16 มี.ค. 2021 เวลา 13:30 • กีฬา
ปรากฏการณ์ "ผีกาก้า" : เมื่อนักฟุตบอลจากครอบครัวผู้ร่ำรวยทำให้โลกลูกหนังหยุดหายใจ | MAIN STAND
ริคาร์โด้ กาก้า ชื่อนี้สำหรับใครที่ติดตามฟุตบอลตั้งแต่ยุคมิลเลนเนียม คงเข้าใจถึงความสุดยอดในสนามของเขาเป็นอย่างดี ทว่าสิ่งที่เราจะพูดถึงเขาต่อไปนี้ คือเบื้องหลังลีลาอันสวยงามและเหนือชั้น
นั่นคือ "ความศรัทธา” ที่มีต่อพระเจ้าทุกลมหายใจ จนชีวิตนี้เขากล้าการันตีว่า "ไม่เคยกลัวความตกต่ำ"
อะไรทำให้ กาก้า ศรัทธาในพระเจ้า และเป็นคริสเตียนที่เคร่งศาสนาถึงขีดสุด จนหลายคนมองว่าเขาเป็นผู้ชายน่าเบื่อ ?
ติดตามได้ที่นี่
ร่ำรวย ?
1
เรื่องราววัยเด็กของ ริคาร์โด้ กาก้า นั้นหลายคนอาจจะพอเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า ปูมหลังครอบครัวนั้นมีฐานะและมีความรู้ อย่างไรก็ตาม ความจริงตามข้อมูลหลาย ๆ แห่งที่พูดถึงเรื่องราววัยเด็กของเขานั้น ไม่ได้ปรากฏแน่ชัดว่าเขาอยู่ในสถานะ "ลูกเศรษฐี" อย่างที่ใครเข้าใจ
หากจะบอกให้ถูกต้อง คงต้องบอกว่าพ่อและแม่ของเขาเป็นชั้นปัญญาชนมากกว่า พ่อของเขาชื่อ บอสโก้ ไลเต เป็นวิศวกรโยธา ขณะที่ ซิโมเน่ ดอส ซานโตส แม่ของเขา มีอาชีพเป็นคุณครูในโรงเรียนประถม ดังนั้น ริคาร์โด้ กาก้า อาจจะไม่ได้รวยล้นฟ้าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอย่างที่เชื่อกัน เพียงแต่ครอบครัวของเขามีความมั่นคงทางการศึกษาและรายได้ นั่นคือความจริงที่ปรากฏชัดมากที่สุด
Photo : dorkorific.livejournal.com
ริคาร์โด้ อิเซคสัน ดอส ซานโตส ไลเต คือชื่อเต็มของเขา ส่วนชื่อเล่นที่เรียกกันทั้งโลกว่า "กาก้า" นั้นแท้จริงแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ความจริงแล้วมันเกิดขึ้นเพียงเพราะน้องชายของเขา โรดริโก (ชื่อเล่น ดิเกา) ในวัยที่หัดพูด เรียกชื่อ "ริคาร์โด้" ไม่ถนัด กลายเป็นออกเสียงว่า กาก้า ... เท่านั้นเอง เขาเลยเลือกใช้ชื่อเล่นนั้นแทนตัวเองมาตลอด
เดิมทีครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่ชานกรุงบราซิเลีย เมืองหลวงของประเทศ จนกระทั่งอายุได้ 7 ขวบ ครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ที่เมือง เซา เปาโล และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนานโลกลูกหนังแห่งบราซิลอีกบทหนึ่งอย่างแท้จริง
เหตุผลที่การย้ายเมืองครั้งนี้สำคัญกับชีวิตของ กาก้า ก็เพราะว่าโรงเรียนประถมที่เขาอยู่นั้นถือเป็นโรงเรียนชั้นแนวหน้าของเมืองที่ชื่อว่า Escola Internacional de Alphaville โดยทีมฟุตบอลของโรงเรียนนี้มีการทำ MOU กับอคาเดมีของสโมสร เซา เปาโล เอาไว้ ซึ่งจุดนี้เองที่เป็นการเชื่อมโยงกัน ที่ทำให้ กาก้า ได้เข้าสู่สมาชิกของทีม เซา เปาโล ในวันที่เขาอายุ 15 ปี ... และเรื่องราวการเป็นสุดยอดนักเตะก็เริ่มขึ้นหลังจากนั้น
คุณหนูกาก้า
ด้วยความที่ กาก้า เป็นเหมือนเด็กที่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ยากลำบากทั่วไป จึงทำให้เขามักถูกมองว่าเป็นพวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ชอบง่ายหน่ายเร็ว และเป็นพวกเห็นแก่ตัว อวดร่ำอวดรวย อะไรประมาณนั้น แต่นั่นคือสิ่งที่คนอื่นคิด เพราะความจริงแล้ว กาก้า นั้นได้ตัดสินใจตั้งแต่วันที่เซ็นสัญญาเข้าทีมอคาเดมีของ เซา เปาโล แล้วว่าเขาอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และหวังไกลถึงการเป็นนักเตะหมายเลข 1 ของโลก แม้ว่าตัวของเขาจะเรียนเก่งและมีความสามารถด้านวิชาการแค่ไหนก็ตาม
Photo : www.fanpop.com
"ผมต้องกระโดดข้ามกำแพงเพื่อเข้าโรงเรียนบ่อย ๆ นะจะบอกให้ โรงเรียนจะปิดประตูเมื่อถึงเวลา และผมไปสายเสมอ เลยต้องปีนเข้าทางกำแพง แม่ผมเคยถูกเชิญผู้ปกครองและถามผมว่า 'แกจะกระโดดกำแพงทำไม' ผมตอบแม่ว่า ฟุตบอลไงแม่ ถ้าได้เล่นฟุตบอล ต่อให้ผมจะต้องกระโดดข้ามกำแพงทุกเช้าจนกระทั่งเรียนจบ ผมก็จะทำ" กาก้า เล่าถึงความชอบในฟุตบอล
นอกจากความชอบและพรสวรค์แล้ว เหนือสิ่งอื่นใดคือ เขาสามารถเป็นเพื่อนกับทุกคนได้ เมื่อเข้าไปอยู่ในอคาเดมีของ เซา เปาโล เด็กส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ยากจน หลายคนกลัวว่าเขาจะเข้ากับเด็ก ๆ เหล่านั้นไม่ได้ แต่ด้วยการเข้าหาอย่างมีน้ำใจ และจริงใจ กาก้า ก็กลายเป็นขวัญใจของเพื่อนในเวลาไม่นาน
"ผมค่อนข้างจะแตกต่างกับเด็กบราซิล หรือนักฟุตบอลในประเทศคนอื่น ๆ พวกเขามาจากกลุ่มชนชั้นที่มีโอกาสน้อยมากในแง่การเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อเป็นนักฟุตบอล ส่วนผมเองเป็นเด็กที่ได้ทุกอย่างที่ผมต้องการ ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้รวยมากมายอะไร แต่พ่อของผมท่านทำงานหนักมาตลอดชีวิต คอยสนับสนุนผมและน้อง ๆ เสมอ ผมอาจจะแตกต่าง แต่ว่าผมมีต้นแบบที่ดี นั่นคือพ่อของผมเอง" กาก้า กล่าวเริ่ม
Photo : fotos.estadao.com.br
"หลังจากผมตัดสินใจเล่นฟุตบอลเป็นหลัก เรื่องฐานะที่ถูกคนอื่นมองไม่ได้เป็นปัญหาของผม ผมเข้ากับทุกคนได้ ผมชอบพาเพื่อน ๆ ร่วมทีมมาเที่ยวที่บ้าน (บ้านของเขามีสระว่ายน้ำ) เพราะผมรู้ว่าเพื่อน ๆ แต่ละคนมาจากที่ไกล ๆ กันทั้งนั้น พวกเขาต้องซ้อมอยู่กินกับทีม ปี ๆ หนึ่งจะได้กลับบ้านสักครั้ง ดังนั้นผมจึงชอบให้พวกเขามาเล่นที่บ้าน และผมว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดี ที่ทำให้ผมเข้ากับทุก ๆ คนได้"
