17 มี.ค. 2021 เวลา 12:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Justice League (2017) – เหล่าฮีโร่รวมทีม
โดยปกติแล้ว ทุกวงการของสื่อจะมี “แฟนบอย” คอยติดตามผลงานและความเคลื่อนไหวในสิ่งที่แฟนบอยเหล่านั้นสนใจ และมักจะเกิดการปะทะกันของแฟนบอยสองฝั่ง เมื่อสิ่ง ๆ หนึ่งกับคล้ายคลึงหรือเป็นภาพสะท้อนของอีกสิ่งนึงโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งแฟน Trekkie หรือแฟน Star Wars ก็ตาม แต่ทั้งสองแฟรนไชส์ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทั้งสองสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จเคียงคู่กันได้
หรือแม้กระทั่งสงครามแฟนบอย Marvel-DC ที่ด้าน Marvel ก้าวล้ำไปหลายปีและ DC ก็พยายามจะเร่งรัดตามมาอยู่เนือง ๆ เพื่อให้ทัน Infinity War ที่เป็นสงครามการปะทะของฮีโร่กับซูเปอร์ดาวร้ายอย่าง Thanos ทาง DC จึงเข็นเอา Justice League เพื่อเป็นการรวมดาวฮีโร่มาต่อต้านเหล่าร้ายโดยได้ แซ็ค สไนเดอร์ นั่งแท่นผู้กำกับเช่นเคย… แต่ก็ถอนตัวออกไปด้วยเหตุผลส่วนตัว ก่อนจะได้ จอสส์ วีดอน มาทำหน้าที่คุมงานที่เหลืออยู่
Justice League เล่าเรื่องต่อจาก Batman v Superman ที่ ซูเปอร์แมน ตายจากการห้ำหั่นกับ ดูมส์เดย์ ทำให้ทั้งโลกอยู่ในภาวะที่ไร้ความหวังและเป็นเหมือนใบเบิกทางให้กับภยันตรายให้เข้ามารุกรานโลก นั่นจึงทำให้ สเต็ปเพ่นวูล์ฟ ที่เคยหวังจะยึดครองจักรวาลกลับมาอีกครั้ง บรูซ เวย์นในฐานะแบทแมน จึงทำการรวมทีมเหล่าเมต้าฮิวแมนเพื่อมาปกป้องโลกไว้จากเงื้อมมือของสเต็ปเพ่นวูล์ฟให้ได้
มาเรื่องนี้ Justice League เล่าเรื่องเป็นเส้นตรงต่อจาก BvS จากการอาศัยเส้นเรื่องในนั้น โดยพูดถึงการรวมทีมโดย บรูซ เวย์น และมีโทนกับบรรยากาศที่ดูจะเบาและตึงเครียดน้อยลง เมื่อเทียบกับ Man of Steel และ BvS ระหว่างทางก็มีฉากแอ็คชั่นให้เหล่าฮีโร่ได้สำแดงพลังและรวมพลังกันสู้แทรกประปราย แถมด้วยการผ่อนคลายด้วยการยิงมุกจากตัวละคร ทำให้ดูเผิน ๆ Justice League เหมือนจะเดินทางไปอีกเส้นที่ต่างจากตัวเองเคยได้เดินมา
ส่วนที่ดีของหนังที่เราเห็นได้ชัดก็คือ ฉากแอ็คชั่นที่ฝ่าย DC ยังคงจัดเต็มในหลายฉาก ๆ ที่ดูมันส์อลังการ นับตั้งแต่ฉากเปิดตัว วันเดอร์ วูแมน ที่ดูเจ๋งและดูเท่มาก ฉากการไล่ล่าที่เทอมิสคีร่าที่ทำออกมาได้สร้างสรรค์และน่าติดตาม รวมถึงฉากรวมพลังกันสู้ก็ทำออกมาสนุกเช่นกัน โดยเฉพาะฉากสำคัญฉากหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงพลังของซูเปอร์ฮีโร่ที่แท้จริง ๆ
ส่วนต่อมาก็คือ การแสดงของทีมนักแสดง ที่เราอาจจะขอยกย่องฝั่ง Marvel มากตรงที่ พวกเขาสามารถหานักแสดงที่เหมาะสมกับตัวละครแต่ละตัวได้ดีและปั้นชื่อเสียงไปได้พร้อม ๆ กัน แต่ฝั่ง DC ก็สามารถให้นักแสดงที่มีเสน่ห์ในการรับบทตัวละครแต่ละตัวได้เหมาะสมเช่นกัน ทั้งการให้ เบน เอฟเฟล็ค มารับบทเป็น บรูซ เวย์น ที่คอยรวมทีม / กัล กาด็อต ที่เฉิดฉายในฐานะ วันเดอร์ วูแมน / เอซร่า มิลเลอร์ กับการโชว์ความเปิ่นในการเป็น เดอะ แฟลช / เจสัน โมมัว ในการเป็น อควาแมน และ เรย์ ฟิชเชอร์ ในฐานะ ไซบอร์ก ซึ่งทั้ง 5 คอยรับส่งเรื่องราวกันและกัน และมีเคมีระหว่างนักแสดงได้ค่อนข้างดี
แต่กระนั้นก็ไม่สามารถลืมส่วนเสียหลัก ๆ ของเรื่องไปได้ ด้วยความที่จักรวาล DC กระท่อนกระแท่นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ BvS และหนังที่สามารถปูพื้นเรื่องราวได้อย่างดีเยี่ยมก็มีเพียงแค่ Man of Steel และ Wonder Woman เท่านั้น เราจึงมีปัญหากับความเข้าใจที่เรามีต่อจักรวาล DC เสมอมา เช่น ที่มาที่ไปของตัวร้ายแต่ละตัวและพื้นเพบางอย่างที่อาจเชื่อมแต่ละตัวละครเข้าหากัน
แม้ว่า Justice League จะดำเนินเรื่องแบบง่าย ๆ ไร้ความซับซ้อนอาศัยการเดินเรื่องแบบตรงไปตรงมา พลางใส่มุกมาตลอดทาง แต่เราว่ามันก็คาดเดาได้ถึงบทสรุปที่หนังจะพาไปถึงได้ง่ายดายเกินไป ซึ่งเราคิดว่าการถ่ายซ่อมอาจจะมีส่วนบ้างแต่ถ้าหนังมีแนวทางที่แน่วแน่ไปแต่แรกและทางสตูดิโอมั่นใจในตัวหนังมากกว่านี้ หนังก็อาจจะไม่มีสภาพเหมือนของที่มีรอยปะแก้แบบเห็นได้ชัดทั่วทั้งชี้นแบบนี้… แถมพอเสร็จออกมา ของก็อยู่ในสภาพแค่ พอใช้ได้ อีกด้วย
สรุป Justice League ยังไม่อาจเป็นหลักไมล์สำคัญต่อจาก Wonder Woman ที่เคยทำไว้ เสียดายหลายองค์ประกอบที่หนังมี เห็นได้ถึงรอยสมานแผลตลอดเวลาที่ดู มาคราวนี้หนังดูง่าย ๆ ขึ้นแถมมีการแทรกมุกให้เรื่องราวดูเบาและตึงเครียดน้อยลงเมื่อเทียบกับเรื่องก่อน ๆ แม้ว่าจะคาดเดาได้ง่ายเกินไป กระนั้นตัวหนังยังมีเคมีของนักแสดงที่เข้ากันดีเสียเหลือเกินกับฉากแอ็คชั่นที่มันส์อลังการ
3 / 5
Justice League (2017)
Directed by Zack Snyder
Screenplay by Chris Terrio & Joss Whedon
Story by Chris Terrio & Zack Snyder
Based on "Justice League" by Gardner Fox

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา