15 มี.ค. 2021 เวลา 12:30 • กีฬา
6-1 โลกไม่ลืม : เปิดเบื้องหลังล็อกถล่มโลกเกม "บาร์เซโลนา - เปแอสเช" | MAIN STAND
1
สิ้นเสียงนกหวีดของเกมการแข่งขันรอบสอง ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก นัดแรก ระหว่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง กับ บาร์เซโลนา จบลงด้วยความช็อกของแฟนบอลทั่วโลก เมื่อทีมเจ้าบ้านจากฝรั่งเศส ถล่มผู้มาเยือนจากสเปนด้วยสกอร์ 4-0
หากแต่เมื่อการแข่งขันนัดสองจบลง ทุกคนต้องตกตะลึงมากกว่าเดิม เพราะบาร์เซโลนาพลิกนรกถล่มเปแอสเช ด้วยสกอร์ 6-1 ผ่านเข้ารอบไปด้วยผลสกอร์รวม 6-5 กลายเป็นการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยูซีแอล
นี่คือหนึ่งในการพลิกนรกที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรป มีเรื่องราว และแง่คิดมากมายที่เกิดขึ้นกับเกมการแข่งขันนัดนี้ จนก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่แฟนลูกหนังทั่วโลก ยังคงจดจำมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากเกมนัดแรกจบลง
หลังจากการแข่งขันนัดแรกจบลง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2017 โลกอินเทอร์เน็ตลุกเป็นไฟอย่างรวดเร็ว เพราะเปแอสเชไม่ได้เพียงแค่ถล่มบาร์เซโลนา 4-0 แต่พวกเขาทำลายทีมดังจากสเปนอย่างสิ้นซาก
1
ขณะที่ปารีสยิงตรงกรอบถึง 10 ครั้ง บาร์ซ่ากลับยิงตรงกรอบได้แค่ครั้งเดียว ด้านสถิติเกมรับ ทั้งการเข้าปะทะสำเร็จ, การแย่งบอล, การเคลียร์บอล ทีมจากฝรั่งเศสทำได้ดีกว่าทั้งหมด
Photo : www.lequipe.fr
"ค่ำคืนนี้ทำลายจิตใจของเรา เปแอสเชดีกว่าเรา ไม่ว่าพวกเขาจะครอง หรือไม่ครองบอล ผลสกอร์สะท้อนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสนาม และผมไม่ใช่แค่คนเดียวที่สัมผัสมันได้"
"เรายังเหลืออีกหนึ่งเกมให้เล่น เรายังไม่สิ้นหวัง ต่อให้ต้องยิง 5 ประตู ไม่ใช่แค่ 4 เพื่อจะชนะ แต่ทำไมเราจะไม่ฝันว่า จะทำให้มันเกิดขึ้นจริง" หลุยส์ เอ็นริเก ผู้จัดการทีมของบาร์เซโลนา ในเวลานั้นกล่าว หลังจบเกม
ผลการแข่งขันที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งตัวเอ็นริเก รวมถึงนักเตะแกนหลักอย่าง ลิโอเนล เมสซี่, เนย์มาร์ และ หลุยส์ ซัวเรส ถูกวิจารณ์อย่างสาดเสียเทเสีย กับฟอร์มการแข่งขันในนัดแรก ที่ไม่ช่วยให้บาร์ซ่าเล่นได้ใกล้เคียง กับมาตรฐานของทีมแม้แต่น้อย (L'Equipe ให้คะแนนเมสซี และซัวเรส 2 เต็ม 10 คะแนน) จนถึงขั้นมีการทำคลิปออกมาล้อว่า นี่คือจุดจบของยุคสามประสาน MSN
"นี่ไม่ใช่บาร์เซโลนา" Sport สื่อฝั่งคาตาลัน พาดหัวหนังสือพิมพ์หลังความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลการแข่งขันครั้งนี้เป็นความอับอายของทัพอาซูลกรานา ในทางตรงกันข้าม เปแอสเชได้รับคำชมอย่างท่วมท้นกับชัยชนะครั้งนี้
"ผมคิดว่าการแข่งขันในนัดนี้ ทำให้เปแอสเชกลายเป็นผู้ท้าชิงตัวจริง พวกเขาจะมีแรงใจมหาศาลในเกมนัดต่อไป และพวกเขาจะเชื่อว่า สามารถเอาชนะการแข่งขันรายการนี้ได้ หลังจากเอาชนะหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของโลก" ริโอ เฟอร์ดินานด์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้วิเคราะห์เกมวันนั้น ของช่อง BT Sport แสดงทัศนะ
1
ก่อนหน้าเกมถล่มครั้งใหญ่เกิดขึ้น บาร์เซโลนาถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงผลงานที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะการให้ ลีโอเนล เมสซี่ คอยแบกทีมแต่เพียงคนเดียว ไม่มีการเล่นเป็นทีมเวิร์คแบบที่ทีมควรจะเล่น เพราะ 10 เกมก่อนหน้านั้นในลาลีกา บาร์ซ่าเก็บชัยชนะได้เพียง 6 เกม ทำให้การพ่ายแพ้ในนัดนี้ เป็นเหมือนน้ำมันราดกองเพลิง โหมให้คำด่าพุ่งเข้าหาทีมดังจากสเปนมากกว่าเดิม
2
หลุยส์ เอ็นริเก กุนซือของทีมถึงกับต้องออกมาโจมตีนักข่าว เพราะมองว่าสื่อโจมตีผลงานของทีมอย่างไม่เป็นธรรม ขณะเดียวกัน นักเตะอย่าง เซร์คิโอ บุสเกตส์ และ อิวาน ราคิติช ถูกสื่อแนะว่าต้องถูกขายออกจากทีม เพราะฝีเท้าดีไม่พอที่จะเล่นให้บาร์เซโลนาอีกต่อไป
รวมใจสู้กันใหม่
ความพ่ายแพ้ในนัดนั้น ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของบาร์เซโลนา พวกเขาเกือบเอาตัวไม่รอดในเกมถัดมา ที่เจอกับ เลกาเนส บนเวทีลาลีกา ด้วยการเฉือนเอาชนะด้วยสกอร์เพียง 2-1 จากจุดโทษของเมสซี่ ในนาทีที่ 90
ผลสกอร์ที่เกิดขึ้นคือช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสรบาร์เซโลนา อย่างไรก็ตาม ข้อดีข้อเดียวที่ย้อนกลับมาหาทีม คือโอกาสในการรวมใจให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง กระตุ้นความกระหายของทีมให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อตบหน้าทุกคนให้เห็นว่า บาร์เซโลนา ยังเป็นทีมอันตรายที่ทุกสโมสรต้องหวาดเกรง
1
Photo : en.as.com
"เราไม่เคยคิดคาดถึงผลสกอร์นี้ ผมเกลียดมัน นี่คือความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เราจะต้องรวมใจกัน กลับมาชนะ 4-0 หรือยิงให้ได้มากกว่านั้น เพื่อที่จะกลับมา ... 2-3 เกมหลังจากนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญ ที่จะช่วยให้เรากลับมามีโอกาสลุ้นแชมป์อีกครั้ง"
"มันขึ้นอยู่ว่าเราจะรวมใจ กลับมาสู้ได้ไหม ผมคิดว่าอีก 3 สัปดาห์ หลังจากนี้ เราจะกลับมา กลับมาเป็นทีมที่ดีกว่าเดิมมาก หากเทียบกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้" เคราร์ด ปิเก กล่าว
หลุยส์ เอ็นริเก นายใหญ่ของทีมเข้ามารับบทบาทสำคัญ ในการสร้างขวัญกำลังใจให้กับลูกทีม เขาพูดผ่านสื่อครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติของฟุตบอล ไม่ได้หมายความว่าเป็นบาร์เซโลนา จะแพ้ 4-0 ไม่ได้
สิ่งที่เอ็นริเกต้องการทำ คือการลดความกดดันให้กับนักเตะ ช่วยให้พวกเขามองว่าการแพ้ครั้งนั้น เป็นเหมือนการสะดุดนัดหนึ่ง ไม่ต้องไปสนใจ มองไปข้างหน้า โฟกัสเกมถัดไป
Photo : roar.media
ไม่เพียงเท่านั้น นักเตะทั้งทีม หันมาก้มหน้าก้มตาฝึกซ้อมหนักกว่าเดิม เนย์มาร์ แข้งชาวบราซิลของทีม เผยว่า เขาท้าทายเพื่อนร่วมทีมตลอดเวลาในการฝึกซ้อม ปลุกเร้าทุกคนว่าจะต้องดีกว่าเดิม ซึ่งต้องทำให้เห็นในสนามซ้อมก่อนเป็นอันดับแรก
บาร์เซโลนา ฟื้นกำลังใจอย่างรวดเร็ว หลังจากเกมกับ เลกาเนส พวกเขากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ด้วยการบุกไปชนะ แอตเลติโก มาดริด ถึงบ้าน ตามด้วยเปิดบ้านถล่ม สปอร์ติง กิฆอน 6-1 และยิงไม่เลี้ยงใส่ เซลตา บีโก 5-0
โดยเฉพาะ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักในเกมแพ้เปแอสเช เขายิงถึง 6 ประตู ใน 4 เกมถัดมา สร้างผลงานตอกหน้าใครก็ตามที่มองว่าเขากำลังหมดสภาพ
ชัยชนะ 4 นัดติด แถมเป็นการถล่มคู่แข่งมากกว่า 4 ประตู ถึง 2 เกม แสดงถึงความตั้งใจจริงของผู้เล่นบาร์ซ่า ว่าพวกเขาพร้อมมากแค่ไหน กับการเอาคืนเปแอสเชให้สาสม จากความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในนัดแรก
Photo : worldsoccertalk.com
"เราคิดถึงเกมนั้นตลอด (บาร์ซ่า - เปแอสเช นัดที่ 2) นี่จะเป็น 94-95 นาที ที่นานที่สุดในชีวิตของพวกเรา ... เราไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองนั่งจมกับความผิดหวัง เราจะต้องเปลี่ยนทุกอย่างในเกมนัดที่ 2"
"เราต้องการจะสร้างประวัติศาสตร์ เราจะเป็นทีมแรกที่ทำมันให้สำเร็จ (คัมแบ็กจากการตามหลัง 4 สกอร์) นักเตะทุกคนต้องรู้ว่า สิ่งนี้จะอยู่คู่กับเราตลอดไป เราต้องทำให้ได้ และต้องแสดงให้เห็นว่าเราคือทีมที่ดีกว่า ทั้งในแง่ของผลสกอร์ และสถิติ"
"นี่คือสิ่งที่บาร์เซโลนา ทำมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าเรามีศักยภาพพอที่จะทำได้ ทุกอย่างเกิดได้ในฟุตบอล ทุกคนควรจะใจเย็น และเชื่อมั่นในตัวของพวกเรา เราจะทุ่มทุกอย่างที่มี เพื่อพลิกสถานการณ์กลับมา" หลุยส์ ซัวเรส กล่าวในการสัมภาษณ์ก่อนเกมนัดที่สอง
คำพูดของกองหน้าชาวอุรุกวัย แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนของนักเตะบาร์เซโลนา พวกเขาไม่มีคำว่าถอย ทั้งที่โดนนำอยู่ 4 ประตู และมุ่งมั่นมากกว่าที่เคยเป็น จนอดคิดไม่ได้ว่า หากไม่โดนถล่มมาในเกมแรก ทัพอาซูลกรานาคงไม่กระหายที่จะผ่านเข้ารอบมากขนาดนี้
1
แก้แทคติกชีวิตเปลี่ยน
ขณะที่ฝั่ง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยังคงความแข็งแกร่งเอาไว้ ในระหว่างช่วง 3 สัปดาห์ ด้วยการชนะ 3 จาก 4 เกม ในฟุตบอลลีกเอิง
อูไน เอเมรี กุนซือของเปแอสเช รู้ดีว่าทีมของเขาอยู่ในจุดที่ได้เปรียบกว่ามาก แต่ขณะเดียวกัน เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นความกระหายเลือดของแข้งบาร์เซโลนา จนเจ้าตัวต้องออกมาบอกว่า เขาปลุกใจนักเตะของเขาตลอดว่า อย่าประมาทเด็ดขาด เพราะ "บาร์ซ่าเอาแน่"
Photo : EPA
แม้ว่าเอเมรีจะรู้ถึงความเอาจริงเอาจังของทีมฝั่งสเปน แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือ การเปลี่ยนแทคติกจากหน้ามือเป็นหลังมือของ หลุยส์ เอ็นริเก ที่จะทำให้เกมการแข่งขันนัดที่ 2 เป็นประวัติศาสตร์ที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกต้องจดจำ
เปแอสเช ยังคงยึดมั่นกับแผน 4-2-3-1 ที่พวกเขาใช้มาในนัดที่แล้ว โดยเปลี่ยนตำแหน่งตัวจริงแค่คนเดียว นั่นคือส่ง ธิอาโก ซิลวา ที่หายกลับมาจากอาการบาดเจ็บ ลงเล่นแทน เพรสแนล คิมเพมเบ ในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง ซึ่งทำให้ปารีสดูแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ และตัวครบจัดเต็มขนาดนี้ ยิ่งทำให้ไม่มีใครคิดถึงการพลิกนรกของบาร์เซโลนา
หากแต่ทีมฝั่งสเปน ได้เปลี่ยนแทคติกแตกต่างจากเกมแรกโดยสิ้นเชิง จากที่เล่นในแผน 4-3-3 ได้เปลี่ยมาเล่นในรูปแบบ 3-4-3 Narrow Diamond ด้วยการดร็อปสองแบ็กตัวหลัก ฆอร์ดี อัลบา, เซร์จี โรแบร์โต ลงเป็นแค่ตัวสำรอง ใส่ ฮาเวียร์ มาสเคราโน ลงมาเป็นเซ็นเตอร์ร่วมกับ เคราร์ด ปิเก และ ซามูเอล อุมติตี
2
นอกจากนี้ หลุยส์ เอ็นริเก ได้เปลี่ยนบทบาทของ ลิโอเนล เมสซี่ ลงมาเป็นกองกลางตัวรุก และขยับ ราฟินญา ไปเล่นตำแหน่งกองหน้าตัวขวาแทนที่เมสซี่ ขณะเดียวกันโค้ชชาวสเปน ยังคงตัดสินใจส่ง เซร์คิโอ บุสเกตส์ และ อิวาน ราคิติช ลงสนามบัญชาเกมแดนกลาง แม้จะถูกวิจารณ์จากเกมในนัดแรก
Photo : www.dnaindia.com
บาร์เซโลนาได้ลองใช้แทคติกนี้ มาใน 2 เกมก่อนหน้า ผลลัพธ์ที่ออกมาคือทีมถล่มคู่ต่อสู้ยับเยิน 6-1 และ 5-0 ซึ่งเป็นผลสกอร์ที่จะสามารถพลิกชะตาพาบาร์ซ่า ล้มเปแอสเช ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
ต้องยอมรับว่าแทคติก 4-3-3 ซึ่งเป็นเหมือนลายเซ็นของบาร์ซ่ายุคใหม่ ออกอาการตื้อตีบตันมาพักใหญ่ จนคู่แข่งสามารถจับทางจุดแข็ง และเข้าใจจุดอ่อนของแผนการเล่นนี้ได้หมด
แต่แทคติกใหม่ 3-4-3 narrow diamond ของเอ็นริเก คือการเปลี่ยนสไตล์การเล่นในอีกรูปแบบโดยสิ้นเชิง กองหลังตัวกลาง 3 คน คือการเข้ามาแก้จุดอ่อน เรื่องการเปิดพื้นที่ว่างของแผนหลัง 4 คน จนกลายเป็นบ่อน้ำมันให้คู่ต่อสู้ใช้บอลเคลื่อนที่เร็วเข้าโจมตี
1
การเล่นหลัง 3 ได้ช่วยให้ บาร์เซโลนาเอาแบ็กทั้งสองข้างออกไป เพราะถึงจะเสียประสิทธิภาพการเติมเกมริมเส้นลง แต่ก็ช่วยลดโอกาสเสียประตู เพราะแทคติกของบาร์ซ่า แบ็กซ้ายและขวา ดันเติมเกมรุกสูงมาก จนกลายเป็นการเปิดช่องว่างให้คู่ต่อสู้โจมตีบ่อยครั้ง แถมเหมือนมีกองหลังแค่ 2 อีกต่างหาก จึงเป็นเหมือนการเปลี่ยนความคิดที่หันมามองเกมรับ ก่อนที่จะไปสร้างเกมรุก
El Máestro @ElMaestrofcb
ถึงจะหันมาให้ความสำคัญที่การป้องกัน แต่กลายเป็นว่าเกมรุกของบาร์เซโลนาแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากทีมเลือกดึง ลิโอเนล เมสซี่ ลงมาล้วงบอลต่ำในฐานะกองกลางตัวรุก ทำให้เขามีอิสระ และพื้นที่ในการเล่นมากกว่าเดิม ขณะเดียวก็เป็นเรื่องยากที่ผู้เล่นทีมรับจะไล่ตามประกบเขาตลอดเวลา เพราะเมสซี่จะเคลื่อนที่ระหว่างพื้นที่กองกลาง กับกองหลังของฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอด
นอกจากนี้ บาร์เซโลนายังปรับมาเน้นบอลเร็วแทงทะลุตามช่อง ในรูปแบบเดียวกับที่เปแอสเช ใช้เล่นงานพวกเขา ในเกมนัดที่แล้ว แทนที่จะเป็นบอลช้าดึงจังหวะ ผสมกับความสามารถการเลี้ยงกินตัวของ เนย์มาร์ และเมสซี่ แบบที่เคยทำ
เกมประวัติศาสตร์
แม้จะถูกนำไปด้วยสกอร์ 4-0 ในเกมแรก แต่นักเตะบาร์ซ่าเต็มไปด้วยความมั่นใจ เนย์มาร์ กล่าวก่อนเกมเริ่มว่า พวกเขาไม่รู้สึกเหมือนเป็นทีมที่โดนถล่มมาในนัดแรก เพราะทุกคนเชื่อว่าจะกลับมาได้ เชื่อว่าบาร์เซโลนาจะกลับมาเป็นผู้ชนะ
ด้าน หลุยส์ เอ็นริเก กุนซือของทีมได้หล่นวาทะเด็ดก่อนเกมไว้ว่า "ถ้าเปแอสเชยิง 4 ประตูใส่เราได้ เราก็ยิง 6 ประตูได้เหมือนกัน”
1
Photo : www.fcbarcelona.com
ขณะที่ แฟนบอลบาร์เซโลนายังคงเข้ามาชมเกมเต็มสนามความจุของ คัมป์ นู ส่งเสียงเชียร์ดังชวนขนลุกตั้งแต่เริ่มเกม เพื่อแสดงให้นักเตะรู้ว่า ผู้เล่นคนที่ 12 พร้อมแล้วที่จะเสริมสร้างความได้เปรียบในเกมวันนี้
เริ่มเกมมาเพียง 2 นาที บาร์ซ่าก็งัดไม้เด็ดออกมาให้เห็นทันที นั่นคือลูกเปิดจากระยะไกลของ ราฟินญา แทนที่จะค่อย ๆ ต่อบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ ทำให้เกมรับของเปแอสเชไม่ทันระวังตัว สกัดบอลผิดพลาดมาเข้าทาง หลุยส์ ซัวเรซ ดีดบอลเข้าประตูให้เจ้าบ้านนำไปอย่างรวดเร็ว 1-0
บาร์ซ่าพยายามบุกหนักตลอดทั้งครึ่งแรก ด้วยการเน้นใช้จังหวะฉาบฉวยเป็นหลัก แต่เกมรับของเปแอสเชก็ไม่ยอมพลาดเป็นครั้งที่ 2 ป้องกันได้เป็นอย่างดีมาตลอด จนกระทั่งในนาทีที่ 40 เลย์แวง เคอร์ซาวา ทำพลาดครั้งใหญ่ เมื่อเขาดันสกัดบอลเข้าไปตุงตาข่ายตัวเอง สร้างความได้เปรียบให้บาร์ซ่า จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 2-0
1
"มุ่งมั่น และผ่อนคลาย คิดถึงประตูต่อประตู ... เด็ก ๆ ต่อให้เราเหลือเวลาแค่ 5 นาที เราก็สามารถยิงพวกเขาได้ 3 ประตู" หลุยส์ เอ็นริเก ปลุกความฮึกเหิมให้กับลูกทีมด้วยคำพูดข้างต้น ตามการรายงานของสื่อ ซึ่งได้ผลจริง เพราะบาร์เซโลนาได้ประตูนำออกเป็น 3-0 จากลูกจุดโทษของ ลีโอเนล เมสซี โดยใช้เวลาแค่ 5 นาทีของช่วงครึ่งหลัง
Photo : www.thedailystar.net
อย่างไรก็ตาม มีข้อห้ามสำคัญอย่างหนึ่งในแผนการพลิกนรกของบาร์เซโลนา นั่นคือพวกเขาห้ามเสียประตูอย่างเด็ดขาด ... ก่อนการแข่งขัน หลุยส์ ซัวเรส ให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าเราเสียประตูเมื่อไหร่ พวกเราจบเห่ทันที
บาร์ซ่าเล่นเกมรับได้ดีมาโดยตลอด ผ่านการครองเกมไม่ให้เปแอสเชได้มีโอกาสตอบโต้ แต่เมื่อได้ประตูลูกที่ 3 ทีมจากสเปนเริ่มชะล่าใจ ปล่อยให้ปารีสได้มีโอกาสปล่อยหมัดตอบโต้
จนในนาทีที่ 62 แนวรับบาร์ซ่าเปิดโอกาส ให้ เอดิสัน คาวานี ยืนโล่งไร้ตัวประกบอยู่ในกรอบเขตโทษ และเขาไม่พลาด วอลเลย์บอลเข้าประตูช่วยให้เปแอสเชไล่มาเป็น 3-1
Photo : www.marca.com
งานของบาร์เซโลนายากขึ้นเป็นสองเท่าในทันที เพราะดันไปเสียประตูทีมเยือนให้กับปารีส นั่นหมายความว่า ต่อให้ยิงอีก 2 ลูก เพื่อชนะ 5-1 เป็นสกอร์รวม 5-5 พวกเขาจะตกรอบอยู่ดี ด้วยกฎประตูทีมเยือน ทางเดียวที่จะได้ไปต่อ คือการยิงอีก 3 ประตู ในช่วงเวลาที่เหลือของเกมนี้
บาร์เซโลนายังคงโหมบุกหนักอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ทำได้แค่เฉียด จนเวลาไล่เข้าสู่ช่องท้ายเกม สกอร์บนบอร์ดยังคงเป็น 3-1 หากแต่ หลุยส์ เอ็นริเก ยังคงปลุกเร้าลูกทีมของตัวเองต่อไป ซึ่งเจ้าตัวกล่าวหลังจบเกมว่า ถ้าเสียงนกหวีดสุดท้ายยังไม่ดัง คุณต้องเชื่อว่าโอกาสชนะยังอยู่กับเราเสมอ
2
ในเกมที่เต็มไปด้วยความกดดัน การเสียฟรีคิกระยะอันตรายหน้ากรอบเขตโทษไม่เคยเป็นเรื่องดี เปแอสเชได้รับบทเรียนนี้ไป จากการถูก เนย์มาร์ ปั่นลูกยิงสุดสวยในนาทีที่ 88 ส่งบาร์เซโลนากลับเข้ามาสู่เกมอีกครั้ง
เข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ หลังจากเสียประตูลูกที่ 4 แนวรับของ เปแอสเช สูญเสียสติ ความตั้งใจทุกอย่างที่พวกเขาเคยมี โดนแรงกดดันเล่นงาน จนพลาดเสียลูกจุดโทษให้กับบาร์เซโลนา และเนย์มาร์เป็นผู้สังหารประตูในนาที 90+1 สกอร์กลายเป็น 5-1 บาร์ซ่าต้องการอีกประตูเดียวเพื่อเข้ารอบต่อไป
Photo : everythingbarca.com
แฟนบอลส่งเสียงดังทั่วสนาม แม้แต่ เคราร์ด ปิเก ยังต้องมายืนเป็นหน้าเป้า และทุกอย่างเหมือนจะจบลงสำหรับบาร์ซ่า หลังปิเกได้โอกาสโหม่งโล่ง ๆ ในกรอบเขตโทษ แต่บอลดันไปเข้ามือผู้รักษาประตูของเปแอสเช
1
อย่างไรก็ตามในนาทีสุดท้าย 90+5 บาร์เซโลนาได้ลูกฟรีคิกโยนยาวจากเกือบครึ่งสนามเข้าไปในกรอบเขตโทษ ที่แม้แต่ มาร์ค อันเดร เทอร์ สเตอเกน ผู้รักษาประตูของบาร์ซ่ายังต้องขึ้นไปร่วมแจมลุ้นโหม่งทำประตู
1
ลูกเปิดถูกผู้เล่นเปแอสเช โหม่งทิ้งออกมาอย่างไม่ใยดี แต่บอลเจ้ากรรมลอยไปเข้าทางเนย์มาร์ และแทนที่จะเปิดบอลเข้าไปในทันที เนย์มาร์เลือกลากจี้เข้าหากรอบเขตโทษ ทำให้ผู้เล่นเปแอสเชคิดว่าเนย์มาร์จะตั้งป้อมยิงไกล จึงสลัดนักเตะบาร์ซ่าที่ยืนรอโหม่งในกรอบเขตโทษ และเคลื่อนที่เข้าหาเนย์มาร์ เพื่อปิดช่องยิงไกลของแข้งรายนี้
ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้นเอง เนย์มาร์ได้โชว์ความอัจฉริยะด้านลูกหนังของเขา ด้วยการดีดบอลข้ามแผงกองหลังที่เคลื่อนที่ขึ้นมา และเป็น เซร์จี โรแบร์โต ตัวสำรองในเกมวันนั้น กลายเป็นซูเปอร์ซับคนสำคัญ พุ่งเข้าไปดีดบอลเข้าไปตุงตาข่าย บาร์เซโลนานำเปแอสเช 6-1 และกลายเป็นฝ่ายนำในสกอร์รวม 6-5
"มันเข้าไปแล้ว มันเข้าไปแล้ว มันเข้าไปแล้ว" ผู้บรรยายเกมวันนั้นพูดซ้ำ ๆ เหมือนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ทุกคนในสนาม คัมป์ นู ที่อยู่ฝั่งบาร์ซ่า กระโดดกอดกันอย่างไร้สติ
ผู้ตัดสินเป่านกหวีดจบเกมในทันที บาร์เซโลนาสร้างประวัติศาสตร์การคัมแบ็กเข้ารอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้สำเร็จ
"นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรบาร์เซโลนา ต่อให้พวกเขาคว้าแชมป์มากี่ครั้งก็ตาม เพราะในแง่ของการพลิกผลการแข่งขัน ชัยชนะที่เกิดขึ้น”
“คุณดูจิตใจของพวกเขา ความฟิตของนักเตะในการเล่นเพรสซิ่ง มันแตกต่างออกไป ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี" ริโอ เฟอร์ดินานด์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้วิเคราะห์เกมคู่นี้ ของช่อง BT Sport อีกครั้ง แสดงทัศนะ ชื่นชมฝั่งบาร์เซโลนาบ้าง
มีคำชื่นชมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมากมาย บ้างก็ว่านี่เป็นการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอล บางคนว่าเกมนี้เหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์ แล้วแต่อารมณ์ร่วมของแต่ละคน กับเกมการแข่งขันนัดนี้
Photo : www.barcablaugranes.com
เรื่องราวสุดเหลือเชื่อครั้งนี้ ทำให้บาร์เซโลนาผ่านเข้ารอบต่อไป แม้จะร่วงจากฟุตบอลยูซีแอลในรอบถัดมา ด้วยฝีมือของ ยูเวนตุส แต่ผลจากเกมนัดนี้ ทำให้บาร์เซโลนา กับฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในฤดูกาล 2016-17 เป็นที่จดจำมาโดยตลอด และอยู่ในความทรงจำของผู้คน มากกว่าการคว้าแชมป์ของ เรอัล มาดริด ด้วยซ้ำไป
1
มีแง่มุมมากมายที่คุณสามารถหาได้ จากเกมการแข่งขันระหว่าง บาร์เซโลนา กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไม่ว่าจะเป็น ความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ก้มหน้าหรือยอมแพ้ต่ออุปสรรค, การไม่ล้มเลิกต่อเป้าหมายกลางคน ถึงจะมีเรื่องยากลำบากเข้ามา, การทำในสิ่งที่หลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ และหากเชื่อมั่นในสิ่งใด จงทำในสิ่งที่เชื่อมั่น เพราะหากสำเร็จ ผลตอบแทนทุกอย่างที่กลับมา จะคุ้มค่ากับทุกความลงทุน
ที่สำคัญที่สุด เกมการแข่งขันนัดนี้ แสดงให้เห็นถึงแก่น และเสน่ห์ของเกมฟุตบอลที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากการแข่งขันยังไม่จบลง อันเป็นเหตุผลที่ทำให้คนทั้งโลก หลงรักในกีฬานี้
บทความโดย ณัฐนนท์ จันทร์ขวาง
แหล่งอ้างอิง :
โฆษณา