20 ก.พ. 2021 เวลา 13:58 • สุขภาพ
หยุดติดหวานได้ด้วยใจอันเข้มแข็ง
ใครมีปัญหาติดขนม ติดความหวาน บ้างคะ หมายถึงรสชาติหวานนะคะ ถ้าติดความสัมพันธ์อันหวานชื่น ไม่ต้องลดค่ะ เพิ่มเข้าไปเยอะๆเลยค่ะ ดีต่อใจ 😆
ใครที่บอกว่าหยุดกินหวานได้ง่ายนิดเดียว ด้วย... อะไรก็ตามที่โฆษณาชวนเชื่อ เขาอาจกำลังหลอกคุณค่ะ
เอาล่ะใครติดหวาน 🙋‍♀️ ยกมือขึ้น แล้วตามมาทางนี้ค่ะ ปูเป้จะพาไปลดความหวานลง จนเลิกติดหวานไปเลย
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อน...
ทำไมนะ? ร่างกายของเราถึงได้เสพติดความหวานได้ง่ายขนาดนี้
เพราะน้ำตาลมีผลต่อสมองในส่วน “ให้รางวัล” (reward center) เช่นเดียวกับโคเคนและแอลกอฮอล์ เราจึงรู้สึกพึงพอใจและมีความสุข
ด้วยเหตุนี้เอง บางคนจึงยังคงรับประทานของหวานในปริมาณมาก แม้จะทราบดีว่าพฤติกรรมนี้มีผลเสียต่อสุขภาพก็ตาม
นอกจากนี้การไม่ได้รับประทานของหวานหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลยังอาจทำให้คนกลุ่มนี้เกิดอาการหงุดหงิด อยู่ไม่สุข คล้ายๆ กับอาการติดสารเสพย์ติดเลยทีเดียว
ความสุขชั่วคราวอย่างการรับประทานความหวานเข้าไปนั้น อาจก่อให้เกิดผลเสียถาวรต่อสุขภาพของเราได้ ที่เห็นได้ชัดคือ โรคเบาหวาน
เมื่อเกิดโรคเบาหวานแล้วต้องบอกลาของหวานทุกชนิดเลยล่ะค่ะ บางคนอาจต้องกินยา หรือต้องฉีดยาทุกมื้ออาหารเลยทีเดียว
วันนี้ปูเป้เลยจะมาชวนทุกคนลดความหวานกันค่ะ
ไม่ใช่วิธีการใช้สารให้ความหวานทดแทนนะคะ
เพราะถึงมันจะแคลอรี่ต่ำมากๆ แต่ไม่ได้ช่วยให้สมองและร่างกายของเราลดความโหยของหวานได้เลย
ปูเป้ถือว่าเป็นวิธีที่ไม่ยั่งยืนค่ะ ร่างกายจะติดความหวานเหมือนเดิม และอาจต้องการความหวานมากขึ้นเรื่อยๆ
เราลองมาแล้วมันไม่ได้ผล 🤩
วิธีที่ไม่ง่ายเลย แต่ถ้าทำได้แล้วจะช่วยลดอาการติดหวานได้อย่างยั่งยืนค่ะ
นั่นคือ การใช้สติ!!
2
ใช่ค่ะ ‘สติ’ เท่านั้นที่ช่วยให้ลดความหวานลงได้อย่างถาวร
เริ่มต้นที่การหันกลับมาพิจารณาว่าตัวเองติดหวานแค่ไหน
ช่วงเวลาไหนที่เกิดอาการหิวโหยความหวาน
ต้องจับขนมหวานยัดเข้าปากมากเป็นพิเศษ
อย่างของปูเป้จะเกิดความโหยของหวานเมื่อมีความเครียดที่จะต้องไปเข้าเวรดึก
พอรู้ทันร่างกายแล้ว
ตั้งเป้าไว้เลยค่ะ ท่องให้ขึ้นใจว่า ‘เราจะไม่ยอมแพ้ต่อความหิวโหยนี้ เราต้องชนะเพื่อสุขภาพที่ดี’
ปูเป้จะแนะนำให้สองวิธีค่ะ
1. การเปลี่ยนความหวานแบบค่อยเป็นค่อยไป
จากของหวานเป็นผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง แคนตาลูป หรือตระกูลเบอร์รี่
1
เลือกผลไม้ที่มีความหวานไม่มาก มีคุณค่าทางโภชนาการ มีวิตามิน ช่วยให้อิ่มท้อง และยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้ด้วยค่ะ
ช่วงแรกอาจจะยังรู้สึกว่ากินผลไม้เยอะเพราะกินทุกครั้งที่โหยของหวาน กินให้ร่างกายชินกับความหวานระดับเท่านี้ก่อนค่ะ
แล้วค่อยๆลดปริมาณลงเรื่อยๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป
2. หักดิบไปเมื่อใจแข็งพอ
เป็นวิธีที่ปูเป้ทำเองค่ะ ถามว่าได้ถึง 100% ไหม ตอบเลยว่า ไม่!!
มีความโหยแน่นอนค่ะ แต่มันดีกว่าวิถีเดิมๆ
ปูเป้ใช้วิธีหักดิบไปเลย ไม่กินของหวาน ไม่กินขนม ไม่กินผลไม้ อะไรก็ตามที่ให้ความหวานนั้นงดหมดเลยค่ะ
ปูเป้ทำได้แค่สองวันแบบเน้นๆ ไม่กินหวานใดๆเลย เมื่อรู้สึกโหยมากในวันที่ 3 ปูเป้เลือกกินผลไม้เข้าไปแทนในปริมาณหนึ่ง ให้พอดับกระหาย
แล้วเริ่มใหม่อีกไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที้โหยจะตั้งสติ!! และอัดน้ำเปล่าเยอะๆ เพราะนอกจากจะช่วยให้หนักท้องแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งอีกต่างหาก
ดูเหมือนง่าย แต่ถ้าใครเคยได้มาอยู่จุดนี้แล้วจะเข้าใจว่าไม่ง่ายเลย กับการต้องหยุดกินขนมหวาน แม้จะได้รับน้ำตาลจากผลไม้ก็ตามที
หลายคนอาจกำลังคิดว่า อะไรจะขนาดนั้น
ร่างกายคนเรายังต้องการน้ำตาลเพื่อมาเป็นพลังงานอยู่นะ
ถูกต้องค่ะ! องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ในหนึ่งวันควรได้รับน่ำตาลไม่เกิน 48 กรัม หรือ 12 ช้อนชา
1
แล้วทราบไหมคะว่าอาหารทั้งสามมื้อที่เรากินเข้าไปนั้นรวมๆแล้วมีน้ำตาลกี่ช้อนชา
ไม่ทราบใช่ไหมคะ? ปูเป้ก็ไม่ทราบค่ะ และแม่ค้าคงไม่ยอมบอกเราด้วย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงขนมหวานที่เรารู้ๆกันดีอยู่แล้วว่ามีน้ำตาลเกินระดับทัพพีแน่ๆจึงเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพมาก
และการไม่เติมน้ำตาลเพิ่มเข้าไปในอาหารก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ลดความเสี่ยงต่อการได้รับความหวานเกินที่ร่างกายต้องการด้วยค่ะ
น้ำตาลที่ร่างกายได้รับมากเกินไปก็จะถูกนำไปสะสมที่พุง ต้นแขน ต้นขา สะโพกนั่นเอง
ใครอยากหุ่นสวย สุขภาพดีก็ต้องเริ่มที่ใจ ใช้สติก่อนกินนะคะ
มาลดความหวานในอาหารด้วยกันนะคะ
ส่วนความหวานในใจน่ะ ไม่ต้องลดหรอกค่ะ
ยิ่งมากเท่าไหร่ ร่างกายยิ่งกระชุ่มกระชวยนะคะ 😆
Nursery เพราะสุขภาพดีเราสร้างได้
โฆษณา