Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สนทนากับคริสตัล
•
ติดตาม
10 ก.พ. 2021 เวลา 08:00 • หนังสือ
✴️ ระหว่างความตายและชีวิต บทที่ 1 ✴️
❇️ ประสบการณ์การตาย (ตอนที่ 1) ❇️
หน้า 1–6
ฉันได้ถูกกล่าวหาว่า พูดคุยและสื่อสารกับคนตาย ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามในแวดวงศาสนา ฉันไม่เคยคิดว่ามันเป็นแบบนั้น แต่ก็คงจริง เว้นแต่ว่าคนตายที่ฉันคุยด้วยนั้นไม่ได้ตายอีกแล้ว แต่ได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติอีกครั้ง เพราะอย่างที่เห็น ฉันคือนักสะกดจิตย้อนอดีต (Regressionist) นี่คือคำเรียกสำหรับนักสะกดจิตที่เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตผู้เข้ารับการสะกดจิตให้ย้อนไปยังอดีตชาติ และการค้นคว้าประวัติศาสตร์
มันยังเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน ที่จะยอมรับว่าฉันสามารถย้อนเวลาและพูดคุยกับคนที่กลับไปอยู่ในอดีตชาติอีกครั้งได้ ฉันทำความคุ้นเคยกับสิ่งนี้และพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าหลงใหล ฉันได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่มที่บรรยายถึงการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นนี้ของฉัน
สำหรับนักสะกดจิตบำบัด (Hypnotherapist) หลายคน อดีตชาติถือเป็นเรื่องต้องห้าม ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ไม่รู้ว่าพวกเขากลัวสิ่งที่จะพบ หรือแค่อยากที่จะเกาะติดอยู่ในสถานการณ์ที่คุ้นเคยที่พวกเขามั่นใจว่าสามารถจัดการได้ หนึ่งในนักบำบัดที่ว่าเผยกับฉันเหมือนดังว่าเขาได้ค้นพบอะไรที่สำคัญ “ผมได้ลองการสะกดจิตย้อนอดีต ผมเคยพาคนคนหนึ่งกลับไปตอนที่เขาเป็นเด็กทารก”
เขาจริงจังมาก มันแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับฉันที่จะกลั้นหัวเราะ และตอบว่า “เหรอ? นั่นเป็นเพียงแค่ 'จุดเริ่มต้น' ของฉันเท่านั้นเอง”
แม้กระทั่งในหมู่นักสะกดจิตย้อนอดีตด้วยกันที่ใช้อดีตชาติเป็นเครื่องมือบำบัด ฉันพบว่ามีหลายคนที่กลัวการพาผู้เข้ารับการสะกดจิตผ่านประสบการณ์การตาย หรือเข้าไปในช่องว่างระหว่างชีวิตที่บุคคลผู้นั้นกำลัง “ตาย” อยู่
พวกเขากลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้เข้ารับการสะกดจิตที่กำลังอยู่ใน 'ทรานซ์' (Trance หรือ ทรานซ์ หมายถึง สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ที่มีลักษณะไม่ตอบสนองต่อสิ่งภายนอก โดยมักจะเกิดขึ้นจากการสะกดจิต หรือการทำสมาธิ★) หรืออาจมีผลเสียจากการที่ต้องเผชิญกับความทรงจำนั้นอีกครั้ง โดยเฉพาะถ้าเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ
★การทำสมาธิต้องเข้าถึงสภาวะฌานเท่านั้น ถึงจะเท่ากับสภาวะทรานซ์
—แอดมิน—
หลังจากที่ฉันได้มีประสบการณ์นี้กับผู้เข้ารับการสะกดจิตหลายพันคน ฉันรู้ว่ามันจะไม่มีปัญหาทางร่างกายใดๆ ถึงแม้บุคคลที่ย้อนกลับไปนั้นจะเสียชีวิตอย่างโหดร้ายก็ตาม แน่นอนว่าฉันระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อร่างกายของบุคคลผู้นั้น ความปลอดภัยของผู้เข้ารับการสะกดจิตของฉันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเสมอ ฉันรู้สึกว่าเทคนิคของฉันสามารถปกป้องผู้เข้ารับการสะกดจิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่อย่างนั้น ฉันคงไม่ใช้วิธีการนี้ในการค้นคว้าอย่างแน่นอน
สำหรับฉัน 'โลกที่อยู่ระหว่างชีวิต' หรือที่เรียกว่าสภาวะการ “ตาย” นั้น เป็นขอบเขตการดำรงอยู่ที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ เพราะฉันเชื่อว่ามีข้อมูลมากมายที่สามารถเรียนรู้ได้จากที่นั่น ข้อมูลที่สามารถนำมาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งให้กับมนุษยชาติ
ฉันเชื่อว่า คนจะสามารถตระหนักได้ว่า ความตายไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว และเมื่อเวลานั้นมาถึงในชีวิตของพวกเขา พวกเขาจะสามารถเห็นได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่พวกเขาคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนต่างก็เคยผ่านมาแล้วหลายครั้ง ในสถานที่ที่หลายคนเรียกว่า “บ้าน”
ฉันหวังว่ามนุษย์จะสามารถเรียนรู้ที่จะเห็นการเกิดและการตายเป็นวงจรแห่งวิวัฒนาการที่แต่ละคนต้องเผชิญอย่างนับครั้งไม่ถ้วน และเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของวิญญาณตามธรรมชาติ โดยหลังจากความตาย เราจะมีชีวิตและประสบการณ์อยู่อีกโลกหนึ่งที่มีอยู่จริงไม่ต่างจากโลกวัตถุ (Physical World) ที่เราเห็นอยู่นี้ ซึ่งมันอาจจะมีความเป็นจริงมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ครั้งหนึ่ง ฉันได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถือว่าตนเอง “รู้แจ้ง” ฉันพยายามจะอธิบายสิ่งที่ฉันค้นพบ และบอกเธอว่าฉันค้นคว้าเกี่ยวกับความตาย และสถานที่หลังจากความตาย เธอถามอย่างตื่นเต้นว่า “คุณไปที่ไหน... สวรรค์ นรก หรือสถานที่ ล้างบาป?”
ฉันรู้สึกผิดหวังมาก ถ้ามีแต่สถานที่เหล่านี้เท่านั้นที่ความคิดของเธอจะรับได้ แน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้รู้แจ้งเหมือนอย่างที่เธอคิด
ฉันตอบด้วยความฉุนเฉียวว่า “ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ”
เธอตกใจ “หมายความว่าเราจะอยู่ในดินไปตลอดเลยเหรอ?”
ฉันจึงตระหนักได้ว่า การจะเขียนหนังสือเล่มนี้ ฉันต้องย้อนกลับไปตอนที่ประตูได้เปิดออกเป็นครั้งแรก และพยายามจดจำความคิด และความเชื่อในตอนนั้น ก่อนที่แสงสว่างจะส่องเข้ามา นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเรื่องที่จำเป็น ถ้าฉันจะเข้าใจคนที่ยังอยู่ระหว่างการค้นหาประตู และแสงสว่างนั้น เพื่อที่ฉันจะสามารถพูดกับพวกเขาในแนวทางที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ และค่อยๆพยายามพาพวกเขาไปสู่เส้นทางแห่งการตื่นรู้ เพื่อที่จะทำให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่กลัวว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
สำหรับคนหลายคน คำว่า “ตาย” เป็นเหมือนคำต้องห้าม คำที่สิ้นหวัง ไม่มีทางออก มืดมน ลึกลับ และสับสน เพราะมันแสดงถึงการตัดขาดจากโลกวัตถุนี้ ซึ่งเป็นโลกเดียวที่พวกเขารู้จักว่ามีอยู่จริง
เหมือนกับหลายๆอย่างในชีวิต เรื่องของความ ตายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ เต็มไปด้วยความลึกลับ ความเชื่อ ความงมงาย และเรื่องน่ากลัว แต่ทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญในท้ายที่สุด แม้ว่าเราอยากจะปิดกั้นไว้ และไม่อยากคิดถึงมันก็ตาม เรารู้ว่าร่างกายนี้มีเวลาจำกัด และต้องตายในที่สุด
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ? แล้วอุปนิสัยที่เรานับว่าเป็นตัวเราจะหายไปกับร่างกายเปลือกนอกนี้หรือเปล่า? ชีวิตนี้คือทุกอย่างหรือเปล่า? หรือมันมีอะไรมากกว่านี้ อะไรบางอย่างที่เหนือกว่า และสวยงามกว่าสิ่งที่เราเรียกว่าชีวิตหรือเปล่า? หรือว่าโบสถ์จะพูดถูกที่สอนเกี่ยวกับสวรรค์สำหรับคนดี และนรกสำหรับคนเลว?
ด้วยความขี้สงสัยของฉัน ฉันจึงได้ตามหาคำตอบของเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด และก็เชื่อว่ามีหลายคนที่มีความรู้สึกกระหายในความรู้เหล่านี้เช่นกัน มันคงทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ถ้าเราสามารถใช้ชีวิตของเราด้วยความสุขและความรัก โดยที่ไม่ต้องหวาดกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด
ตอนที่ฉันเริ่มทำการค้นคว้าด้วยการสะกดจิตย้อนอดีต ฉันไม่รู้เลยว่าจะได้พบกับคำตอบของคำถามเหล่านี้หรือไม่ แต่ด้วยความสนใจในประวัติศาสตร์ ฉันสนุกกับการย้อนเวลากลับไปคุยกับคนในยุคต่างๆ ฉันสนุกกับการได้ไปอยู่ในช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อีกครั้ง และมองสิ่งต่างๆผ่านมุมมองของพวกเขา
ในขณะที่พวกเขาระลึกอดีตชาติของตัวเอง ฉันอยากจะเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับมุมมองของพวกเขาในช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ เพราะแต่ละคนเล่าเรื่องที่ยืนยันเรื่องราวของอีกคนอย่างไม่รู้ตัวระหว่างที่อยู่ในทรานซ์ มันมีแบบแผนที่ฉันไม่คิดว่าจะเจอ แต่แล้วก็มีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ซึ่งได้เปิดประตูพาฉันไปสู่โลกใหม่ของการสำรวจ ฉันค้นพบ 'ช่องว่างระหว่างชีวิต' ในสภาวะที่เรียกว่า “ตาย” สถานที่ที่คนไปหลังจากที่ออกจากชีวิตในโลกนี้
ฉันยังจำครั้งแรกที่ฉันได้ก้าวเดินผ่านเข้าประตู และคุยกับคน “ตาย” เป็นครั้งแรกได้ มันคือช่วงระหว่างการสะกดจิตย้อนไปอดีตชาติ และตอนที่บุคคลผู้นั้น “เสียชีวิต” มันเกิดขึ้นเร็วและทันทีจนไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อจากนี้ถ้ามีใครเผชิญกับประสบการณ์การตาย
แต่อย่างที่บอก มันเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่สามารถหยุดได้ทัน บุคคลผู้นั้นมองดูร่างกายของตัวเองและบอกว่ามันดูเหมือนศพทั่วไป ฉันแปลกใจที่อุปนิสัยของบุคคลผู้นั้นยังอยู่ครบถ้วน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะนี่คือสิ่งที่คนหวาดกลัวกันว่าประสบการณ์การตายจะเปลี่ยนพวกเขา หรือคนที่พวกเขารักให้กลายเป็นอย่างอื่นที่แปลกประหลาด หรือไม่รู้จักอีกต่อไป และนี่ก็เป็นความหวาดกลัวที่มีต่อสิ่งที่ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นทำไมเราถึงกลัวผีและวิญญาณล่ะ?
เราคิดว่ากระบวนการของการตายอาจจะเปลี่ยนพวกเขาจากคนที่เรารักเป็นอะไรที่เลวร้ายหรือน่าหวาดกลัว แต่ฉันได้ค้นพบว่า อุปนิสัยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้ว่าบางครั้งจะมีช่วงเวลาของความสับสน แต่อุปนิสัยจะยังคงอยู่เหมือนเดิม
เมื่อฉันสามารถเอาชนะความตกใจ และความประหลาดใจที่สามารถคุยกับคนที่ตายไปแล้วได้ ความสงสัยก็เริ่มครอบงำฉัน จากนั้นก็เต็มไปด้วยคำถามที่สงสัยมาตลอด ตั้งแต่ตอนนั้นมา ทุกครั้งที่ฉันพบกับผู้รับการสะกดจิตที่เข้าลึกพอสำหรับการค้นคว้านี้ ฉันจะถามคำถามเดิมซ้ำๆ กับหลายๆคน ทำให้พบว่าความเชื่อทางศาสนาไม่มีผลต่อสิ่งที่พวกเขารายงาน ซึ่งคำตอบจะเหมือนกันทุกครั้ง แม้ว่าการใช้คำจะต่างกัน พวกเขาทุกคนพูดเหมือนกัน ซึ่งก็ถือเป็นปรากฏการณ์ในตัวมันเอง
ตั้งแต่ที่ฉันเริ่มงานนี้ในปี ค.ศ. 1979 ฉันได้พาคนหลายร้อยหลายพันคนผ่านประสบการณ์การตายในหลากหลายรูปแบบ ทั้งประสบอุบัติเหตุ ถูกยิง ถูกแทง ถูกเผา ถูกแขวนคอ ถูกตัดหัว จมน้ำ และครั้งหนึ่งโดยระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งฉันได้รายงานอยู่ในหนังสือชื่อ A Soul Remembers Hiroshima รวมไปถึงการเสียชีวิตโดยหัวใจวาย การป่วย โรคชรา และอย่างสงบบนเตียง
แม้ว่าจะมีการตายที่หลากหลาย แต่ก็มีรูปแบบที่ชัดเจน สาเหตุการตายอาจจะต่างกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเหมือนเดิมทุกครั้ง ฉันจึงสรุปได้ว่า ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวความตาย เรารู้ภายในจิตใต้สำนึกอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น และมีอะไรอยู่ที่นั่น ซึ่งเราก็ควรจะรู้ เพราะได้ผ่านมันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ฉะนั้น จากการศึกษาความตาย ฉันได้พบกับความน่ายินดีของชีวิต มันช่างห่างไกลจากเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวนัก แต่เป็นเรื่องของอีกโลกหนึ่งที่น่าอัศจรรย์ ใจเป็นที่สุด
สิ่งที่มาพร้อมกับความตายคือ 'ปัญญา' มีบางอย่างเกิดขึ้นหลังจากการละทิ้งร่างกายที่ทำให้ความรู้ในมิติใหม่ตื่นขึ้นมา เหมือนว่ามนุษย์จะถูกจำกัด และปิดกั้นในขณะที่อยู่ในร่างกาย แต่อุปนิสัย หรือวิญญาณที่คงอยู่ต่อไปจะไม่ถูกจำกัดในลักษณะนี้ และสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมายเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ทำให้เวลาที่ฉันคุยกับคนเหล่านี้หลังจากที่พวกเขา “ตาย” ฉันได้คำตอบของคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจของมนุษยชาติมาเป็นเวลายาวนาน
สิ่งที่จิตวิญญาณตอบจะขึ้นอยู่กับระดับ พัฒนาการของจิตวิญญาณนั้นๆ บางจิตวิญญาณจะมีความรู้มากกว่า และสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน เพื่อให้มนุษย์โลกอย่างพวกเราเข้าใจได้ง่ายขึ้น ฉันจะพยายามบรรยายสิ่งที่พวกเขาได้เผชิญ โดยให้พวกเขาพูดจากมุมมองของตัวเอง หนังสือเล่มนี้ จึงเป็นการรวบรวมข้อมูลจากสิ่งที่หลายคนได้รายงานไว้
(มีต่อ)
facebook.com
Seed of Love Publishing
Seed of Love Publishing. 294 likes · 85 talking about this. สำนักพิมพ์ Seed of Love ตีพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแปลไทย หมวดหมู่ New Age อภิปรัชญา และจิตวิญญาณ
เยี่ยมชม
บันทึก
2
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
หนังสือระหว่างความตายและชีวิต
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย