11 มี.ค. 2021 เวลา 13:24 • ประวัติศาสตร์
อังกฤษฟื้นฟูราชอาณาจักรเเละระบอบกษัตริย์ตอนที่ 1
จักรภพอังกฤษและสาธารณรัฐอาจจะอยู่ต่อไปได้หากริชาร์ด ครอมเวลล์(Richard Cromwell)มีความสามารถมากกว่านี้ จุดอ่อนหลักของครอมเวลล์คือกองทัพไม่ค่อยมั่นใจในตัวเขา กลุ่มของนักการเมืองที่เรียกว่ากลุ่มคฤหาสน์วอลิงเฟิร์ด(Wallingford House Party)ก็ได้โค่นอำนาจของริชาร์ด ครอมเวลล์ลงอย่างเงียบๆ และตั้งสภารัมป์ขึ้นมาใหม่
แม่ทัพชาร์ลส ฟลีตวูดได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการความปลอดดภัย สมาชิกสภาแห่งรัฐ และเป็นหนึ่งในเจ็ดคณะกรรมาธิการประจำกองทัพ แต่รัฐสภากลับไม่สนใจเขาสักเท่าไหร่ เพราะรัฐสภาไม่สนใจอำนาจของกองทัพ
ฝ่ายนิยมเจ้ามีแผนการก่อกบฏในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ.1659 แต่แผนการของฝ่ายนิยมเจ้ากลับรั่วไหลเสียก่อน อย่างไรก็ตาม เซอร์จอร์จ บูธ(Sir George Booth)ผู้นำฝ่ายนิยมเจ้าก็สามารถยึดเขตเชชเชอร์เอาไว้ได้ ส่วนพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 (King Charles II)พระราชโอรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1(King Charles I) ก็ทรงหวังว่าสเปนจะช่วยฝ่ายนิยมเจ้าอังกฤษและสามารถยกกองทัพขึ้นบกได้โดยง่าย แต่ไม่มีการสนับสนุนจากราชสำนักสเปนแต่อย่างไร บูธคุมเขตเชชเชอร์จนกระทั่งปลายเดือนสิงหาคม เมื่อบูธพ่ายแพ้ให้แม่ทัพแลมเบิร์ตในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ.1659 สภาสามัญได้ขับไล่แม่ทัพแลมเบิร์ตกับนายทหารคนอื่นๆ และแต่งตั้งให้ฟลีตวูดเป็นหัวหน้าสภาทหาร โดยอยู่ภายใต้อำนาจของทหารสภา วันต่อมาแม่ทัพแลมเบิร์ตได้ปิดประตูรัฐสภาทุกบานและสั่งให้สภาอยู่ห่างจากตัวรัฐสภาไว้ ในวันที่ 26 ตุลาคมปีเดียวกัน คณะกรรมาธิการความปลอดภัยชุดใหม่ถูกแต่งตั้งขึ้น โดยมีฟลีตวูตและแลมเบิร์ตรวมกันอยู่ด้วย คณะกรรมาธิการความปลอดภัยได้ส่งแลมเบิร์ตกับกองทัพเคลื่อนไปยังทางเหนือเพื่อไปพบกับจอร์จ มองก์
.
มองก์ซึ่งเดิมทีเป็นฝ่ายนิยมเจ้าในสงครามกลางเมืองอังกฤษแต่แล้วเมื่อฝ่ายนิยมเจ้าพ่ายแพ้ มองก์ก็ย้ายฝ่ายไปสู่รัฐสภาซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์และเป็นฝ่ายสาธารณรัฐ แตต่บัดนี้หลังจากที่มองก์เห็นความเสื่อมถอยของรัฐสภาเขาเองเลยย้ายกลับไปยังฝ่ายนิยมกษัตริย์และหันมาภักดีต่อราชวงศ์สจ๊วต(House of Stuart,หรือถ้าสะกดตามศัพท์เก่าก็จะเป็น “Stuwart” ออกเสียงเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่ตัวสะกด)มองก์ตอบโต้โดยการเคลื่อนทัพจากราชอาณาจักรสกอตแลนด์ลงมาทางใต้ ทำให้แลมเบิร์ตต้องค่อยๆ หนีทัพออกไปจนถึงกรุงลอนดอนอันเป็นราชธานีแห่งจักรภพอย่างโดดเดี่ยว แม่ทัพมองก์จึงเคลื่อนกำลังพลเข้ามายังกรุงลอนดอนโดยไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใด สมาชิกรัฐสภาเบรสไบทีเรียนซึ่งถูกกีดกันมาตั้งแต่การยึดรัฐสภาของนายพันเอกไพรด์ในปี ค.ศ.1648 ถูกเรียกตัวกลับมา และในวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ.1659 กองทัพได้ฟื้นฟูรัฐสภายาวสมัยที่ 3 ฟลีตวูดถูกปลดออกจากตำแหน่งแม่ทัพและถูกสั่งให้มาอธิบายของตนต่อสภา ในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ.1660 แลมเบิร์ตก็ถูกขังในกรุงลอนดอน แต่ก็แหกออกจากคุกได้ในเดือนถัดมา แลมเบิร์ตพยายามก่อสงครามกลางเมืองอีกรอบเพื่อฟื้นฟูจักรภพอังกฤษอันเป็นสาธารณรัฐขึ้นมาใหม่โดยการแจกใบประกาศ “เจตนาเก่าอันดีงาม” (Good Old Cause ) เพื่อให้ฝ่ายที่ไม่นิยมเจ้ายอมถวายชีวิตต่อสาธารณรัฐ แต่แลมเบิร์ตกลับถูกจับอีกครั้งโดยนายพันเอกริชาร์ด อินโกลด์สบี(Richard Ingoldsby)ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะที่ตัดสินสำเร็จโทษพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แลมเบิร์ตถูกขังในเกาะเกิร์นซีย์ และเสียชีวิตในปี 1694
ในเวลาเดียวกันนั้นเองพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เสด็จออกจากนครเฮก(The Hagua)ในวันที่ 23 พฤษภาคม และทรงขึ้นฝั่งที่ฮันโดเวอร์ในวันที่ 25 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 เสด็จถึงกรุงลอนดอนในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ.1660 อันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพครอบรอบ 30 พรรษา ซึ่งต่อมาและในปัจจุบันวันๆ นี้จึงกลายเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์คือวัน “Oak Apple Day” ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่ระลึกหลังจากที่พระเจ้าชาร์ลสที่ 2 ทรงเสด็จกลับมาหารัฐสภาของพระองค์อีกครั้ง และทรงได้รับการราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษ สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ.1661 (เป็นธรรมเนียมที่เมื่อกษัตริย์ขึ้นครองราชย์จะทรงไม่ราชาภิเษกทันที แต่จะรอไว้ระยะเวลาหนึ่งกษัตริย์อังกฤษจึงจะราชาภิเษก)
บันทึกบางสมัยบันทึกไว้ว่าการฟื้นฟูราชวงศ์เป็น “ปาฏิหาริย์ที่สวรรค์ทรงประทาน” ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนักในหลายๆ ที่บนโลก เป็นเหตุการณี่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด พลิกโฉมประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์แห่งการช่วงชิงอำนาจกลับไปสู่การปกครองแบบเดิมด้วยระบอบกษัตริย์อันศักดิสิทธิ์ ประชาชนล้วนมีความสุขกับระบอบเดิมนี้และกฎหมายอันแปลกประหลาด เช่น ห้ามให้ร้องเพลง ก็ถูกยกเลิก ส่วนรัฐสภาอัศวิน(Cavalier Parliament)ได้เปิดการประชุมครั้งแรกในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ.1661 และจะอยู่ต่อไปอีก 17 ปี จนสุดท้ายก็ถูกยุบ รัฐบุรุษคนสำคัญในเหตุการณ์นี้คือเอ็ดเวิร์ด ไฮด์ อดีตแม่ทัพฝ่ายนิยมเจ้าซึ่งต่อได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลแห่งคลาเรนดอน(Earl of Clarendon)เขาได้ใช้ไหวพริบและสติปัญญาในการเจรจากับทุกฝ่าย ทำให้การฟื้นฟูราชวงศ์เกิดขึ้นโดยง่ายโดยไม่มีการประท้วงกับข้อต่อรองและเงื่อนไขจากฝ่ายใด
.
เหล่าขุนนางฝ่ายนิยมกษัตริย์ที่ลี้ภัยและไม่ถูกประหารได้กลับมาเป็นข้าราชสำนักตามเดิม และพระเจ้าชาร์ลส์ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์กับทั้งรางวัลอย่างงาม คนสำคัญหลายๆ คน เช่น
- เจ้าชายรูเพิร์ตแห่งไรน์กลับมาจากเยอรมันเพื่อรับใช้ราชสำนักอังกฤษเหมือนครั้งรัชกาลก่อน ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์และได้รับพระราชทานเงินปี
- จอร์จ กอริงกลับมาเป็นนายทหารกองราชองครักษ์
- มาร์มาดุก แลงเดลได้รับเลื่อนขั้นศักดินาพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นบารอน(Baron)
- วิลเลียม คาเวนดิช มาร์กีส์แห่งนิวคาสเซิลได้รับพระราชทานที่ดิน ทั้งยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชุ้นสูง และในเวลาต่อมาก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดุ๊ค(Duke)
.
ส่วนฝ่ายนิยมสาธารณรัฐโชคไม่ค่อยดีนักส่วนใหญ่ถูกประหารโดยการแขวนคอ ขึงพืด และสับแยกร่างซึ่งในยุคนั้นถือว่าทารุณมาก แต่รัฐอังกฤษที่เป็นราชอาณาจักรต้องทำเพื่อสร้างความน่าเกรงขามให้พระราชาและฟื้นฟูระเบียบราชอาณาจักรใหม่ ส่วนบางคนโชคดีที่พระเจ้าชาร์ลส์ทรงอภัยโทษและให้กลับใจใหม่ซึ่งจะเล่าในตอนหลัง.
รายการอ้างอิง
𝐓𝐇𝐄 𝐄𝐍𝐆𝐋𝐈𝐒𝐇 𝐂𝐈𝐕𝐈𝐋 𝐖𝐀𝐑 สงครามกลางเมืองอังกฤษ,ภัทรพล สมเหมาะ
Roger Baker, Drag: A History of Famale Impersonation The Performing Arts(New York City: NYU Press, 1985), 85.
พระรูปของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เเห่งราชอาณาจักรอังกฤษ สกอตแลนด์ เเละไอร์แลนด์(King Charles II,King of England Scotland Ireland and France) วาดในระหว่างปี 1660 - 1665 โดยจอห์น ไมเคิล ไรท์(John Michael Wright),(https://en.m.wikipedia.org/wiki/File:King_Charles_II_by_John_Michael_Wright_or_studio.jpg)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา