4 มี.ค. 2021 เวลา 13:38 • กีฬา
-มาราธอน และเรื่องยาว ๆ ที่อยากเขียน-🏃‍♀️
มดเป็นคนความรู้สึกช้า หรือจริง ๆ แล้ว อาจหมายความว่า ใช้เวลาในการตกผลึกทางความคิดนานพอสมควร ถึงวันนี้มดก็ยังนึกถึงวันที่วิ่งเข้าเส้นชัยที่เกียวโตอยู่เลย มีอะไรมากมายอยู่ในความคิด ที่ยังล้วงลึกเข้าไปไม่ถึง ถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า มันเป็นมาราธอนแรก มันควรจะมีความรู้สึกอะไรมากกว่านี้รึเปล่า
1
วันนี้ได้ดูหน้าเพจวิ่ง มีการรายงานผลของงานที่โตเกียวมาราธอน ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ระดับโลก มีประโยคนึงที่ว่า “ยินดีด้วยสำหรับผู้ที่เข้าเส้นชัยได้สำเร็จ คุณคือยอดมนุษย์คนนึง” ... มันจริงเช่นนั้นหรือ? แม้ส่วนตัวจะรู้สึกอิ่มเอมใจกับความสำเร็จของตัวเองเช่นกัน แต่ก็ไม่อาจเอื้อมไปแตะกับคำว่า ยอดมนุษย์ ได้ ... มีคนกล่าวไว้ว่า มีเพียงคนเพียง 1% บนโลกใบนี้เท่านั้นที่วิ่งมาราธอนสำเร็จ ... ก็อาจเป็นไปได้ เรื่องบ้าบออย่างวิ่งมาราธอนนั้น ไม่ได้จับจิตจับใจใครทุกคนหรอก
1
สำหรับมดเอง การตัดสินใจวิ่งมาราธอน ก็เหมือนการตัดสินใจซื้อจิ๊กซอมาสักกล่องโดยไม่รู้ว่าเป็นรูปภาพอะไร แล้วตั้งใจว่าจะต่อวันละนิดวันละหน่อยจนได้รูปภาพที่สมบูรณ์ในวันหนึ่ง ดังนั้นในวันที่มดวิ่งเข้าสู่เส้นชัยที่เกียวโตนั้น ความรู้สึกจึงเหมือนกับว่า จิ๊กซอตัวสุดท้ายได้ถูกวางลงบนภาพ ซึ่งไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอะไรเลย เพราะในทุก ๆ วันที่หยิบชิ้นส่วนมาต่อลงไป เราได้เห็นเค้าโครงภาพที่ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทีละเล็กละน้อยแล้ว เรามองออกแล้วว่ารูปภาพนั้นจะเป็นอะไร ความงามคร่าว ๆ ได้จับใจเราไปแล้ว เราหลงรักภาพนั้นไปแล้วตั้งแต่เห็นเพียงครึ่งนึง
4
ความทะยานอยากที่จะเห็นมันเป็นภาพที่สมบูรณ์เกิดในทุก ๆ วัน ความเร้าใจ ตื่นเต้น สับสน เบื่อหน่าย ผสมปนเปไปกับความสะใจ สงบ เงียบงัน เป็นสุข เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่า เมื่อในวันที่จิ๊กซอตัวสุดท้ายได้วางลงไปบนภาพ มันจึงเป็นความผ่อนคลายมากกว่าเป็นความภูมิใจ เป็นความสุขใจเล็ก ๆ มากกว่าความรู้สึกยิ่งใหญ่ดั่งยอดมนุษย์ พูดกันแบบไม่อ้อมค้อมสวยหรู ความรู้สึกที่ว่า “จบซะที” น่าจะจริงที่สุด จริงกว่าความภูมิใจ อิ่มใจ และความยิ่งใหญ่ใด ๆ ... เออ จบไปได้ซะที เหนื่อยแล้วโว้ยยย อะไรประมาณนี้นั่นแหละ
4
ไม่ได้จะหมายความว่า มันไม่มีความภูมิใจหรือความยิ่งใหญ่ใด ๆ ในการวิ่งมาราธอนนะ เพราะมันยิ่งใหญ่ตั้งแต่การซ้อมสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 50 กิโลตลอดสามสี่เดือนอยู่แล้ว และมันก็มีความภูมิใจปนสะใจที่กระชากตัวเองออกไปวิ่งทุกวัน โดยไม่สนใจเสียงงอแงร่ำไห้ของหัวใจขี้เกียจอีกห้องอยู่แล้ว ในเมื่อชีวิตถูกเลี้ยงด้วยความยิ่งใหญ่และภูมิใจมาตลอดระยะเวลาของการประกอบจิ๊กซอในทุก ๆ วัน ดังนั้น ในวันที่วางจิ๊กซอตัวสุดท้ายลงไป จึงไม่รู้ว่าจะมีอะไรมายิ่งใหญ่และภูมิใจไปกว่าเดิม นอกจากความผ่อนคลายและเสียงตะโกนในใจว่า “จบซะทีโว้ยยยย”
3
ใครอยากวิ่งมาราธอนก็มาลองวิ่งเถิด ใครไม่อยากวิ่งก็ไปหาอะไรสนุกอย่างอื่นทำเถิด เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องปัจเจก ใครใคร่ทำทำ ตัวมดเองไม่เคยคิดฝันถึงการวิ่งมาราธอนมาก่อน ทั้งยังเคยออกปากอยู่บ่อยไปว่า ไม่มีประโยชน์จรรโลงใจอะไรเลย เพื่อเหตุผลกลใด ทำไมมนุษย์ถึงต้องไปทรมานตัวเองเยี่ยงนั้น ... แต่ก็นั่นแหละนะ เราไม่อาจคาดเดาอะไรกับชีวิตได้จริงอย่างเค้าว่า
3
โลกของการวิ่งสำหรับมด ไม่เคยมีคำถามว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่วะ” หรือ “นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่” มันเป็นโลกอีกใบที่มดได้ค้นพบว่า เป็นแหล่งโอเอซิสของชีวิต มันคือความชุ่มชื่น ความสงบ มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครสามารถเอื้อมมือมากระชากเราออกไปได้ เป็นช่วงเวลาที่เสียงของใครก็ไม่ดังเท่าเสียงในหัวของเรา ... มีคำนึงที่นึกออก “การเดินทางภายในจิตใจ”
5
ในขณะที่เท้าเราวิ่งไปทุกก้าวบนพื้นดิน เท้าภายในใจเราก็เริ่มออกก้าวเดินด้วยเช่นกัน ในระยะแรก มันเป็นการเดินทางภายในจิตใจที่สับสนพอสมควร ออกจะงุนงงและตั้งตัวไม่ถูก เหมือนเราได้เผชิญกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดคุยกันอย่างไร ทั้ง ๆ ที่คนแปลกหน้านั้นก็คือสภาวะภายในจิตใจของตัวเราเอง
2
มันมีความกลัวซ่อนอยู่ เราจึงขจัดความกลัวง่าย ๆ ด้วยการเสียบหูฟัง เปิดเพลงอะไรดัง ๆ กลบมัน แล้วเลี่ยงด้วยการบอกตัวเองว่า ฟังเพลงซะ จะได้เพลิน ๆ ... เรื่องจริงก็คือว่า ไม่วันใดวันหนึ่ง ถ้าเราวิ่งนานพอ เราจะพบว่าแม้เพลงที่เปิดก็ยังดังเข้าไปไม่ถึงภายใน อยู่ดี ๆ เสียงเพลงก็จะดับไปอย่างนั้นแม้จะเปิดเสียงดังเท่าไหร่ก็ตาม อยู่ดี ๆ เราก็จะได้มายืนเผชิญหน้ากับสภาวะภายในจิตใจของเราอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ต้องยอมรับที่จะเปิดอกพูดคุยกันเสียที
2
คำถามที่เคยถามคนอื่นไปว่า วิ่งนาน ๆ ไม่เบื่อกันรึไง ตอนนี้ได้ประจักษ์กับตัวเองว่า การดำดิ่งระหว่างวิ่ง ก็คือการได้รื่นเริงกับการเดินทางภายในจิตใจตัวเอง ความสุขของการวิ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับสารอะดรีนารีน หรือสารอะไรอื่น ๆ ก็ตาม แต่ที่แน่แท้ มันมีความสุขจากการได้สัมผัสส่วนลึกภายในจิตใจของตัวเอง แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ... ที่หลายคนบอกว่า ความสุขอยู่ระหว่างการวิ่ง ไม่ได้หมายถึง เส้นทางระหว่างที่เราวิ่ง ไม่ได้หมายถึง ผู้คนเรียงรายรอบตัวในขณะวิ่ง แต่คือระยะเวลาที่จิตใจเราได้ค้นพบความสงบ ดำดิ่ง ลึกซึ้ง ตอนที่ตัวตนภายนอกได้เต้นรำและจับมือวิ่งไปกับตัวตนภายใน เมื่อเราได้พบช่วงเวลาแบบนี้แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การออกไปวิ่งทุกวัน คือความสุขและคือโอเอซิสของชีวิต
2
แม้การซ้อมวิ่งมาราธอน จะทำให้การเดินทางภายในจิตใจเกิดห้วงสะดุดบ้าง ด้วยเหตุเพราะมันคือการทะลายกำแพงความสบายในการวิ่ง ทุกอาทิตย์เราต้องเพิ่มความหนักให้หัวใจ ถ้าเคยรู้สึกว่าไหวถึงแค่นี้ ก็เติมให้มันหนักเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อเพิ่มได้แล้ว ก็เพิ่มอีก เพิ่มอีก เพิ่มเข้าไปอีก จนกว่าจะถึงเป้าหมายที่วางไว้ ตอนที่ “เพิ่มเข้าไปอีก” นี่แหละ เป็นตอนที่ภายในใจไม่ได้มีแต่เสียงเพลงบรรเลงแห่งความสุข แต่เป็นเสียงก่นด่า กรีดร้อง โวยวาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร ก็ยังไม่วายคร่ำครวญ
2
ถึงอย่างนั้นก็ตาม เสียงคร่ำครวญ ก็คือการเดินทางภายในใจอีกรูปแบบหนึ่ง คือการประคับประคองจิตใจที่ต้องรับแรงกดดันและความเหนื่อยล้า เมื่อได้พบสภาวะนั้นบ่อย ๆ ก็คล้ายกับว่าจะเป็นเพื่อนกันได้กับเสียงคร่ำครวญในที่สุด
2
หลายคนไม่เข้าใจนักวิ่ง และหลายคนก็ไม่อยากจะเข้าใจ ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องต้องบังคับกัน วิ่งมาราธอนไม่ใช่เส้นทางของความสุขซะทีเดียว มันมีความทุกข์เล็ก ๆ ปะปนมาด้วย ซึ่งเป็นความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้ความสุขมันยิ่งใหญ่และมีความหมายขึ้น ไม่ใช่ความทุกข์ระทมขื่นขมอะไร มาราธอนสำหรับมดคือเป้าหมาย ที่ทำให้เราตอบคำถามตัวเองได้ในทุกครั้งที่ต้อง “เพิ่มเข้าไปอีก” ว่า ... ทำไปทำไม
2
ขอจบบทความเยิ่นเย้อยืดยาวเพียงเท่านี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนขึ้นมาทำไม เพราะอะไร เพื่อใคร แต่รู้สึกอยากเขียนเมื่อได้อ่านคำว่า “คุณคือยอดมนุษย์คนนึง” ในหน้าเพจวิ่งเพจนึงวันนี้ แค่นั้นเอง
2
เขียนไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว (4 มีนา 2562)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา