Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกของหมาอ้วน
•
ติดตาม
17 ก.พ. 2021 เวลา 08:35 • ครอบครัว & เด็ก
บันทึกของหมาอ้วน ตอนที่ 10 : กลับบ้าน
ภาพของชายหญิงคู่หนึ่งกอดกันกลม ตรงบริเวณที่พักผู้โดยสารฝั่งขาออกของสนามบินนานาชาติดอนเมือง สนามบินนานาชาติแห่งเดียวของประเทศไทยในขณะนั้น ใช่แล้วชายหญิงคู่นั้นคือพ่อกับแม่ของผม ทั้งคู่กำลังอยู่ในความเศร้า เตรียมตัวที่จะอยู่ห่างกันคนละทวีป อย่างที่ได้เล่าคือทั้งสองคนไม่ได้นั่งเครื่องบินมาเยอรมันพร้อมกันหรอก
ตอนที่ยื่นเอกสารขอวีซ่าเข้าประเทศเยอรมันนั้น ทั้งสองคนยื่นพร้อมกัน แต่เอกสารอยู่คนละซอง สามอาทิตย์หลังจากที่ยื่นเอกสารครบแล้วปรากฎว่าพ่อได้วีซ่าคนเดียว ส่วนของแม่ยังไม่มีเอกสารใด ๆ ส่งกลับมาจากเยอรมัน ทำให้พ่อต้องเดินทางเข้าเยอรมันก่อน ไม่ต้องเดาหรอกครับ แม่ร้องไห้ทุกวัน ในขณะที่ก็พ่อไม่ทำอะไรนอกจากไปเรียนแล้วก็กลับมานอนที่หอพัก ไม่ได้ไปเที่ยวไหน สามเดือนนี้มันน่าเบื่อยิ่งนัก ก็เป็นย่าเยอรมันเนี่ยแหละที่คอยช่วยตามเอกสารของแม่ให้ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกัน และไม่ได้เกี่ยวอะไรกัน แต่เธอเต็มใจช่วยอย่างสุดความสามารถ ในที่สุดเธอได้ข้อมูลว่าเอกสารวีซ่าของแม่นั้นได้ส่งออกจากเยอรมันไปในซองเดียวกันกับของพ่อ ซึ่งมันไม่เคยแยกออกจากกันเลย
พ่อได้นั่งเครื่องลำเดียวกับรองอันดับสองของ Deutschland sucht den Superstar season แรกด้วยนะ
อ้าวแล้วทำไมแม่ยังไม่ได้วีซ่า เรื่องมันมีอยู่ว่า เอกสารที่ส่งไปเยอรมันนั้น มันส่งเป็นสองซอง แต่ขากลับไปไทย เจ้าหน้าที่เยอรมันเห็นว่าเป็นสามีภรรยากัน ก็เลยส่งไปในซองเดียว (น่าจะเพื่อความประหยัด คนเยอรมันประหยัดมาก) ทีนี้ที่เมืองไทยตอนส่งไปส่งไปสอง ตอนกลับมาแค่หนึ่งซอง พอเห็นว่าจ่าหน้าถึงพ่อ ก็ทำเรื่องให้พ่อคนเดียว โดยที่ไม่ดูว่าในซองนั้นยังมีเอกสารของแม่อยู่ ฮึ
ย่าเยอรมันก็ช่วยให้ข้อมูลได้แค่นั้น ถ้าจำไม่ผิดเธอต้องออกเดินทางช่วงคริสต์มาส แม่พยายามติดต่อสถานฑูต แต่ไม่เป็นผล เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องของเราไม่รับรู้รับทราบอะไรทั้งสิ้น เธอทำแค่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย พ่อทนไม่ได้ต้องโทรไปที่สถานฑูตเยอรมัน แล้วโวยวาย ๆ อยู่พักใหญ่ จนเรื่องมันจบที่พ่อขอคุยกับเจ้านายของเจ้าหน้าที่คนนั้น ซึ่งหัวหน้าเธอเป็นคนเยอรมัน มีเรื่องขำ ๆ ที่พ่อไม่มีวันลืม คือเจ้าหน้าที่คนเนี้ย เป็นเบอร์หนึ่งของแผนก หลังจากแนะนำตัวคำถามแรกที่พ่อถามเขา ก็คือคุณพูดอังกฤษได้ไหม ท่านตอบกลับมาว่า ได้หมด อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น จีนก็ได้นะ ยกเว้นภาษาไทย แล้วก็หัวเราะชอบใจใหญ่ เป็นอันว่าใช้ภาษาอังกฤษพูดกัน (ไม่รู้เข้าใจกันได้อย่างไร ภาษาอังกฤษของอดีตนักเรียนอังกฤษอย่างพ่อ งู ๆ ปลา ๆ มาก) ในที่สุดเรื่องก็เรียบร้อย เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นก็ถูกสั่งให้เรียกแม่ไปรับวีซ่าในวันรุ่งขึ้น เรื่องไม่ได้จบแค่วีซ่านะ กว่าแม่จะได้เจอกับพ่ออุปสรรคเยอะจริง ๆ
กลับมาที่เรื่องของผมต่อ ในวันที่ผมได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้
รถญี่ปุ่นคันโตที่ขับโดยย่าเยอรมันพาเราสามคนกลับสู่บ้านอันแสนสุขอีกครั้ง กว่าจะได้กลับผมต้องแต่งตัวอย่างรัดกุมมาก ๆ ก่อนจะถูกจับนอนลงในกระเป๋าแคบ ๆ ซึ่งในตอนนั้นก็ยังดูว่าใหญ่โตเกินไปสำหรับผม กระเป๋าใบนี้พ่อกับแม่ได้ซื้อไว้ก่อนผมเกิดประมาณอาทิตย์กว่า ๆ ถึงใบจะเล็กแต่ราคาก็สูงมากถึง 59 ยูโรเชียว ทั้ง ๆ ที่เป็นยี่ห้อธรรมดานะ ยี่ห้อนี้เป็นยี่ห้อยอดนิยมเพราะราคาถูกคุณภาพปานกลาง ซึ่งถ้าเป็นของที่ดีกว่านี้หรือยี่ห้อที่คนมีเงินใช้กันก็จะราคาสูงขึ้นไปอีกเท่าตัว พูดถึงกระเป๋าใบนี้ พ่อและแม่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะได้มันมา ไม่ว่าจะเข้าไปประมูล ebay หรือไปเดินหาตามร้านค้าทั่วไป กว่าจะได้ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ทีเดียว
การแต่งตัวเพื่อออกไปสู่โลกภายนอกของผมนั้น นอกจากกระเป๋าแล้ว ผมจะต้องมีหมวกที่ปิดหูได้และหนาพอที่จะป้องกันผมจากความหนาว เรื่องหมวกนี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พ่อและแม่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ เพราะว่าของสำหรับเด็กที่นี่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะทำไว้เพื่อคนที่ตัวโตกว่าผมทั้งนั้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วเด็กแรกเกิดทั่วโลกขนาดจะไม่ต่างกันมากนัก แต่ผมดันไปเกิดในกลุ่มตัวเล็กเอง ทำให้ไม่ว่าจะเป็นหมวกใบที่แม่กับพ่อเลือกซื้อมา เสื้อผ้าชั้นใน ผ้าอ้อมสำเร็จรูป รวมไปถึงเสื้อกันหนาวชั้นนอกก็จะใหญ่โตเกินไปสำหรับผมทั้งนั้น
เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่มีอยู่ตอนนั้นก็จะมีของย่ากับยายซึ่งส่งมาจากเมืองไทยที่ส่วนใหญ่นั้นใหญ่เกินไปสำหรับผมจริง ๆ สาเหตุก็เนื่องมากจากข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง เช่นเสื้อผ้าต้องหนา ทำให้ทางเลือกที่เมืองไทยมีไม่มากนัก เสื้อผ้าที่พอจะใส่ได้ก็จะเป็นของพี่ลูกครึ่งข้างบ้าน กับชุดที่น้อง ๆ นักเรียนไทยไปซื้อต่อจากเพื่อนอีกที (ที่เยอรมันการใช้ของมือสองเป็นเรื่องปกติมาก) ชุดเหล่านี้เล็กพอที่จะใส่แนบเนื้อผม และหลาย ๆ ตัวก็เป็นชุดเก่งเลยหล่ะ
การแต่งตัวออกจากบ้านของผมจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากดังนี้ ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ใส่ชุดในที่เรียกกันว่า body ใส่ชุดนอกซึ่งอาจจะเป็นชุดไม่มีแขน กรณีที่ body เป็นแขนยาว ชุดนอกนี้ถ้าจะให้ดีต้องเป็นชุดที่มีถุงเท้าในตัวและมีกระดุมที่ขากับก้น เพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูป ไม่ต้องถอดกางเกง สำหรับเมืองหนาวจะสะดวกมาก จากนั้นก็ใส่ถุงมือ ที่หนาพอสมควร จากนั้นใส่เสื้อกันหนาวชั้นนอก ใส่หมวก และใส่กระเป๋า กว่าจะเสร็จสำหรับพ่อแม่มือใหม่ก็กินเวลานานมาก ๆ บางทีกว่าจะได้ออกใช้เวลาเป็นชั่วโมง เนื่องจากความเป็นมือใหม่ของพ่อกับแม่ ทุกครั้งที่ผมร้องเนื่องจากไม่สบายเนื้อสบายตัว หรือโดนขัดใจบังคับให้ยัดแขนใส่โน่นใส่นี่ พ่อแม่ก็จะหยุดด้วยความกลัวและคิดว่าผมจะเจ็บ ใส่ ๆ หยุด ๆ บางทีก็นั่งดูขา แล้วบ่นว่าทำไมมันเล็กแบบนี้ กว่าจะเสร็จได้ก็กินเวลานานมาก
ในครั้งแรกของการเดินทางออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากย่าเยอรมันรออยู่ (ต้องไปทำงานต่อ ทิ้งงานมารับผมอย่างเดียว ย่าใจดีกับผมมาก ๆ) ก็ต้องรีบ ๆ ไม่สนหล่อ ชุดนอกที่พ่อซื้อให้นั้นใหญ่มาก ๆ ผลที่ได้จึงออกมาดังรูปข้างล่าง รูปบนคือตอนปกติเวลาอยู่ในห้อง รูปล่างคือพร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว
ชุดนอนชุดเที่ยวชุดเดียวกัน
ในที่สุด หมาอ้วนก็ได้กลับบ้านแล้ว บ้านบนถนน Barlachstrasse หมายเลข 8
บันทึก
5
4
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
บันทึกของหมาอ้วน
5
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย