20 ก.พ. 2021 เวลา 13:20 • ธุรกิจ
LVD101: โค้ชแบบโปรด้วย GROW Model #CoachingInActionSeries 3
สวัสดีครับทุกท่าน เผลอแปบเดียวเราก็ผ่านมาเกินครึ่งเดือนของเดือนกุมภาพันธุ์แล้วนะครับ สถานการณ์เรื่อง Covid-19 ก็อยู่กับเราต่อไป ยังดีที่ฝุ่น pm2.5 เริ่มจะเบาลงบ้าง อากาศเย็นๆก็ยังมีให้สัมผัส บางทีก็ทำให้จิตใจได้รับความสงบขึ้นได้เหมือนกัน หรือไม่ก็คงว้าวุ่นจากความฟุ้งซ่านของการอยากท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี คงจะดีมากถ้าเราแบ่งเวลาซักเล็กน้อยมาเรียนรู้ร่วมกันกับ LVD ครับ วันนี้ผมขอมาพูดคุยต่อกับ Coaching in Action Series ตอนที่ 3 ในตอนนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันต่อ โปรดติดตามครับ (สำหรับตอนแรกและตอนที่สอง ผมวาง link ไว้ตอนท้ายบทความ เผื่อท่านไหนสนใจครับ)
คือมันอย่างนี้ครับ...
ตอนแรกของซีรีย์ เราเรียนรู้กันว่าการโค้ชต่างกับการสอนอย่างไรไปแล้ว สำหรับตอนที่สอง ผมได้เล่าถึงเทคนิค 6 ข้อที่ใช้ในการโค้ชในที่ทำงาน ตอนนี้ผมจะมาพูดคุยการเจาะลงไปที่วิธีคิดหรือ Mindset ที่เราต้องมีระหว่างการโค้ช ซึ่งจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องใช้กับการโค้ชก็ได้นะครับ แต่ใช้ได้กับการพัฒนาตัวเองและทีมงานได้เช่นกัน แนวคิดที่ว่านี้เราเรียกว่า GROW Model
GROW Model คือ วิธีคิดที่ใช้ระหว่างการโค้ช ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวคนโค้ชเองไม่หลงประเด็น แน่นอนว่าถ้าตัวโค้ชเองออกทะเล โค้ชชี่ก็คงไปถึงกลางมหาสมุทรแน่นอน ดังนั้น แนวทางการโค้ชอย่างมีเป้าหมายและขั้นตอนจึงมีความสำคัญยิ่งยวดครับ แล้ว GROW Model ที่ว่าคืออะไร คำตอบคือ GROW มาจากตัวย่อของตัวอักษรนี่แหละครับ
G = Goal หรือเป้าหมาย
R = Reality และ Resource คือเข้าใจสถานการณ์และทรัพยากร
O = Option หรือทางเลือก
W = Will หรือแรงขับ
เรามาว่ากันไปทีละขั้นตอนเลยนะครับ
Goal หรือเป้าหมาย
สิ่งเริ่มแรกและสำคัญที่สุดของการโค้ช คือ การวางเป้าหมาย เพราะการวางเป้าหมายจะทำให้โค้ชและโค้ชชี่เห็นทิศทางที่จะเดินทางไปร่วมกัน โดยเริ่มต้นจากการสอบถามถึง คำถามหรือประเด็นที่อยากจะให้โค้ช เพื่อให้เห็น Scope ที่ชัดเจนร่วมกัน ไม่เช่นนั้นต่างคนต่างจะจะเข้าใจไปคนละทาง พาเดินไปคนละเรื่องได้ ซึ่งเป้าหมายร่วมกันของการโค้ชแต่ละครั้ง จะเป็นรากของการกระทำและคำถามที่โค้ชใช้ถามด้วย
แล้วหลังจากที่ได้เป้าหมายในการโค้ชร่วมกันแล้ว หน้าที่ของโค้ช คือ พาโค้ชชี่ค้นหาเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมของปัญหาของตัวโค้ชชี่เอง ผ่านขั้นตอนการทำงานของ GROW Model โดยเป้าหมายที่ดีต้องชัดเจนและจับต้องได้มากๆ โดยทั่วไปเราก็จะพูดถึงหลักการตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goal คือ
Specific = เจาะจง
Measurable = วัดผลได้
Achievable = เป็นไปได้
Realistic = อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง
TIme-bound = มีกรอบเวลาชัดเจน
ดังนั้น การโค้ชจึงให้ความสำคัญกับเป้าหมายมากๆ เราเริ่มด้วยการหาเป้าหมายของการโค้ชร่วมกัน และเดินทางด้วย GROW Model แล้วจบด้วยเป้าหมายที่เป็นนามธรรมของโค้ชชี่ที่จะได้กลับไปนั่นเอง
Reality หรือ Resource คือเข้าใจสถานการณ์และทรัพยากร
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ชัดๆก่อนว่า “เข้าใจสถานการณ์” แปลว่าอะไร โดยหลักการเบื้องต้นของการโค้ชนั้น เป้าหมายหลักคือ การพาโค้ชชี่จากจุด A ไปจุด B ดังนั้นในที่นี้ความ “เข้าใจสถานการณ์”​ จึงหมายถึงเข้าใจว่าความต่างระหว่างจุด A และจุด B เป็นอย่างไร หรือเข้าใจสถาวะที่แท้จริงในปัจจุบันและรู้ว่าถ้าอยากจะได้ตามเป้าหมายเรายังขาดอะไรอยู่นั่นเอง
การเข้าใจสถาณการณ์ปัจจุบัน เป็นเรื่องที่เหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายเลยโดยเฉพาะเวลาที่เรากำลังเป็นผู้เล่นอยู่ในปัญหานั่นๆเอง หน้าที่ของโค้ชคือ รับฟังเพื่อทำความเข้าใจและให้โค้ชชี่ทบทวน แล้วจึงใช้มุมมองของบุคคลที่สามช่วยโค้ชชี่ผ่านการใช้คำถาม ซึ่งจะทำให้โค้ชชี่เข้าใจสถานการณ์ได้ด้วยตนเอง ตัวอย่างคำถาม ก็เช่นการให้โค้ชชี่ประเมินตัวเองว่าถ้าเต็ม 100 ตอนนี้ได้เท่าไร แล้วถ้าอยากได้ 100 ต้องทำอะไร หรือคำถามเชิงเหตุผล เช่น ทำแบบนี้แล้วจะเป็นยังไงต่อ อย่าลืมว่าหน้าที่โค้ช คือ การช่วยให้โค้ชชี่เข้าใจได้เอง โดยที่โค้ชไม่ได้เป็นผู้บอกคำตอบ
นอกจากจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว การเดินทางจากจุด A ไป B ยังต้องทราบด้วยว่าเรามีทรัพยากรอะไร ซึ่งทรัพยากรที่ใช้ในการทำอะไรสักอย่าง ก็คงหนีไม่พ้น คน สิ่งของ เงิน ข้อมูล และเวลา ผมเองก็มีประสบการณ์ว่าคิดไม่ออกว่าจะถามอะไรต่อ หลังจากได้ข้อมูลจากโค้ชชี่ การยึดเรื่องทรัพยากรทั้ง 5 นี้มีประโยชน์มากๆสำหรับผม ทำให้เราสามารถขยายมุมมองผ่านคำถาม และพาโค้ชชี่ไปหาทรัพยากรหรือตัวช่วยของเขาได้ดีขึ้น
Option หรือทางเลือก
หลังจากมีเป้าหมายร่วมกัน และเข้าใจสถานการ์อย่างถ่องแท้แล้ว ต่อมาคือ การพิจารณทางเลือก ว่าเราสามารถดำเนินการอะไรได้บ้างเพื่อให้ไปถึงจุด B ได้ แนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการหาทางเลือกคือ ทางเลือกนั้นมีอยู่อย่างไม่จำกัด การหาทางเลือกจึงอาจจะไม่จำเป็นต้องจำกัดในกรอบ คำถามเช่น พอจะมีวิธีที่เหมือนว่าเป็นไปไม่ได้อยู่ไหม ก็อาจจะช่วยให้โค้ชชี่มีความคิดต่อทางเลือกที่กว้างขึ้น แนวทางคำถามในการหาทางเลือกที่แนะนำมีดังนี้ครับ
1. หาจากสิ่งที่ดีในอดีต “วิธีไหนที่เคยทำแล้วได้ผลดีบ้างครับ”
2. หาจากสิ่งที่ไม่เคยลอง “มีวิธีใหม่ที่ไม่เคยลองทำเลยไหมครับ”
3. ลองเอาหลายอย่างมารวมกัน “ถ้าทำ X กับ Y พร้อมกันจะได้ผลดีขึ้นไหมครับ”
4. คิดมุมกลับ “ถ้าลองคิดอีกด้าน คุณจะทำแบบไหนครับ”
5. กลับสู่พื้นฐาน “วิธีพื้นฐานที่ดีที่สุดคืออะไรครับ”
Will หรือแรงขับ
เมื่อเราได้ทางเลือกจากโค้ชชี่ตามเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกันแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบให้แน่ใจว่า โค้ชชี่มีแรงขับที่พร้อมจะเดินทางจากจุด A ไปจุด B ไหม ต้องเข้าใจว่าแรงขับไม่ใช่แรงบันดาลใจนะครับ ถ้าอยากสำเร็จเรารอแรงบันดาลใจไม่ได้ แรงขับต้องสร้างเอง และสร้างผ่านการวางแผนและเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม นั่นคือสิ่งที่ผมได้เกริ่นไว้ตอนแรกในหัวข้อ Goal คนเราทุกคนจะมีแรงขับได้ เราต้องภาพในใจที่ชัดเจน เรื่องทุกเรื่องที่สำเร็จมันจะเสร็จสองครั้งเสมอ ครั้งแรกคือในใจ ครั้งที่สองคือลงมือทำ ดังนั้นการวางเป้าหมายต่อไปแบบ Smart Goal จึงมีความสำคัญต่อการสร้างแรงขับของโค้ชชี่มากๆ
โค้ชชี่ต้องมีเป้าหมาย Smart ที่เขียนออกมาเป็นรูปประโยคได้จริงๆ แบบนี้
“ฉันจะทำ (อะไร) (ยังไง)​ ภายใน (เมื่อไร)​ เพื่อ (เป้าหมายอะไร)”
ย้ำนะครับว่าต้องเขียนออกมาจริงๆ ไม่ใช่แค่ให้คิดในใจ สิ่งที่ผ่านสมองคุณจนกลายเป็นตัวหนังสือ คือ สิ่งที่ผ่านการกลั่นกรองและยอมรับจากสมองของคุณแล้วครับ สุดท้ายต้องมีจุด Check point หรือติดตามผล เพื่อให้แน่ใจว่าเรามีการ monitor มากพอและถ้าโค้ชชี่จะหลุดเป้าหมายก็ไม่ไปไหลเกินไป นอกจากนี้การตั้งเป้าดำเนินการต่อก็ไม่ควรใหญ่ไปจนไม่ชัดเจน ต้องเล็กและทำได้แต่ท้าทายจะช่วยให้ will power ของเราดีขึ้นครับ
ผมเองใช้ GROW Model อยู่ตลอดเท่าที่มีสตินึกได้ และผมเห็นว่าเรื่องที่คุณรู้อยู่แล้วเหล่านี้มันมีประโยชน์จริงๆถ้าเอามาใช้จริง ก็อยากให้ทุกท่านลองศึกษาดู จะได้มีขั้นตอนในการเดินทางจากจุด A ไปจุด B กันนะครับ
สำหรับ Coaching in Action Series ผมจะขอทำเนื้อหาแบบนี้เกี่ยวกับการโค้ชต่อไปเดือนละครั้งครับ สำหรับท่านที่สนใจสามารถติดตามย้อนหลัง 2 ตอนแรกได้ตามด้านล่างครับ
LVD96: โค้ชชิ่งกับการสอนงานต่างกันยังไง #CoachingInActionSeries 1
LVD97: ทักษะโค้ชชิ่งในที่ทำงานที่ทำได้ทันที #CoachingInActionSeries 2
Happy Learning
ขอบคุณครับ
ชัชฤทธิ์
ฝากก่อนจบ
สำหรับท่านสนใจศาสตร์ของการโค้ช หรืออยากลองรับการโค้ช สามารถติดต่อผมได้ผ่าน inbox ครับ เพื่อรับการโค้ชจากผมโดยตรงเป็นเวลา 1 ชั่วโมงตามหลักการและจรรยาบรรณการโค้ชที่เป็นสากล โดยมีค่าใช้จ่ายที่ 199 บาทต่อครั้ง (รายได้ทั้งหมดหักค่าใช้จ่ายจะใช้เพื่อการกุศลทั้งหมด)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา