15 มี.ค. 2021 เวลา 03:00 • หนังสือ
สรุปหนังสือทักษะความสุขของคุณนิ้วกลม Part3
Part นี้จะเกี่ยวกับ วิถีแห่งความสุข
ถ้าขอพรได้สามข้อ คุณจะขออะไร? คำตอบของคนส่วนใหญ่ก็คือ ขอให้มีเงิน ขอให้สำเร็จ ขอให้สมหวังในความรัก แล้วทำไมเราไม่ขอให้ "ชีวิตมีความสุข" ไปเลยข้อเดียวจบๆ จริงๆแล้วสามอย่างด้านบนหลายคนอาจจะคิดว่าคือ องค์ประกอบของความสุข แต่จริงๆแล้ว ความสุขก็คือความสุข
มีสิ่งที่เรียกว่าความย้อนแย้งของความสุข เช่น เวลาที่เราต้องการให้แฟนลดน้ำหนักบลาๆ ซื้อของโน่นนี่นั่นให้แฟนไม่สนใจ แต่พอแฟนเจอ Inspiration จากดารา แล้วก็ซื้อของที่เหมือนกับที่เราเคยซื้อให้เรา บางคนก็จะโอเคยินดีด้วยกับแฟน แต่บางคนกลับเลือกที่จะบอกว่า ชั้นเคยบอกเธอมาไม่รู้กี่ร้อยครั้งเธอไม่เคยฟังเลย การพูดแบบหลังมันแสดงให้เห็นว่าจริงๆเราไม่ได้แสวงหาความสุขในชีวิต เราเพียงแต่แสวงหาความถูกต้อง เราอยากเป็นฝ่ายถูกในความสัมพันธ์ จะเห็นได้ว่าเราไม่ได้เลือกทำสิ่งที่จะลงเอยด้วยความสุขเสมอไป รวมถึง มีชาวประมงที่ตกปลาอยู่ริมน้ำไปวันๆ มีนักธุรกิจบอกว่า ทำไมไม่เปิดโรงงานบลาๆ จะได้สุดท้ายมาตกปลาอย่างสบายใจ ชาวประมงก็เลยบอกว่า ผมก็ทำอยู่นี่ไงตกปลาอย่างสบายใจ
บางทีคนเราก็จะวัดความสุขโดยรูปธรรมในแง่ตัวเลข การเงิน จำนวนปลาที่ตกได้ แต่คนเราไม่ค่อยวัดความสุขในแง่นามธรรมสักเท่าไรเพราะอาจจะมันเปรียบเทียบกันได้ยาก โดยรวมแล้วเราอาจจะต้องถามตัวเองว่า เราให้ความสำคัญกับความสุขน้อยเกินไปไหม ความสุขอาจจะเกิดขึ้นในใจเองโดยไม่ต้องรู้สึกถึงความคุ้ม ไม่ต้องเป็นฝ่ายชนะ หรือ มีมากกว่าเดิม บางอย่างที่มันเพิ่มมาแล้วมันก็สุขเท่าๆเดิมบางทีมันอาจจะเป็นแค่สิ่งล่อลวง
ถ้าถามผู้คนว่าคุณเสียใจในอะไรมากกว่าระหว่าง สิ่งที่ไม่ได้ทำกับสิ่งที่ลงมือทำไปแล้ว คนสองในสามจะเสียใจกับสิ่งที่ไม่ได้ทำในอดีต ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะ สิ่งที่ได้ลงมือทำคือมันก็มีจุดจบ ล้มเหลว หรือ อกหักมันก็มีคำตอบ มีบทเรียนของมัน แต่พอไม่ได้ทำมันก็กลับจะย้อนถามตัวเองตลอดว่า ถ้าตอนนั้นได้ทำ... เพราะฉะนั้นเวลาถึงทางแยกที่ต้องเลือกควรจะมองสองอย่างคือ "เราจะมีโอกาสแบบนี้อีกหรือเปล่า" และ "ถ้าลงมือไปแล้วตัดสินใจผิดพลาดจะมีวิธีแก้ไขและมีทางไปต่อไหม" ข้อสองเป็นสิ่งที่ควรใช้เวลากับมันให้มาก และ ขอให้ทุกคนกล้าหาญครับเวลาที่ยืนอยู่บนทางแยก
คนเรามักจะถามเสมอว่า "ต้องมีมากแค่ไหนถึงจะพอ" จริงๆแล้วไม่เคยมีใครเคยถามว่า "เราต้องมีน้อยแค่ไหนถึงจะเพียงพอต่อการมีชีวิตอยู่" จะพูดถึงเรื่องนี้ขอเล่าถึง การจัดบ้านแบบ คนโดะ มาริเอะ คำถามที่จะต้องถามไม่ใช่ "จะทิ้งอะไร" แต่เป็น "จะเก็บอะไรไว้" ซึ่งก็ใช้คำว่า Sparkjoy กับสิ่งของนั้นๆ อันไหนมันไม่ Sparkjoy ก็ทิ้งมันไป ชีวิตก็เช่นกัน ทั้งงาน ความสัมพันธ์ บางทีมันอาจจล้นเกินไปและนำมาซึ่งความทุกข์ บางทีเราก็ต้องหาคุณภาพของสิ่งที่มีมากกว่าจะหาปริมาณจากมัน
การใช้เวลาอย่างมีความสุข สมัยนี้คนเรามักติดกับการให้เวลาเป็น Productive ต้องทำแล้วมีประโยชน์เวลาเป็นสิ่งมีค่า มีการไปถามคนที่ ใช้ชีวิตในหุบเขาแล้วต้องปั่นจักรยานไปเรียน 16 km ว่าใช้เวลาเท่าไรในการเดินทางเค้ากลับตอบว่า "ชั้นไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย" แสดงให้เห็นว่าก็จะมีคนที่คิดเสมอว่าทำสิ่งนี้ ใช้เวลาเท่าไร กับ คนที่ก็อาจจะไม่ได้สนใจเลยว่าเวลาเป็นสิ่งที่จะต้องมานั่งคำนวณนั่งวัด เรามักรู้สึกผิดถ้าเราไม่ใช่เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ จะเห็นได้ชัดคือการ FOMO(Fear of missing out) เป็นการกลัวตกข่าวหรือพลาดโอกาส ทำให้คนเราติดมือถือ มันก็อธิบายโดย Reward circuit ในสมองเหมือนการเสพยาที่ต้องเสพมากขึ้นอีกถึงจะได้ Dopamine เท่าๆเดิม ทั้งที่จริงๆแล้วการที่คนเราได้มีเวลากับตัวเองนั่งเฉยๆมันทำให้เราสำรวจตัวเองได้มากยิ่งขึ้น สำรวจความต้องการ สำรวจอารมณ์ ความคิด จิตใจ ได้ฟังเสียงตัวเองมากขึ้น ทำให้เราสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องแคร์การตัดสินหรือสายตาคนอื่นมากเกินไป มีวิธีที่จะช่วยบริหารเวลาว่างคือ กั้นผนังให้ตัวเอง(กำหนดเวลาที่อยู่กับตัวเอง) หาวันขึ้เกียจให้ตัวเอง และ แบ่งเวลามาเพิ่มทักษะและความรู้บ้าง ผมคิดว่าการใช้ชีวิตที่เสียเวลาที่สุดคือ การทำอะไรเยอะแยะมากมายแต่เรากลับไม่ดื่มด่ำกับโมเม้นต์ใดๆในชีวิตเลย เราควรจะใช้ชีวิตให้ "เต็มอิ่ม" กับตอนนี้ที่สุด นั่นแหละความสุข
อิคิไกแปลว่า เหตุผลการมีชีวิตอยู่ เราจะหาได้ยังไงละ?
ข้อแรกคือ เริ่มต้นเล็กๆ เราอาจจะฝันใหญ่ฝันไกลแต่กก็เริ่มต้นจากเล็กๆก่อน ทำไปก่อน ใส่ใจแรงกายและแรงใจไปกับมันให้เต็มที่สอง
ข้อสองคือ ทำช่วงเช้าให้เป็นช่วงเวลาที่ดี ดื่มด่ำกับสิ่งที่ชอบ กาแฟ การวิ่ง ฟังเพลงที่ชอบ เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยากตื่นขึ้นมา ทำให้เราให้รางวัลตัวเองในทุกเช้า
ข้อสาม ให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง เช่นการวิ่งก็ตั้งเป้าไปเลยปีนี้วิ่ง มาราธอนจ้า การได้รวบรวมพลังเพื่อทำตามคำมั่นสัญญาแล้ว acheive สิ่งนั้นก็จะมีความหมายกับเราด้วย
ข้อที่สี่ผมชอบที่สุดคือ "หนึ่งชีวิตหนึ่งครั้ง" ในโมเม้นต์หนึ่งเช่นการเจอกับคนๆนึงมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ได้เจอกัน เราจะต้องใช้โมเม้นต์แต่ละครั้งให้เต็มที่ที่สุด ใส่ใจกับรายละเอียดของมันให้มากที่สุด
ข้อสุดท้ายคือ ทำงานอดิเรกอย่างมี Passion งานประจำที่ทำอยู่อาจจะไม่ได้สร้างความสุขให้เรา ความสุขมันไม่มีสูตรสำเร็จ เราไม่จำเป็นต้องมีความสุขมนการไปเหมือนใครอีกคนหนึ่ง เราสามารถกำหนดรูปแบบความสุขของตัวเองได้ ในบางทีความสุขของคนเราอาจจะอยู่ใกล้ๆตัวเรา พ่อ แม่ พี่น้อง หมาที่บ้าน ซึ่งมันก็เป็นความธรรมดาที่เรามองข้ามไปนั่นเอง
โฆษณา