1 ตอนที่ 11 ผู้กองหนุ่ม นายแพทย์ชอว์ และมะตีฮะ (3)
#ณ.บริเวณอาณาจักรโบราณแถบบริเวณเทือกเขาผีปั้นน้ำในวันและเวลาเดียวกันกับที่ผู้กองหนุ่มและคุณหมอชอว์พบกับร่างทรงพ่อปู่,
“หึหึ มะตีฮะน้อย นางสิงห์ตัวน้อย..”
สมิงไพรหนุ่มอมยิ้มเอ็นดู กับอาการน้อยใจของศิษย์รัก ..ก่อนที่จะหันหน้ากลับมาตะโกน และกวักมือเรียก มะตีฮะ น้อย ว่า..
..
..
“ถ้าเช่นนั้น .. เราจะทำพิธีด้วยกัน และเจ้าจงมานั่งอยู่ข้างหลัง อาจารย์โดยเร็วเถิด มะตีฮะน้อย..”
มะตีฮะยิ้มกว้างให้อาจารย์ พลางปาดน้ำตา วิ่งเข้ามาหาอาจารย์ตามคำสั่ง..
1
“ฮึก ฮึก มาในบัดนี้ แล้ว เจ้าค่ะ ฮึก..”
“ฮึบ..ฟู่วววว!!”
..
..
“อึ่กกกกก ”
สมิงไพรหนุ่มเสียหลัก..เซ
ไปข้างหน้า จนเกือบจะล้ม คะมำคว่ำหน้า..
ตามแรงกระโดดของมะตีฮะ ที่พุ่งตัวขึ้นมาเกาะนั่งอยู่บนหลังอย่างรวดเร็ว..
ราวกับเด็กเล่นขี่ม้าส่งเมือง
“เจ้า มะตีฮะะะะะะะ !!!!... “
“อาจารย์บอกเจ้าว่า อย่างไรกัน..ฮึ !?!..”
สมิงไพรหนุ่ม หลับตาลง พร้อมกับส่ายหัว ถอนหายใจแรง และร้องถามมะตีฮะ..
มะตีฮะ ยิ้มตาหยี พวงแก้มสีชมพูนั้น อัดแน่นด้วยความสุข..ขณะที่แขนข้างหนึ่งที่กอดคอ สมิงไพรหนุ่ม ผู้เป็นอาจารย์ไว้ อย่างหลวมๆ ..ส่วนแขนอีกข้างก็ขยับตั้งมือป้องปาก และตะโกนตอบคำถาม ด้วยเสียงใส ดังกังวาน ว่า..
“อาจารย์สั่งให้มะตีฮะน้อย
..มานั่งอยู่หลังอาจารย์ โดยเร็ว เจ้าค่ะะะ..
มะตีฮะ จึงรีบกระโดดขึ้นมานั่งโดยเร็ว เลย เจ้าค่ะ..
หรือเพราะ มะตีฮะน้อย มานั่งช้าไป รึเจ้าคะอาจารย์..
1
อาจารย์จึงทำเสียงเคร่งเครียดเช่นนั้น นะเจ้าคะ..”
สมิงไพรหนุ่ม ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อได้ฟังคำตอบจากศิษย์รัก..แล้วจึงพูด ต่อขึ้น ว่า
“มะตีฮะน้อย..อาจารย์ให้เจ้ามานั่งข้างหลัง..ไม่ใช่ให้เจ้ามานั่งหลังอาจารย์.. แบบนี้..”
มะตีฮะ พูดตอบแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใสว่า..
“แหะ แหะ เป็นเช่นนั้นเอง หรือเจ้าคะ อาจารย์..?!?
เดี๋ยวนี้อาจารย์เริ่มแก่ เริ่มปวดเมื่อยหลังบ่อยๆ.. จนให้มะตีฮะ ขี่หลังเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้.. แล้วสินะเจ้าคะ
ถึงต้องให้ มะตีฮะ ลงไปยืนที่ด้านหลังของอาจารย์.. น่ะเจ้าคะ..”
..
..
สมิงไพรหนุ่มส่ายหน้า แล้วสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ ว่า..
“ฮื่อออ.. ไม่ต้องลงให้เสียเวลา แล้ว มะตีฮะ..
ให้เจ้าอีกสิบคนมานั่งซ้อนกัน อาจารย์ก็ไหวอยู่แล้ว...
กอดคออาจารย์ให้ดี ก็แล้วกัน ..
อาจารย์จะเริ่มสวดพระคาถาอัญเชิญ คนธรรพ์ผู้รักษาประตูเข้าออกแดนบังบด..ให้มาสนทนา แล้วพาเราเข้าสู่สนธยากาล แห่งดินแดนเมืองบังบด ณ.บัดนี้แล้ว..”
มะตีฮะ พยักหน้า อมยิ้ม ฮัมเพลงประจำเผ่า และกอดกระชับแขน นั่งอยู่บนหลังอาจารย์ อย่างมีความสุข..
..
..
สมิงไพรหนุ่ม เริ่มสวดพระคาถา มนต์บังเมือง ได้ราวครึ่งเล่มเทียนไหม้..
บริเวณกองหินริมผาหน้าเบื้องหน้า ก็ค่อยๆขยับปรากฏร่าง เลือนลาง ของชายสูงวัยยืนนิ่งหลับตาอยู่..
ในมือของชายนั้น มีเครื่องดนตรี รูปร่างแปลกคล้ายพิณ แต่ก็ดูใหญ่กว่า ..มีสีคล้ายดั่งผลมะตูม และ ส่งเสียงอยู่ได้เอง โดยไม่ต้องดีด อย่างน่าประหลาด..
ทันใดนั้นเอง ชายสูงวัยก็ลืมตาขึ้นจับจ้องมาที่ศิษย์ ..อาจารย์ และ พูดขึ้นว่า..
“เหตุอันใด เจ้าสมิงไพรหนุ่ม และเจ้าลูกแมวน้อยเจ้าเล่ห์ ที่อยู่บนหลังนั้น .. ถึงมารบกวน ข้า ปัญจสิขเทพบุตร ด้วยการบทสวดมนต์บังเมือง ย้อนกลับ และสัญชีวนีมนต์ เช่นนี้นะ..”
มะตีฮะชักสีหน้าทันที เมื่อได้ยินคำเรียกตน ว่า “เจ้าลูกแมวน้อยเจ้าเล่ห์ ”
จึงพูดขัดขึ้นว่า..
“แมวน้อยเจ้าเล่ห์ ?!? เช่นนั้นรึ เจ้าคะ แหม่ๆ!!”
สมิงไพรหนุ่ม เขย่าตัวเบาๆปรามมะตีฮะ ก่อนที่ยกมือไหว้นมัสการปัญจสิขเทพบุตร..แล้วล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากในย่าม ..
และยื่นสิ่งนั้นไปข้างหน้า มอบถวายให้กับปัญจสิขเทพบุตร ..
เมื่อปัญจสิขเทพบุตร
มองเห็นสิ่งนั้น ..ก็อุทาน ขึ้นด้วยความตกใจ กับภาพที่ปรากฏตรงหน้า..
ด้วยว่าหน่อเล็กของมักกะลีผลนั้น เป็นของหายาก และล้ำค่า อย่างที่สุด
..เพราะหน่อเล็กเพียงเท่านี้ ก็สามารถให้กำเนิดมักกะลีผลสาวงามนับจำนวนไม่ถ้วน..ในภายภาคหน้า หากนำไปปลูกในเขตดินแดนเมืองบังบด..
ปัญจสิขเทพบุตรจึงเอ่ยถาม ด้วยความข้องใจว่า..
“หืม.. นี่มัน นี่มัน..
หน่อเล็กของมักกะลีผล ใช่หรือไม่..
แล้วเจ้าจะเอาสิ่งมีค่าหายาก ..เป็นที่ต้องการของเหล่าคนธรรพ์ทั้งปวง มาให้ข้า ด้วยเหตุใดกันหรือ พ่อสมิงไพรหนุ่ม..”
สมิงไพรหนุ่ม ยิ้มกว้าง อย่างซื่อๆ แล้วพูดตอบว่า
“ อาจารย์ข้า สอนว่า
ต้องรู้จักให้ก่อน.. แล้วจึงค่อยขอทีหลัง น่ะขอรับ..”
ปัญจสิขเทพบุตร พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วตอบว่า
“อาจารย์ของเจ้า สอนเจ้ามาอย่างดี..
ถ้าข้ารับของกำนัลของเจ้า แล้วเจ้าจะขอ สิ่งอันใดจากข้า เช่นนั้น รึ?”
สมิงไพรหนุ่ม ยิ้มกว้าง ดวงตาสดใส เป็นประกาย แล้วจึงตอบ ปัญจสิขเทพบุตร ว่า..
“กระผมใคร่ขอให้ท่านปัญจสิขเทพบุตร ช่วยนำทางกระผม และลูกศิษย์ เข้าสู่ประตูสนธยากาล แห่งดินแดนเมืองบังบด ณ.เทือกเขาผีปันน้ำ ..
เพื่อตามหามารดาของลูกศิษย์ของกระผม..ที่คาดว่าน่าจะพลัดหลงเข้ามายังดินแดนเมืองบังบด แห่งใดแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาใด เวลาหนึ่ง น่ะขอรับ..
ซึ่งประตูสนธยากาล ณ.เทือกเขาผีปันน้ำ นั้นเป็นที่ทราบกันดี ในหมู่คนธรรพ์ว่า..เป็นเหมือนประตูศูนย์กลางที่เชื่อมโยงกับทุกประตูเมืองของดินแดนเมืองบังหมดทุกแห่งไว้..
และท่านปัญจสิขเทพบุตรยังสามารถพาพวกเราเข้าไปในช่วงเวลาใดในอดีตของทั่วทั้งดินแดนนั้นได้ อีกด้วย..
กระผมจึงขอเมตตาท่านปัญจสิขเทพบุตรด้วยเถิดขอรับ..”
ปัญจสิขเทพบุตร ได้ฟังสมิงไพรหนุ่มร้องขอ ..จึงหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดตอบ ว่า..
“ฮะฮะ ฮะ อาจารย์ของเจ้าคงจะภูมิใจในลูกศิษย์ช่างเจรจาเช่นเจ้า มากแน่ๆ สมิงไพรหนุ่ม..
ด้วยว่าสิ่งกำนัลล้ำค่าของเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ข้าตามหามาช้านาน เพื่อจะนำไปปลูกไว้ให้กับเหล่ากองทหารคนธรรพ์ ของข้า..
และวันนี้ ก็ช่างเป็นวันฤกษ์ดี อย่างที่สุดในรอบหลายร้อยปี..
เพราะเพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าจะเริ่มบทสวดนั้น..
ก็มีชายหนุ่ม อดีตคนธรรพ์ชั้นสูงที่ถูกลงโทษ ให้ไปเกิดในสยาม พร้อมกับชายหนุ่มเชื้อสายนักรบอีกคนได้ถูกส่งดวงจิต ผ่านบทสวดโบราณ..
ให้ปรากฏออกจากทางประตูเมืองบังบดในเขตปากน้ำลำกะเพินริมเมืองกาญจนบุรี ..
เช่นนั้นแล้ว ข้าก็สามารถยอมรับของถวายของเจ้าได้
และจะกระทำตามประสงค์ที่เจ้าร้องขอ..ให้สำเร็จ”
ทันทีที่ ปัญจสิขเทพบุตรพูดจบ..สมิงไพรหนุ่มก็ยิ้มกว้าง พร้อมกับยกมือขึ้นประนมไหว้ และยื่นหน่อมักกะลีผลถวายแด่ ปัญจสิขเทพบุตร..
เมื่อปัญจสิขเทพบุตร รับไว้แล้ว..ก็ได้เดินนำสมิงไพรหนุ่ม และมะตีฮะ ไปยังบริเวณกองหินริมหน้าผา
..แล้ว กล่าวขึ้นว่า..
“มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะเตือนเจ้าว่า..
เมื่อเจ้าผ่านเข้าประตูสนธยากาลไปแล้วนั้น..
ยามที่เจ้ากลับออกมา..
เวลาบนโลกอาจจะผ่านไปเพียงชั่วยาม หรือ เป็นร้อยๆปี ..ก็คงจะเป็นไปแล้วแต่บุญวาสนาของเจ้า และลูกศิษย์ของเจ้า แล้วนะ..
หากเจ้าเตรียมใจรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้แล้ว..ก็ขอจงก้าวตามข้ามาเถิดสมิงไพรหนุ่ม..”
ปัญจสิขเทพบุตรพูดจบ ก็ก้าวออกจากหน้าผานั้น..
และร่วงหายไปต่อหน้า ต่อตา..
..
เมื่อสมิงไพรหนุ่มเห็นภาพเบื้องหน้านั้นแล้ว..
ก็ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากงามนั้นเล็กน้อย พลางเอียงศีรษะ หันไปพูดกับ มะตีฮะ ว่า..
“กอดอาจารย์ให้แน่นเถิด มะตีฮะน้อย..อาจารย์จะพาเจ้ากระโดดหน้าผาตาม..
ปัญจสิขเทพบุตร ในบัดนี้แล้ว ..หึหึ”
พูดเสร็จสมิงไพรหนุ่ม ก็รวบรวมแรง.. วิ่งกระโจนกระโดดตามออกไปจากหน้าผา ทันที..
มะตีฮะน้อยหลับตาปี๋ กอดคออาจารย์แน่น และร้องเสียงหลง ก้องดังทั่วหุบเขา
“อาาาาา...จารรรรรรย์!!!!!
ตายยยแล้ววววว...”
..
..
#ภายในตำหนักช้างพลายดำ,
ช่อมุนินทร์รีบแทรกตัวผ่านฝูงชนเข้ามาดู ร่างผู้กองหนุ่มและคุณหมอชอว์ ที่นอนแน่นิ่ง..ด้วยความเป็นห่วง..
ช่อมุนินทร์
“Will they die? วิลล์ เดยดาย นะเจ้าคะ..?!? “
ช่อมุนินทร์ เงยหน้าขึ้นถามร่างทรงพ่อปู่ ด้วยความร้อนใจ เมื่อพบว่า ร่างทั้งสอง หายใจรวยระริน คล้ายคนใกล้จะขาดใจ..
“ฮื่อออ..” เสียงลูกศิษย์ตัวน้อยส่งเสียงปราม ช่อมุนินทร์ ..ขณะที่ทำท่าส่ายหัวราวกับช้างตัวน้อย ..ส่งยิ้มหวานให้ช่อมุนินทร์..แล้วเอ่ยขึ้นต่อ ว่า..
“ฮื่อ ไม่เดียวดาย หรอกขอรับ คุณหนูช่อมุนินทร์ ฮื่อๆ..”
ทันใดนั้นเอง ร่างทรงพ่อปู่ค่อยๆ ดึงสาย บารากุ แล้วใช้แท่งสูบ เคาะเบาๆ เข้าที่หัวลูกศิษย์เอกอีกครั้ง เสียงดังกังวาน..
“ป๊องง !!!!..”
จากจึงหันไปยิ้มตาลอย และพูดเสียงอันดัง กับช่อมุนินทร์ว่า..
“หยังไม่ต๋าย นะ หยังไม่ต๋าย”
จากนั้นจึงหยิบแท่งบารากุนั้นขึ้นมาคาบ แล้วสูดเข้าไปปืดใหญ่ ราวสองปืดยาว..
แล้วหัวเราะเสียงดังยาวอย่างราวกับเสียงประทัดไหว้ศาล
“ฮะฮะฮะ ฮะฮะฮะๆๆๆๆ..”
แล้วค่อยๆเอนหงายหลังล้มนอนเสียงดังตึง ในท่าขัดสมาธิ..แน่นิ่งไป
..
..
“อาาาาา...จารรรรรรย์!!!!!
ต๋ายยยยยแล้วววววว ”
เหล่าสานุศิษย์ต่างตกใจร้องเสียงหลง..ก่อนที่จะกรูเข้ามาช่วยกันพยาบาล ร่างทรงพ่อปู่..กันอย่างรวดเร็ว
..
..
#ณ.ค่ายใหญ่ปากน้ำลำกะเพินริมเมืองกาญจนบุรีเหล่าทหารอาทมาฏสมัยอยุธยาในปีพุทธศักราช ๒๒๐๓,
“ฟึบบบบ..ฉึก!!! ”
เสียงลูกธนู ถูกยิงมาจากฝั่งพม่า..วิ่งผ่านแหวกอากาศ ..
แล้วจึงพุ่งลงมาปักที่พื้น ข้างๆ ร่างของผู้กองหนุ่ม..
ผู้กองหนุ่มในร่างของนาย
กองทหารอาทมาฏเวลานี้
จึงค่อยๆลุกขึ้นยืน พร้อมกับหยิบลูกธนู ดอกนั้นขึ้นมาสำรวจ..
ก็พบว่า ลูกธนูนั้นมีสาส์นผูกติดมา ..และเมื่อแกะออกอ่านดู ก็พบกับ ข้อความที่เขียนว่า..
“๑ลูกธนู มนต์เสี่ยง ทายนี้
•เป็นดั่งศร ปักฤดี จิตมุ่งหมาย
•ให้จงรู้ ว่าชีพเจ้า
จักวางวาย,
•มอบถวาย ให้ข้าเจ้า เข้าพิธี..
๒ข้าจักไป ปลิดชีพ
เชือดชิ้นเจ้า
•จ้วงแทงเข้า หั่นสับ
สลับสี
•แดงคือเลือด ขาวกระดูก
ดำคือดี
•เครื่องสังเวย เสี่ยงทายนี้
เป็นของข้า..
ลงชื่อ นัตมินเล..”
รอยยิ้มบาง แต่คงไว้ซึ่งความทรนงของผู้กองหนุ่ม ฉาบด้วยแสงอาทิตย์ใกล้อัสดง .. ยิ่งทำให้ ร่างนี้ดูเปี่ยมด้วยอำนาจบางอย่าง
และเมื่อผู้กองหนุ่มหยิบลูกธนูนั้น กรีดเข้าที่ปลายนิ้ว..
แล้วนำขึ้นมาเขียนตอบด้วยเลือด ว่า.
“ก..ก..กลัว ที่ไหน..
หรือขอรับ
ฟ..ฟากโน้น โปรดเตรียมรับ คืนสนอง..
ธนูนี้ ยิงจากใจ ไม่ต้องมอง
ไมตรีน้อง พี่ขอส่ง
คืนขอรับ..
1
ลงชื่อ แบน”
ยิ่งทำให้ร่างของผู้กองหนุ่มนั้น ดูคล้ายกับผู้มีตบะ อาคมชั้นสูง..
และแวบหนึ่ง ก็มีแสงสว่างวูบขึ้น ปรากฏในข้อความ เหมือนดั่งเป็นการลงนามด้วย อักษรโลหิต ในสัญญาของบรรดาเหล่าจอมขมังเวทย์..ที่นิยมใช้กัน
“ลงนามด้วยโลหิต คล้ายตอบรับ ลงนามคำสัญญา สาบานเช่นนี้..มันจะดีหรือ ขอรับ ผู้กอง ..”
คุณหมอชอว์ เอ่ยทักด้วยความเป็นห่วง
ผู้กองหนุ่ม หันมายิ้มตอบ แล้วพูดขึ้นว่า
“แต่ถ้ากระผมยิงธนูนี้กลับคืนไป ..แล้วปลิดชีพคู่สัญญาในทันทีเลย ล่ะขอรับ
แบบนี้จะยังนับว่า เหลือคู่สัญญาอีกหรือไม่ นะขอรับ.. คุณหมอชอว์..”
ผู้กองหนุ่มพูดเสร็จ จึงก้มลงหยิบคันธนู พร้อมกับผูกมัดสาส์นเล็กนั้น ติดให้แน่น..
แล้วตั้งท่าโก่งคันศร ..
หรี่ตามองหาแสงสะท้อนจากเครื่องประดับ ทางฝั่งพม่า..
และเมื่อผู้กองหนุ่มเห็นแสงสะท้อนเล็กๆนั้น.. ผู้กองหนุ่มก็หลับตา แล้วปล่อยสายคันศรอย่างประณีตบรรจง.. ให้ลูกธนู วิ่งพุ่งฝ่ามวลอากาศ.. คืนกลับไปยังตำแหน่งนั้นทันที
..
..
“ฟิ้วววว”
“ฟุบบบ”
“ฉึกกกกก”
เมื่อสิ้นเสียง..ธนูนั้นก็ปักลงตรงกลางหัวใจของร่างทรงนัตในกองทหารพม่า..ในทันที
หลังจากนั้นก็มีเสียงร้อง ดังก้องทั่วบริเวณปากน้ำ ว่า
“ส่าหย่า แกว่ หลู่นน์
(แปล)
อาาาาา...จารรรรรรย์!!!!!
ต๋ายยยยยแล้วววววว ”
..
..
จบบทที่ 1 ตอนที่ 11
#เกร็ดเพิ่มเติม
#เรื่องเล่าฤาษีชามและเมืองบังบด
เรื่องจริงที่เล่าขานกันมานานปีของเมืองตรังเรื่องหนึ่ง ในกลุ่มผู้ที่สนใจใคร่รู้ใคร่ศึกษาสายไสยศาสตร์ไสยเวทของแดนใต้ คือเรื่องราวชีวิตสุดพิสดารของคุณตาชาม สรรพจักร หรือฤาษีชาม เพราะว่ากันว่า ท่านเคยหายตัวเข้าไปในถ้ำ บนเขาเจ็ดยอด เมืองตรัง ถึง ๑๖ ปี จนผู้คนที่อยู่ด้านนอกถ้ำ คิดว่า ท่านคงจะเข้าถ้ำหายไปและคงตายคาถ้ำไปเสียแล้ว แต่เข้าไปตามหาในถ้ำเท่าไรก็หาไม่เจอ..
จนอยู่มาวันหนึ่ง ๑๖ ปีผันผ่านไป...ท่านเดินออกมาจากถ้ำแห่งนี้ ในรูปลักษณ์ที่ผิดแผกแปลกไป กล่าวคือ ผมและหนวดยาวถึงเท้าและมีวิชาไสยศาสตร์ไสยเวทติดตัวออกมามากมาย ท่านบอกว่า ไปเรียนจากเมืองบังบดมา
จนเป็นที่มาของคำเรียกท่านว่าฤๅษีชาม
ท่านได้เรื่องราวให้ชาวบ้านฟัง หลังจากท่านออกมาอยู่ตามปกติแล้ว วันหนึ่งมีคนธรรพ์ได้ตามท่านมาแล้วบอกว่าถ้าไม่อยากอยู่เมืองนู้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าท่านอยากจะเรียนวิชาอะไรก็ให้ไปนั่งในถ้ำเขาเจ็ดยอดแล้วอธิษฐานคาถาจะปรากฏฉายกับผนังถ้ำให้จดตำราเอา ตาชามก็ได้ไปเรียนวิชาจากผนังถ้ำที่ว่าจนมีวิชาแปลกๆ มากมาย รักษาโรคแปลกๆ คนถูกของถูกกระทำ กระทำศัตรู เสน่ห์ต่าง ฯลฯ จนเป็นที่โด่งดังในสมัยนั้น
พอวันสงกรานต์จะมีชาวบ้านมาสรงน้ำให้ท่านทุกปี ท่านนับถือพระพุทธกกุสันโทนับถือธาตุสี่แรงจากธรรมชาติพระอาทิตย์พระจันทร์กำลังวันและปฏิบัติตนเพื่อหวังรอพบศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย...ท่านเคยปั้นรูปเคารพไว้ในถ้ำรูปหนึ่งคล้ายพระพุทธเจ้า มีเม็ดพระศกห่มจีวร แต่เกศแบบฤๅษี บางคนถามท่านว่าเป็นใคร ท่านตอบว่าเป็นอาจารย์ใหญ่ของท่าน บางคนเล่าลือว่าเป็นพระกกุสันโธ (รูปปั้นปัจจุบันยังมีอยู่)
ก่อนท่านฤๅษีชามจะตาย ท่านได้สั่งเสียกับเมียท่านไว้ว่าถึงตัวท่านตายท่านก็ไม่ได้ไปไหน อยู่แถวๆ นี้แหละ...หลังจากท่านตายไปแล้วท่านเคยสั่งห้ามนิมนต์พระมาสวดศพท่าน แต่ลูกหลานก็ทำให้ไม่ได้และจัดพิธีศพอย่างคนทั่วไป แล้วเอากระดูกท่านมาไว้ในรูปเหมือนท่าน
..
..
สวัสดี และขอจบเพียงเท่านี้
ขอบคุณครับ
ร้อยเรียงจันทร์เจ้าขา
(T.Mon)
4/2/2021
ข้อมูลสนับสนุนส่วนหนึ่ง:
*คอลัมน์...  ตามรอย...ตำนานแผ่นดิน  โดย...  เอก อัคคี *

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา