5 มี.ค. 2021 เวลา 01:30 • ธุรกิจ
คราวนี้ Career Fact จะมานำเสนอเรื่องราวของ ‘พี่ญาดา’ ปิยะจอมขวัญ ผู้ร่วมก่อตั้ง Ajaib สตาร์ตอัปแพลตฟอร์มการลงทุน ดีกรีโครงการ Y Combinator ผู้อยู่เบื้องหลัง Dropbox และ Airbnb ที่อัตราผ่านการคัดเลือกอยู่ที่ 1%
เส้นทางสตาร์ตอัปของเธอจะน่าสนุกแค่ไหน? เคล็ดลับความสำเร็จของเธอคืออะไร? ติดตามได้ที่นี่
#หัวธุรกิจตั้งแต่วัยเรียน
พี่ญาดาบอกกับเราว่าเธออยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่เด็กๆ แล้ว วันหยุดเสาร์-อาทิตย์แทนที่เจอจะเลือกการพักผ่อน เธอกลับเลือกที่จะออกไปช่วยคุณพ่อขายของ พอขึ้นมัธยมก็เริ่มทำขนมเพื่อไปขายตามตลาดนัด
เหตุผลที่เธอลงทุนทำทุกอย่างเองนั้นเป็นเพราะเธอชื่นชอบการที่ได้อธิบายโปรดักต์ของเธอให้ลูกค้าฟังและรู้สึกดีที่มีคนซื้อผลงานที่ตัวเองตั้งใจทำ
เมื่อพบแล้วว่าความชอบของตัวเองคือการทำธุรกิจประกอบกับช่วงม.4 มีโอกาสได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศออสเตรเลียเธอจึงมีความฝันเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างคือการได้เรียนต่อและทำงานที่ต่างประเทศพอถึงเวลาต้องเลือกคณะ ก็มาจบที่คณะ BBA หรือบัญชีภาคอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
#จุดเปลี่ยนมุมมองการทำธุรกิจ
หลังเรียนจบปริญญาตรี งานแรกของพี่ญาดาคือที่ปรึกษาทางธุรกิจที่ McKinsey
ซึ่งเป็นงานที่ตรงกับนิสัยส่วนตัวของเธอ นั่นคือการพบปะพูดคุยกับลูกค้าเพื่อช่วยสอบถามและแก้ปัญหา
ทั้งยังเป็นงานที่ทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในด้านธุรกิจจากผู้บริหารของบริษัทต่างๆแต่ถึงการทำงานที่ McKinsey จะทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมาย
ความฝันในการมีธุรกิจเป็นของตัวเองของเธอก็ยังคงอยู่
ตอนนั้นเธอยังไม่คิดว่าตัวเองมีความรู้เพียงพอจะเริ่มทำธุรกิจ จึงเริ่มหาข้อมูลว่าจะเรียนต่อ MBA ที่ไหนดีแล้วก็พบว่า MBA ของ Stanford University ค่อนข้างมีชื่อเสียงด้าน Entrepreneurship
เธอจึงตัดสินใจเรียนที่นั่น
เมื่อเข้าเรียนที่ Stanford ได้ 3 เดือน เธอก็ได้ทำธุรกิจส่วนตัวสมใจ
เนื่องจากได้พบกับ Co-Founder อีกคนจากการเรียน MBA รุ่นเดียวกัน
สำหรับพี่ญาดา การเข้าเรียนที่นี่ถือเป็นประสบการณ์เปลี่ยนชีวิต
เพราะ Stanford ทำให้เธอเข้าใจว่าการทำธุรกิจส่วนตัวของตัวเอง
อาจไม่ได้มี ‘ความเสี่ยง’ มากอย่างที่คิด ขอเพียงแค่เข้าใจการบริหารต้นทุน
ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอได้ยินมาตั้งแต่เด็กเรื่องการทำธุรกิจส่วนตัว
#มีแผนสำรองไหม
พี่ญาดาบอกว่า เธอค่อนข้างโชคดีที่เริ่มธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนอยู่
เพราะถ้ามันไม่เวิร์ก เธอก็ยังสามารถทำอาชีพอื่นได้หลังเรียนจบ
โดยตอนนั้นแพลนบีของเธอคือทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลังกลับมาไทย
เพราะตอนอยู่ที่ Stanford รอบตัวเธอก็รายล้อมไปด้วยบริษัทเทค
ทำให้เธอตั้งใจว่าจะนำความรู้เกี่ยวกับ สตาร์ตอัปเทคที่ได้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ตอนกลับมาไทย
#จุดเริ่มต้นของAjaib
เนื่องจากพี่ญาดาและ Co-Founder ของ Ajaib อีกคนมีหลายอย่างที่คล้ายกัน
ไม่ว่าจะการที่มาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจในอุตสาหกรรมการเงินเหมือนกัน ทั้งสองจึงเริ่มทำความรู้จักกันในฐานะเพื่อนก่อนจะเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน
จากนั้นไอเดียการทำธุรกิจก็เริ่มจากคิดก่อนว่า สิ่งที่จะสร้างอิมแพกในระดับภูมิภาคคืออะไร
เพราะหากจะต้องนำเวลาไปทุ่มกับมันถึง 4-5 ปี ก็ควรจะสร้างอิมแพกได้บ้าง
ซึ่งตอนนั้นพี่ญาดาก็คิดว่า ต้องเป็นสิ่งที่มาแก้ปัญหาพื้นฐาน อย่างการขนส่งหรือการเงิน
เงื่อนไขอีกอย่างคือควรเป็นสิ่งที่ทั้งเธอและ Co-Founder อีกคนมีความรู้มากพอจะทำให้ประสบความสำเร็จได้
จึงเลือกเป็นบริการทางการเงิน เพราะเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนมีประสบการณ์มาก่อน จากนั้นจึงตีกรอบให้แคบลงว่าจะเป็นบริการด้านไหน จนมาลงตัวที่แพลตฟอร์มการลงทุน
#ทำไมต้องอินโดนีเซีย
เนื่องจากคนอินโดนีเซียยังตื่นตัวเรื่องการลงทุนน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับไทย
โดยมีคนที่ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนในอินโดนีเซียเพียง 1% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น
ในขณะที่ไทยมีถึง 10% แล้ว
ทำให้สามารถเปรียบเทียบได้ว่าไทยมีปัจจัยอะไรที่อินโดนีเซียไม่มี
และส่งผลให้คนอินโดนีเซียไม่ค่อยลงทุน
แถมอินโดนีเซียยังเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ ทั้งสองคนจึงเล็งเห็นโอกาสการทำธุรกิจที่นั่น
#เข้าร่วมY_Combinator
เมื่อปี 2018 ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนก่อนขึ้นปี 2 พี่ญาดามีโอกาสได้เข้าร่วม Y Combinator
ถ้าหากสงสัยว่ามันคืออะไร คำตอบก็คือ Start-up Incubator
หรือ โครงการ ‘บ่มเพาะ’ สตาร์ตอัประดับ Seed Funding
สตาร์ตอัปที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับทั้งเงินลงทุนและคำแนะนำต่างๆ ที่จะทำให้บริษัทเติบโต
การจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Y Combinator นั้นไม่ง่าย เพราะการแข่งขันสูงมาก จากสตาร์ตอัปหลักหมื่นจะผ่านการคัดเลือกไปเพียงหลักร้อยเท่านั้น
ซึ่ง 1 ใน 100 สตาร์ตอัปนั้นก็คือ Ajaib นั่นเอง
สำหรับพี่ญาดา Y Combinator นั้นเปรียบเสมือนโรงเรียนสำหรับสตาร์ตอัป
โดยจะสอนทุกอย่างที่คนทำสตาร์ตอัปควรจะรู้
ตั้งแต่จะทำสตาร์ตอัปขึ้นมาสักตัว ต้องเริ่มจากตรงไหนไปจนถึงดีลกับนักลงทุนอย่างไร
แต่สิ่งที่พี่ญาดาประทับใจที่สุดจากการได้เข้าร่วม คือการที่ได้เห็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่อยากเปลี่ยนแปลงหรือสร้างอิมแพกไว้บนโลก จากการฟัง Founder คนอื่นๆ พิตช์ไอเดีย
บางคนอยากทำยาต้านโรคมะเร็ง หรือบางคนจะทำโดรนที่ช่วยป้องกันไฟป่า
และพลังเหล่านั้นก็ส่งมาถึงเธอด้วย ทำให้เธออยากลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
#CPOและCMOต่างกันอย่างไร
นอกจากพี่ญาดาจะเป็นผู้ร่วมก่อตั้งแล้ว ยังทำตำแหน่ง CPO และ CMO ควบคู่กันไปด้วย
เราจึงอยากรู้ว่า 2 ตำแหน่งนี้ต่างกันอย่างไร
พี่ญาดาให้คำตอบมาว่า CPO (Chief Product Officer)
มีความรับผิดชอบหลักคือทำอย่างไรให้โปรดักต์ ซึ่งในที่นี้คือแอปและเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานชอบมากที่สุด
เพราะฉะนั้น พี่ญาดาจึงมองว่าหน้าที่ของเธอคือการ ‘ตามหาความจริง’ ว่าลูกค้าต้องการอะไร
เธอต้องออกไปสัมภาษณ์ด้วยเทคนิคต่างๆ เพื่อให้ได้ความในใจของพวกเขามา
สร้างโปรดักต์ตามข้อมูลเหล่านั้น แล้วนำไปใหลูกค้าทดลองใช้ ต้องทำวนแบบนี้ซ้ำๆ
จนกว่าจะได้เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดออกมา
ส่วน CMO (Chief Marketing Officer) จะมีหน้าที่หลักเป็นการโปรโมตฟีเจอร์ใหม่ๆ เท่านั้น
งบส่วนใหญ่จึงไปอยู่ที่โปรดักต์ เพราะเธอเชื่อว่าถ้าทำโปรดักต์ออกมาได้ตรงใจลูกค้า การตลาดก็มีหน้าที่แค่เป็นตัวกลางช่วยสื่อสารระหว่างบริษัทและลูกค้าก็พอว่าโปรดักต์ทำอะไรได้บ้าง และมีประโยชน์กับลูกค้าอย่างไร
#ขาลง
“ที่จริงขาลงน่าจะมีเยอะกว่าตอนประสบสำเร็จมากๆ” พี่ญาดาพูดขำๆ
การทำธุรกิจล้วนต้องมีทั้งขาขึ้นและขาลง แต่เธอบอกว่า จุดที่นับว่าเป็นขาลงของสตาร์ตอัปตัวนี้มีเยอะมาก
ตั้งแต่จ้างคนผิด มีผู้ร่วมก่อตั้งขอถอนตัว ทำเรื่องขอใบอนุญาตก็มีเหตุการณ์ล่าช้า
ไปจนถึงลูกค้าไม่ชอบโปรดักต์ที่ปล่อยออกมา
โดยเธอเล่าให้ฟังว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอมั่นใจมากว่าปล่อยโปรดักต์ตัวนี้ออกมา
จะต้องมีคนใช้เยอะมากแน่ๆ เพราะทีมรีเสิร์ชก็ทำการบ้านมาอย่างดี
และทีมโปรดักต์ก็ตั้งใจใช้เวลากับมันถึง 2 เดือน
ทุกคนในทีมตื่นเต้นกับโปรดักต์ตัวนี้มาก แต่พอปล่อยออกมาเสียงตอบรับกลับแทบเป็นศูนย์
แน่นอนว่าพอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวที่รู้สึกท้อ แต่รวมถึงคนในทีมด้วย วิธีที่เธอใช้รับมือก็คือฝึกให้ทุกคนมีมายด์เซตว่าทุกๆ การปล่อยโปรดักต์ออกมา ไม่ได้แปลว่ามันจะสำเร็จทุกครั้ง ให้มองว่าเป็นอีกทางที่จะทำให้เราได้ฟีดแบกจากลูกค้าเพื่อมาปรับปรุงให้ดีขึ้นแทนดีกว่า
#เคล็ดลับผู้ใช้งานแตะหลักล้านในหกเดือน
“โปรดักต์ต้องเป็นสิ่งที่คนใช้จริง อย่าใช้มาร์เก็ตติ้งหลอกตัวเองว่าคนชอบของเรา แต่จริงๆ เขาแค่ชอบส่วนลด”
ลูกค้าใหม่ส่วนใหญ่ของ Ajaib ได้มาด้วยวิธีที่ออร์แกนิก คือการแนะนำกันปากต่อปาก
หรือมาจากฟีเจอร์การแชร์ของในแอปทำให้คนอื่นเห็นแล้วอยากใช้บ้าง แทบไม่ได้มาจากการโฆษณาเลย
เธอจึงมองว่า ถ้าโปรดักต์ไม่ตรงใจลูกค้าจริงๆ
ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะสเกลได้ถึงระดับนี้ในระยะเวลาไม่นาน
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้งานเอ่ยปากชมเกี่ยวกับแอป คือการเปิดบัญชีได้รวดเร็ว แต่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่หลังบ้านให้ความสำคัญและใช้เวลาพัฒนานานที่สุด
เพราะบริษัทรู้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ไม่ชอบรออะไรนานๆ
ต่อให้ต้องเชื่อมต่อระบบเป็นสิบระบบก็ต้องทำ เนื่องจากต้องการให้ตัวแอปออกมาใช้งานง่ายที่สุด
อีกฟีเจอร์ที่ Ajaib ทำออกมาได้ตรงใจลูกค้า คือฟีเจอร์แจ้งเตือนเวลาหุ้นขึ้นหรือตก ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้จากการสังเกตและสัมภาษณ์มา โดยเธอพบว่าช่วงเวลาที่คนอยากซื้อขายหุ้นมากที่สุด คือช่วงที่หุ้นขึ้น-ตกอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อนหน้านี้ลูกค้าก็จะใช้วิธีนั่งจ้องด้วยตัวเอง
พอรู้ปัญหานี้ Ajaib จึงทำฟีเจอร์ตั้งเตือนเวลาหุ้นขึ้นหรือตกตามเปอร์เซนต์ที่ตั้งไว้
และบอกด้วยว่ามีปัจจัยอะไรทำให้หุ้นเป็นแบบนั้น เพื่อความสะดวกของผู้ใช้งาน
#เป้าหมายต่อไป
หลังจากระดมทุนในรอบ Series A ได้สูงถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทางบริษัทมีแผนว่าจะยังคงให้ความสำคัญกับโปรดักต์ โดยเฉพาะในส่วนของหุ้น
โดยจะนำเงินส่วนนี้จ้าง Developer เพื่อพัฒนาโปรดักต์ให้ดีขึ้น
และนำไปพัฒนาคอนเทนต์เกี่ยวกับการลงทุนให้ผู้ใช้งานที่สนใจเรียนรู้
#บทเรียนที่อยากฝาก
เดี๋ยวนี้มีข่าวสตาร์ตอัปที่ประสบความสำเร็จเยอะ หลายคนเลยอยากออกมาทำธุรกิจของตัวเองบ้าง
แต่การจะปั้นธุรกิจของตัวเองขึ้นมานั้นไม่ง่าย เราต้องเจอทั้งขาขึ้นและขาลง
ฉะนั้น ก่อนจะลงมือทำมันขึ้นมาจริงๆ พี่ญาดาอยากให้เรา
ค้นหาแรงผลักดันที่ทำให้เราเดินหน้าไปต่อให้เจอก่อน
เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะอดทนผ่านช่วงเวลาขาลงไปให้ได้โดยไม่ท้อและล้มเลิกไปก่อน
#careerfact
………………
Career Fact เพราะทุกอาชีพ... มีเรื่องราว
พูดคุยเรื่องการงาน ถกประเด็นต่างๆ แบ่งปันความรู้
เข้าร่วมกลุ่ม อู้งานมาคุย by Career Fact
โฆษณา