ในอดาเดมีของ เซา เปาโล นั้น เรื่องราวของ กาก้า ถูกพูดถึงในแง่ของเด็กปาฏิหาริย์ เพราะในตอนแรกที่เขาเข้าสู่ทีม เขามีร่างกายเล็กผิดปกติ จากการที่มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไป 2 ปี ทว่าฝีเท้าของเขาไม่ได้ด้อยไปตามพัฒนาการ เขาเป็นเด็กที่คล่องแคล่ว และมีทักษะในการเล่นสูง ทุกคนจับตาว่าจะเป็นรายชื่อแรก ๆ ที่เมื่ออายุถึงเกณฑ์แล้ว จะถูกเรียกไปสมทบกับทีมชุดใหญ่ ซึ่ง กาก้า ก็นับวันรอเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาที่รอคอยมาถึง เขากลับเผชิญกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนตัวเองไปตลอดชีวิต
จุดเปลี่ยนตลอดชีวิต
หลังจากการพักช่วงสุดสัปดาห์กับทีม เซา เปาโล ชุดเยาวชน กาก้า ในวัย 18 ปี ไปเที่ยวที่บ้านคุณยาย และลงเล่นสระว่ายน้ำหลังบ้านเหมือนปกติ ทว่าวันนี้เขาขึ้นไปเล่นบนสไลเดอร์และพลาดตกลงมาอย่างแรงจนหลังกระแทกกับพื้น กระดูกสันหลังหัก ทุกคนรีบพาเขาไปส่งโรงพยาบาล แพทย์ทำการผ่าตัดเขาในทันที และบอกให้ครอบครัวทำใจว่า กาก้า อาจจะมีความเสี่ยงในการเป็นอัมพาตได้
เขานอนติดเตียงอยู่ 2 เดือน และทำได้เพียงแต่ภาวนาต่อพระเจ้า ครอบครัวเขาเป็นคริสเตียนพันธุ์แท้ที่ศรัทธาในเรื่องของศาสนาเป็นอย่างมาก และในเหตุการณ์นั้น กาก้า ได้เห็นว่าพ่อกับแม่ของเขา สวดภาวนาในทุก ๆ วัน เพื่อให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้ง ในช่วงเวลานั้น ทำให้เขาถูกสอนเรื่องพระเจ้า และเริ่มซึมซับอย่างจริงจังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จากนั้นเขาเริ่มสวดภาวนาตาม และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ 2 เดือนเท่านั้น กาก้า กลับมาเดินได้ปกติ และสามารถเล่นฟุตบอลได้เหมือนเดิมอย่างเหลือเชื่อ และอาจจะเก่งขึ้นยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
Photo : www.gazetaesportiva.com
หากเปิดประวัติการลงเล่นของ กาก้า ดู จะพบว่าเขาไม่เคยเป็นดาวเด่นในระดับทีมเยาวชนทีมชาติบราซิลเลยในช่วงก่อนอายุ 18 ปี สถิติการเล่นในระดับเยาวชนไม่ว่าจะ ยู 16, ยู 17, ยู 18 และ ยู 19 ของ กาก้า คือ 0 แต่ที่แปลกเหลือเชื่อคือหลังจากเขาหายจากความเสี่ยงเป็นอัมพาต เขากลับเด่นขึ้นมาจนถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุด ยู 20 ในปี 2001 และอย่างที่ทุกคนรู้กัน หลังจากนั้นปีเดียว เขาติดทีมชาติบราซิลชุดลุยฟุตบอลโลก 2002 ... ซึ่งในรายการนั้น บราซิล คือแชมเปียน
มันอาจจะเป็นเรื่องตลกสำหรับคนนอก ที่พูดว่าปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นโดยมีพระเจ้าเป็นคนทำ แต่ กาก้า ไม่คิดเช่นนั้น หลังจากหายกลับมาเป็นปกติ เขาเป็นคนเคร่งศาสนาอย่างมากที่สุด และเชื่อว่าทุกเส้นทางของขีวิตเขาหลังจากนี้ พระเจ้าเป็นผู้ขีดเส้นทางให้ โดยเขามีหน้าที่ทำตามพระประสงค์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
"สำหรับผม ฟุตบอลเป็นเหมือนอาชีพที่อยู่ในระยะสั้น ๆ ไม่ได้มีความหมายตลอดไป ผมเคยบอกทุกคนไปหลายครั้งว่า ฟุตบอลเป็นเพียงประสงค์หนึ่งของพระเจ้าที่ให้ผมได้เจอกับมัน พระเจ้ามอบชีวิตค้าแข้งให้ผมเพื่อทดสอบความศรัทธาที่ผมมีต่อตัวพระองค์ ... สำหรับผมแล้ว ความศรัทธาในพระเจ้าคือสิ่งที่เป็นนิรันดร์ที่สุดแล้ว"
Photo : Predator Collection @predatorcollec
ความเชื่อนั้นต่างจากความงมงายอยู่มาก ... ความงมงายคือการเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนมองข้ามความเป็นจริง หรือที่เรียกว่า "หลับหูหลับตาเชื่อ" แต่ความเชื่อที่ กาก้า มีต่อพระเจ้านั้น หากเปรียบให้เข้าใจคงเป็นเหมือนกับ เนวิเกเตอร์ ที่มีหน้าที่คอยนำทางของรถยนต์คันหนึ่งซึ่งเปรียบกับตัวเขา ส่วนคนที่ตัดสินใจว่าจะไปเส้นทางไหน จะขับช้า หรือจะเร่งความเร็ว คือตัวของเขาเท่านั้น นั่นทำให้เขาเต็มที่กับบทบาทชีวิตนักฟุตบอลเสมอ โดยไม่เคยมีเรื่องราวเสีย ๆ หาย ๆ ปรากฏเลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดอาชีพ สิ่งนี้พิสูจน์ได้เมื่อเขาอายุ 21 ปี และ เอซิ มิลาน ติดต่อมา กาก้า คว้าโอกาสนั้นไว้เพื่อพิสูจน์ตัวเองในทันที
1
"การติดต่อของ มิลาน ในวันนั้นเป็นเรื่องวิเศษมาก ผมอยากไปเล่นในยุโรปมาตลอดชีวิต ตอนที่ยังเด็กผมคิดภาพไว้ในหัวตลอด ตอนที่ มิลาน ยื่นข้อเสนอมาให้กับ เซา เปาโล ผมขอท่าประธานสโมสรว่า ไม่ว่าจะได้เงินน้อยหรือมาก ผมไม่เคยสนใจ แต่ผมอยากจะไปเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่ทีมนี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ตกลงกัน และทำให้ผมได้ไปที่อิตาลี" กาก้า เล่าย้อนความ
จากนั้นคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เมื่อมาถึงอิตาลี กาก้า สยบโลกฟุตบอลให้อยู่ใต้แทบเท้า ถ้าเป็นรถยนต์ก็คงเรียกว่าเหยีบบคันเร่งจนมิดเพื่อไปถึงจุดมุ่งหมายโดยไม่สนสิ่งเร้ารอบข้าง กาก้า ต่างจากนักฟุตบอลบราซิลคนอื่น ๆ แม้กระทั่งเรื่องวินัยนอกสนาม เขาไม่ได้พยายามทำตัวเป็นปัญหาของทีม แค่ทำทุกวันให้เต็มที่และกลายเป็นหมายเลข 1 ของโลก ซึ่งเข้าเชื่อว่า "พระเจ้าได้ชี้ทางเอาไว้แล้ว"
"ผมมักจะตั้งเป้าหมายไว้ในทุก ๆ ส่วนของชีวิต เรื่องฟุตบอลเองก็เหมือนกัน แม้ทุกคนจะพร่ำสอน และผมก็เชื่อว่าผมเป็นของพระเยซู (I belong to Jesus) แต่ผมเชื่อว่าผมก็ได้แสดงให้ทุกคนเห็นถึงสิ่งที่ผมทำแล้ว" กาก้า ว่าเช่นนั้น
Photo : acmilan.theoffside.com
ช่วงเวลา มิลาน คือช่วงเวลาที่ กาก้า พีคที่สุดเท่าที่นักฟุตบอลคนหนึ่งจะเป็นได้ ความเร็ว ความแข็งแกร่ง ไหวพริบ และการตัดสินใจ คือส่วนประกอบทั้งหมดที่เขามี กาก้า ร่วมพาทีมคว้าแชมป์ลีก 1 หน ในฤดูกาล 2003-04 และที่อยู่ในความทรงจำของทุกคนที่สุด คือใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2006-07 นั้นเป็นฤดูกาลที่ อังเดร เชฟเชนโก้ เพิ่งย้ายไปอยู่กับ เชลซี และ กาก้า ต้องกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในเกมรุกของ มิลาน ซึ่งเขาได้แสดงมันออกมาในเกมรอบรองชนะเลิศกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟอร์มใน 2 เกมเหย้า-เยือนนั้น ถูกเรียกว่าปรากฏการณ์ แม้กระทั่งประเทศไทย ยังเป็นประวัติศาสตร์ของ "เพลงล้อฟุตบอล" ที่ชื่อว่า "ผีกาก้า" และเป็นตำนานจนทุกวันนี้
กาก้า โชว์ลีลาเหนือมนุษย์ ลากผ่านกองหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนกับกรวยจราจร เขายิง 3 ประตูจาก 2 เกม และสร้างอิมแพกต์ครั้งใหญ่ที่ทำให้ทั้งโลกเลิกสงสัยว่า ริคาร์โด้ กาก้า คือนักเตะที่ดีที่สุดในปีนั้น
"คุณถามผมว่าอะไรนะ 'เวทมนตร์ของ กาก้า' เหรอ ? ผมว่าไม่ใช่หรอก ทุกอย่างเกิดจากการเคลื่อนไหวของเขาที่สวยงาม และแต่ละสัมผัสที่เหนือธรรมชาติอย่างที่สุด ทุกอย่างดูพิเศษและกลั่นออกมาอย่างลงตัว สิ่งที่เขาทำไม่มีอะไรที่ทำแล้วสูญเปล่า ทุกอย่างที่ กาก้า ทำ คือการทำอย่างมีจุดมุ่งหมายทั้งสิ้น" เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือของทีมที่โดน มิลาน ของ กาก้า เขี่ยตกรอบกล่าวหลังเกม
1
"จำได้ว่าคืนนั้นบอลจบ ตี 4 ผมตั้งโพสต์ถามเพื่อนสมาชิกว่า ถ้าจะแต่งเพลงล้อแมนฯ ยู ทำนองหมีแพนด้า ควรใช้ชื่อเพลงว่าอะไรดี ? คำหลังเราได้ละคือ กาก้า แต่ข้างหน้านี่สิ ยังหาไม่ได้ ก็มีน้องคนหนึ่งมาเมนท์ว่า 'ผีกาก้า' ผมจึงเลือกเอาชื่อนี้มาทำเพลง"
"ตื่นเช้าอีกวัน สรยุทธ (สุทัศนะจินดา) เอาไปเปิดในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เท่านั้นแหละ ดังระเบิด ก็เริ่มมีสื่อทั้ง หนังสือพิมพ์, นิตยสาร เข้ามาขอสัมภาษณ์ นั่นแหละ คือ จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในชีวิต (หัวเราะ)" ซ้ง-วิวัธน์ จิโรจน์กุล เจ้าของเพลงฮิต กล่าวถึงความดังและที่มาของเพลง ผีกาก้า กับ Main Stand
Photo : kumparan.com
สิ่งที่เรายกมาพูดถึงนั้น ก็เพื่อจะทำให้ทุกคนได้นึกภาพของ "กาก้าฟีเวอร์" ในปีนั้นออก มันไม่ง่ายเลยที่นักฟุตบอลคนหนึ่งจะถูกนำมาแต่งเป็นเพลงล้อเลียนที่ดังและเข้าถึงในคนหมู่มากได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นสื่อโซเชียลอย่าง เฟซบุ๊ก หรือ ทวิตเตอร์ ยังไม่ได้เป็นที่นิยมเลยด้วยซ้ำ
กาก้า คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก ทั้ง บัลลงดอร์ และของ ฟีฟ่า ในปี 2007 จากนั้นเขาก็ถูก เอซี มิลาน ขายให้กับ เรอัล มาดริด ด้วยราคาเป็นสถิติโลก (ช่วงสั้น ๆ) ในปี 2009 เพราะ ณ เวลานั้นทีมปีศาจแดง-ดำ กำลังประสบปัญหาทางการเงิน ... กาก้า ไม่อยากจะย้ายในทีมในครั้งนั้น แต่เมื่อเขาเชื่อว่านี่คือการทดสอบของพระเจ้า เขามีแต่ต้องไปต่อ และลองดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร
ศรัทธาที่แท้จริง
ในยามที่สุขสบาย ร่ำรวย และมีชื่อเสียง คนเราจะมองข้ามหลายสิ่งหลายอย่างไปโดยธรรมชาติ และหากจะถามว่าช่วงเวลาใดที่ทำให้คนเราสามารถศรัทธาในสิ่งที่ไม่มองไม่เห็นได้ดีที่สุด ? เราคงต้องตอบว่า "ช่วงเวลาที่ย่ำแย่และตกต่ำ" เมื่อนั้น ที่พึ่งทางใจคือสิ่งสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
กาก้า ไปเล่นกับ มาดริด ได้ไม่นานนักก็ประสบปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นที่ดรอปลงไปมาก เขาไม่เก่งเหมือนตอนอยู่กับ มิลาน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของอาการบาดเจ็บหรือการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมในทีมก็ตาม ซึ่งผลลัพธ์คือ กาก้า เริ่มมีชื่อเสียงที่ลดน้อยถอยลงไปทุกวัน ๆ ในสภาพที่คนทั่วไปอาจจะสภาพจิตใจตกต่ำ แต่สำหรับ กาก้า อย่างที่เขาได้กล่าวไปในข้างต้น ... ฟุตบอลก็แค่อาชีพระยะสั้นเท่านั้น ดังนั้นไม่จำเป็นจะต้องอ่อนไหว เขาเป็นคนที่เข้าใจในทุกความเป็นไปเสมอ
Photo : www.20minutos.es
"ผมจะบอกให้ว่า ริคาร์โด้ กาก้า ไม่ได้มีจุดแข็งที่ฝีเท้าอย่างเดียว เขานิ่งสงบ ไม่เคยมีแนวโน้มของสภาพจิตใจที่ย่ำแย่หรือแสดงให้เห็นถึงความซึมเศร้าเลย คนอย่างเขาคือแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น" คาร์โล อันเชล็อตติ อดีตกุนซือของ มิลาน และ เรอัล มาดริด ว่าถึง กาก้า
และ กาก้า เองก็กล่าวไปในทิศทางเดียวกัน เขายืนยันว่าช่วงเวลาที่ลำบากทำให้เขาสัมผัสกับพระเจ้าได้ชัดขึ้น ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามประสงค์และเป็นบททดสอบที่เขาต้องผ่านไป เพื่อแสดงให้เห็นถึงศรัทธาที่แท้จริง
"ศรัทธาสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตนักฟุตบอลของผมอย่างมาก เมื่อผมมีช่วงเวลาที่เลวร้าย อาทิกับ มาดริด หรือทีมชาติ สิ่งเดียวที่่ทำให้ผมไปต่อและมีกำลังใจผ่านพวกมันไปได้คือความเชื่อเท่านั้น ผมเชื่อเสมอว่าถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ สิ่งที่ดีกำลังจะตามมาในอีกไม่ช้า มันช่วยให้ผมเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกสถานการณ์ ศรัทธา คำนี้มีความหมายกับผมอย่างที่สุดในฐานะคนที่มีอาชีพเป็นนักฟุตบอลในครั้งหนึ่ง" กาก้า กล่าว
"ผมรู้ว่าชีวิตค้าแข้งของผมจะจบลงในอีก 2-3 ปี แต่แล้วยังไงล่ะ ? ชีวิตของผมยังคงต้องดำเนินต่อไป ผมต้องเตรียมพร้อมเพื่อบทบาทใหม่ อาชีพใหม่ แต่ที่สุดแล้วแก่นแท้ของผมยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง ... นั่นคือผมเป็นของพระเยซู"
กาก้า ย้ายกลับไปเล่นให้กับ มิลาน แบบยืมตัวสั้น ๆ และย้ายไปเล่นใน เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ กับ ออร์แลนโด ซิตี้ (พร้อมกับแว่บกลับไปเล่นให้ เซา เปาโล อีกพักนึง) หลังจากนั้นก็แขวนสตั๊ดในปี 2017 ทุกวันนี้เรื่องราวของ กาก้า ยังถูกเล่าขานในนาม "มนุษย์โลกที่เก่งด้านฟุตบอลที่สุดคนสุดท้าย" ก่อนที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ จะผลัดกันคว้าบัลลงดอร์คนละ 5 สมัย รวมกัน 10 สมัยหลังจากนั้น
Photo : www.besoccer.com
เรื่องราวชีวิตของ กาก้า อาจจะเต็มไปด้วยคำว่าศรัทธาและพระเจ้า แต่หากมองให้กว้างกว่านั้นอีกสักหน่อย เราจะได้เห็นถึงการเขย่าโลกที่มีเบื้องหลังจากความพยายาม การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และความสำคัญถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงควรปฎิบัติตัวกับคนอื่นให้ดี ...
1
กาก้า ต้องพิสูจน์ตัวเองมาตั้งแต่เด็กในความต่างด้านฐานะ แต่เขาก็เข้าไปเป็นที่รักของทุกคนด้วยความจริงใจ และเมื่อเขามายุโรป ในสังคมที่นักฟุตบอลอยู่ท่ามกลางแสงสีและเงินสะพัด เขาก็ยังยึดมั่นกับความเชื่อของตัวเองได้จนหยดสุดท้าย และกลายเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก พร้อม ๆ กับการเป็นผู้เคารพในพระเจ้ามากที่สุด แม้กระทั่งในวันที่อาชีพนักเตะตกต่ำ เขาก็ยังใช้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายไปได้ด้วยความเข้าใจต่อความเป็นไปที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์
ทุกอย่างไม่ใช่แค่ศรัทธา ริคาร์โด้ กาก้า ใช้ชีวิตได้อย่างมีเสน่ห์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ นั่นทำให้เรื่องของเขายังถูกกล่าวถึงในฐานะตำนานอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ...
Photo : www.orlandosentinel.com
"การประสบความสำเร็จสำหรับผมนั้น มีวิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่เพราะคำพูด แต่มันคือการกระทำ สำหรับผมตั้งแต่อายุ 15 ปี ผมบอกตัวเองเสมอว่า จากนี้ไปจะไม่มีอะไรที่สำคัญกว่าฟุตบอล และผมก็ทำเช่นนั้น อย่าโกหกตัวเอง ซื่อสัตย์กับสภาพจิตใจ และเชื่อมั่นในสิ่งที่ศรัทธา และผมมีความสุขมากกับหลายสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม ในวันที่ดี ผมมีความสุขที่ได้ประสบความสำเร็จ และในวันที่ร้าย ๆ ผมมีความสุขเพราะว่าได้รู้ว่าข้าง ๆ ตัวเรานั้นยังเหลือใครที่รักเราจริงบ้าง" กาก้า กล่าวทิ้งท้าย
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา