21 มี.ค. 2021 เวลา 23:58 • นิยาย เรื่องสั้น
นิยาย 20 ตอน เรื่อง
"See you at the finish line - พบกันที่เส้นชัย"
ตอนที่ 1 - แคมป์โหด โค้ชเปอร์
“ผมแจ้งไว้ก่อนเลยว่าแคมป์นี้จริงจัง คุณเสียเงินมาแล้ว ผมจะไม่ให้คุณกลับไปแบบสบาย ๆ พวกคุณต้องคลานกลับบ้านไปเท่านั้น”
เสียงของโค้ชนักวิ่งชื่อดังประกาศก้องให้กับเหล่านักวิ่งมือสมัครเล่นด้วยใบหน้าเรียบเฉย คล้ายจะยิ้มมุมปากแว่บนึงก็เลือนหาย
ผู้ฟังหลายคนหัวเราะขำ ๆ หลายคนทำหน้ากังวลเมื่อได้ฟัง แต่ฝนรู้ว่าโค้ชคนนี้หมายความตามนั้นทุกคำ และที่เธอตัดสินใจเข้ามาแคมป์สามวันสองคืนที่นี่ ก็เพราะโค้ชคนนี้เป็นหนึ่งในวิทยากร -โค้ชเปอร์
“ก่อนที่เราจะเริ่มเรียนกัน ผมขอสอบถามก่อนนะครับ พวกคุณตัดสินใจวิ่งเพราะอะไร วิ่งมานานแค่ไหนแล้ว และทำไมถึงสมัครมาเข้าแคมป์แห่งนี้” โค้ชกวาดสายตาคมลึกไปรอบวง เสียงพูดคุยกันเมื่อครู่เงียบกริบ ไม่มีใครเอ่ยคำใด โค้ชจึงพยักหน้าไปยังชายหนุ่มร่างสันทัดคนหนึ่ง เขายืนขึ้น
“ผมตัดสินใจวิ่งเพราะสุขภาพไม่ดีฮะ เป็นออฟฟิซซินโดรม แล้วก็เหนื่อยง่าย เดินขึ้นบันไดบีทีเอสก็หอบแล้วฮะ วิ่งมาได้ปีกว่า ๆ แล้ว ตอนนี้อยากพัฒนาให้เก่งขึ้น อยากได้รางวัลติดมือกับเค้าบ้าง”
โค้ชพยักหน้ายิ้มน้อย ๆ “ผมขอโทษที ต้องขอให้ทุกคนแนะนำตัวด้วย ถึงแม้เราจะติดป้ายชื่อ แต่ถ้ามีโอกาสได้พูดอะไรเป็นครั้งแรก บอกชื่อด้วยก็ดีครับ”
“ผมชื่อนัทฮะโค้ชเปอร์” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม
วงกลมสนทนาในห้องโถงของอาคารชั้นล่าง เปิดโล่งรับลมทั้งสี่ด้าน นักวิ่งสมัครเล่นยี่สิบคน วิทยากรและเจ้าหน้าที่เจ็ดแปดคน ทำให้ห้องโถงดูแคบไปถนัดตา โค้ชเปอร์ยืนเด่นอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม เสียงที่ดังฟังชัดบ่งบอกถึงความเอาจริงเอาจัง แม้จะไม่นุ่มนวล แต่ก็ไม่กระด้างจนระคายหู
โค้ชสุ่มถามคนในวงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด
“คุณล่ะครับ” โค้ชมองตรงมาที่ฝน
“ฝนค่ะ” เธอบอกชื่อออกไป หยุดคิดเล็กน้อยว่าควรพูดความจริงดีหรือไม่ แต่ก็ตัดสินใจบอกความจริง
“วิ่งมาได้ปีนึงพอดีค่ะ ส่วนแคมป์นี้ตัดสินใจมาเพราะโค้ชนั่นแหละค่ะ”
โค้ชเปอร์เลิกคิ้วเล็กน้อย “ดังนั้นผมคิดว่าคุณฝนคงเตรียมตัวมาพร้อมแล้วว่าจะเจอกับอะไร”
“พร้อมค่ะ” ฝนพยักหน้าส่งแววตาจริงจังไปให้
“แต่คุณยังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่า เป้าหมายการวิ่งของคุณคืออะไร”
ท่าทางการยืนของโค้ชที่เอามือไขว้หลังสบาย ๆ แต่สายตาที่แน่วแน่และน้ำเสียงที่ดังเข้ม ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเล็กลงกว่าเดิม ฝนไม่สามารถตอบออกไปทันที ความเงียบเกิดขึ้นในวงสนทนาชั่วขณะ
“เอ่อ … ฝนไม่รู้เหมือนกันค่ะ แค่อยากวิ่งมั้งคะโค้ช” เธอตอบด้วยเสียงไร้ความมั่นใจ
“คุณคาดหวังอะไรจากแค้มป์นี้คุณฝน” ฝนไม่แน่ใจว่าเธอคิดไปเองรึเปล่าว่าเสียงโค้ชเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
“อยากวิ่งให้เร็วขึ้นแล้วไม่เหนื่อยตายค่ะ” คราวนี้เธอตอบชัดถ้อยชัดคำมากกว่าเดิม เพราะเป็นสิ่งที่เธอต้องการจริง ๆ เป็นเป้าหมายที่ทำให้เธอตัดสินใจมา และเธอรู้ว่าโค้ชเปอร์จะทำให้มันเป็นจริงได้ในสามวันนี้นี่แหละ
“คุณหวังสูงไปแล้ว ไม่มีใครเสกให้คุณได้ในสามวันนี้หรอก” โค้ชส่งสายตาดุตรงมาที่เธอ แล้วมองไปรอบ ๆ สบตากับนักวิ่งคนอื่นช้า ๆ ทีละคน
“แคมป์นี้จะทำให้คุณรู้ว่า วิ่งน่ะมันเหนื่อย ถ้าไม่อยากเหนื่อยคุณต้องไปทำอย่างอื่น ไม่ใช่มาวิ่ง!!” โค้ชพูดจบประโยคแล้วก็ยกมือขึ้นมากอดอก
“สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณยังคงซ้อมด้วยความเหนื่อยในทุกวันคือ คุณต้องหามันให้เจอว่า คุณมาวิ่งทำไม เพราะความเหนื่อยมันจะถามคุณแล้ว ถามคุณอีกว่า มึงทำอะไรอยู่!! มึงทำไปทำไม!!" โค้ชเน้นสองประโยคหลัง หยุดครู่เดียวแล้วพูดต่อ
1
"แล้วความเหนื่อยมันจะยื่นทางเลือกให้คุณว่า พักก่อนมั้ย นอนก่อนมั้ย หยุดก่อนมั้ย คุณต้องมีคำตอบให้มัน คำตอบต้องยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้ความเหนื่อยความท้อมันหุบปาก ซึ่งภายในสามวันนี้ คุณควรหาคำตอบนี้ให้พบ" ด้วยเสียงที่เข้มเบอร์นี้ ทำให้รอยยิ้มของหลาย ๆ คนเริ่มเลือนหายออกไปจากใบหน้า รวมทั้งรอยยิ้มของฝนด้วย
เมื่อโค้ชเปอร์พูดจบก็นั่งลง วิทยากรอีกท่านซึ่งเป็นโค้ชผู้หญิงอายุประมาณสามสิบปลาย ๆ ท่าทางทะมัดทะแมง เธอเป็นนักวิ่งที่คร่ำหวอดมาหลายปี รางวัลท๊อบ 5 ในหลายรายการใหญ่ล้วนตกมาอยู่ในมือเธอแล้วเกือบทั้งหมด แว่วมาว่าเธอถึงกับต้องสร้างห้องเก็บถ้วยรางวัลเลยทีเดียว ปัจจุบันผันตัวมาจัดแคมป์อบรมนักวิ่ง และลงรายการวิ่งน้อยลงเพื่อเปิดโอกาสให้นักวิ่งหน้าใหม่มีโอกาสครอบครองรางวัลบ้าง
“พี่ก็ไม่ทราบว่าโค้ชเปอร์จะสร้างความสยองขวัญให้พวกเราทำไมนะคะ” เธอลุกขึ้นพูดยิ้ม ๆ ฝนสังเกตว่าทุกคนเริ่มผ่อนคลายลง โค้ชส้มซ่าช่วยดึงบรรยากาศให้กลับมาสบาย ๆ อีกครั้งด้วยการเริ่มอธิบายถึงกิจกรรมที่เหล่านักวิ่งจะได้เรียนรู้ร่วมกันตลอดสองวันเต็ม
“เนื่องจากแคมป์นี้จะเน้นหนักไปในเรื่องของเทคนิคการวิ่งเทรล นั่นเป็นสาเหตุที่พี่เลือกจะมาจัดที่ขุนตาล เส้นทางที่พี่และทีมงานเตรียมไว้ให้ ทุกคนจะได้เรียนรู้การออมกำลังในการวิ่งขึ้นเขา จะได้ฝึกการวิ่งลงเขาอย่างปลอดภัย การเตรียมพื้นฐานของการวิ่งเทรล ที่สำคัญเราจะซ้อมวิ่งเทรลกลางคืน ซึ่งนี่คือไฮท์ไลท์ที่พี่เก็บไว้เป็นความลับซึ่งทุกคนจะต้องชอบ” โค้ชส้มซ่าอธิบายสบาย ๆ ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
1
“แน่ใจนะพี่ส้มว่าพวกเราชอบ” หญิงสาวคนหนึ่งมีชื่อติดหน้าอกว่า เปรียว พูดขึ้นมาด้วยเสียงหวาดหวั่น
“แน่ใจซี ชอบแน่นอน มาแคมป์พี่ทุกคนต้องประทับใจกลับไป” โค้ชส้มยังคงยิ้มละไม
1
เมื่อโค้ชส้มอธิบายกิจกรรมคร่าว ๆ เรียบร้อยจึงให้ทุกคนออกมายืนที่ลานหน้าอาคารที่พัก ซึ่งเข้าใจว่าเป็นอาคารเรียนของโรงเรียนประจำอำเภอ และลานนี้น่าจะเป็นสนามฟุตบอล หรือสนามอะไรก็ตามที่เด็ก ๆ คงวิ่งเล่นกันสนุกในวันที่มีการเรียนการสอน
“เราจะวัดระดับกันก่อนนะคะ เพื่อที่จะแบ่งกลุ่มไปซ้อมและเรียนรู้ในกิจกรรมที่เหมาะสมในแต่ละคน” โค้ชส้มซ่ายืนประกาศบนลังไม้สี่เหลี่ยม
“ตอนนี้ขอให้ทุกคนนับเลข 1 และ 2 ไปจนสุดแถวด้านหลัง ใครนับได้เลข 1 มารวมกลุ่มทางฝั่งขวา ส่วนใครได้เลข 2 มารวมกลุ่มทางฝั่งซ้าย จะมีฝั่งละ 10 คนพอดิบพอดี"
เมื่อทุกคนนับเลขและแบ่งข้างกันเรียบร้อย ฝนรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น เธอไม่รู้ว่ากิจกรรมวัดระดับนี้คืออะไร เธอไม่เคยเข้าแคมป์อบรมอะไรมาก่อนทั้งสิ้น การวิ่งของเธอก็ยังอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางช้า เคยเข้าร่วมงานวิ่งเทรลมาแค่ครั้งเดียวที่ระยะ 20K และก็เกือบโดนคัทออฟ เธอจึงตื่นเต้นมากเป็นพิเศษว่าจะตกอยู่ในอันดับท้ายสุด
โค้ชส้มซ่า และโค้ชเปอร์เดินนำคณะนักวิ่งออกมาจากบริเวณอาคาร เลยมาถึงถนนด้านหลังของโรงเรียน จุดที่ทุกคนยืนอยู่จะมองเห็นถนนดินเรียบอัดแน่น ทางขึ้นมุ่งหน้ายังยอดเขา ทางลงมุ่งหน้ายังเลือกสวนไร่นา
“กลุ่มหมายเลข 1 เดินตามผมมา” โค้ชเปอร์พยักหน้าและเดินนำขึ้นไปยังทางขึ้นเขา
“กลุ่มหมายเลข 2 รออยู่ตรงนี้กับพี่ค่ะ และยืนหน้ากระดานเรียงหนึ่งหันหน้าทางนู้น” โค้ชส้มซ่าพูดพลางชี้มือขึ้นไปยังทิศที่โค้ชเปอร์กำลังเดินขึ้นไป
โค้ชเปอร์และนักวิ่งกลุ่มหมายเลข 1 หยุดยืนอยู่ห่างขึ้นไปประมาณห้าสิบหกสิบเมตร เมื่อโค้ชเปอร์จัดแจงให้นักวิ่งในกลุ่มยืนหน้ากระดานเรียงหนึ่งประจันหน้ากับกลุ่มนักวิ่งหมายเลข 2 แล้ว เหล่าสตาฟของแคมป์ก็นำกรวยไปวางกำหนดจุดหมายของทั้งสองกลุ่ม
โค้ชเปอร์เดินมาหยุดอยู่ตรงกลางถนนระหว่างสองทีม ยกมือขึ้นเท้าเอว สองขาที่ยาวชะลูดแต่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของนักวิ่งปักหลักยืนเด่น อธิบายกติกาด้วยเสียงอันดังก้อง
“ผมจะจับเวลาทั้งหมดสามนาที เราจะเริ่มจากให้นักวิ่งกลุ่ม 1 วิ่งลงมาหานักวิ่งกลุ่ม 2 ด้านล่าง และเมื่อลงมาถึงแล้ว นักวิ่งกลุ่ม 2 จะวิ่งขึ้นไปยังจุดของนักวิ่งกลุ่มที่ 1 โดยจะวิ่งสลับกันไปแบบนี้จนครบสามนาที หากใครไม่ไหวให้ยกมือแล้วออกจากการวิ่งมารวมกลุ่มที่โค้ชส้ม" โค้ชหยุดหายใจแสยะยิ้ม “สิ่งสำคัญคือพวกคุณต้องวิ่งสุดแรงทั้งตอนขึ้นและตอนลง!!"
เสียงฮือฮาพึมพำเกิดขึ้นจากทั้งสองกลุ่ม โค้ชส้มซ่าจึงออกโรงดึงบรรยากาศอีกครั้ง
"ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่ไม่ใช้แล้ว เพราะทางการตัดถนนเส้นใหม่ให้อีกฝั่งของภูเขา ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องรถรา เพื่อความไม่ประมาทตอนนี้มีน้อง ๆ คอยเฝ้าให้ทั้งข้างบนและข้างล่างค่ะ" เสียงอ่อนนุ่มเป็นกันเองของโค้ชส้มช่วยคลายบรรยากาศให้เบาลง
“ก่อนจะเริ่ม พี่ขอให้ทุกคนสำรวจเชือกผูกรองเท้าของตนเอง การวิ่งเทรลร้องเท้าต้องแน่นกระชับนะคะ ถ้าไม่แน่ใจให้แก้เชือกแล้วผูกอีกครั้ง ดึงให้กระชับตั้งแต่รูแรกจนถึงรูสุดท้ายแล้วค่อยผูกสองทบให้แน่นค่ะ”
เมื่อรองเท้าของนักวิ่งทุกคนพร้อม โค้ชส้มซ่านำทั้งสองทีมวอร์มอัพด้วยท่าพื้นฐานประมาณสองสามนาที แล้วพยักหน้าส่งสัญญาณให้กับโค้ชเปอร์
“ปรี๊ดดดดดดดด” เสียงนกหวีดถูกเป่าขึ้น โค้ชเปอร์ขยับออกไปยืนข้างถนน
นักวิ่งกลุ่มหนึ่งวิ่งลงมาด้วยความเร็วจนฝุ่นคลุ้งลอยขึ้น ฝนรวมกลุ่มอยู่กับทีมสองเธอมองขึ้นไปยังเนินด้านบนที่มีความชันพอสมควร สายตามุ่งมั่นซอยเท้ารอ ตำแหน่งของเธอตรงกับนักวิ่ง"เปรียว" เธอจึงจับจ้องอยู่แค่เปรียวเท่านั้น เมื่อเปรียวใกล้จะมาถึงเธอยกมือขึ้นเพื่อรอรับการแตะมือจากเปรียว จากนั้นเธอก็เริ่มออกวิ่งสุดแรงโดยนับเลขขึ้นในใจเพื่อดูว่าเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนเธอจะมีเวลาพักนานแค่ไหน
ฝนไม่รู้มาก่อนเลยว่าระยะห้าสิบเมตรจะทำให้เธอเหนื่อยหอบ เมื่อถึงจุดเดิมของทีมหนึ่ง เธอมองไปยังเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่มาถึงในระยะเวลาใกล้ ๆ กัน เห็นนัทส่งยิ้มมาให้ ดูเหมือนเขาจะไม่เหนื่อยมากเท่าเธอ
ยังไม่ทันที่จะคิดอะไร เปรียวและคนอื่น ๆ ก็วิ่งกลับขึ้นมาแล้ว ฝนแตะมือกับเปรียวแล้วถีบเท้าส่งตัวเองลงไปพร้อมนับเลขในใจอีกครั้ง การวิ่งลงไม่เหนื่อยเลยเมื่อเทียบกับการวิ่งขึ้น เลขที่นับก็เป็นตัวชี้วัดให้ได้เป็นอย่างดี ขาขึ้นเธอนับได้แปด ส่วนขาลงเธอนับได้ห้า นั่นแปลว่าเธอแทบจะไม่มีเวลาหยุดพักเหนื่อยในแต่ละรอบเลย
เมื่อมาถึงรอบที่หก ฝนได้ยินเสียงหอบชัดเจนจากทั้งทีมเธอและทีมหนึ่ง ไม่มีรอยยิ้มจากนัทหรือเพื่อนนักวิ่งคนอื่นอีกแล้ว ทุกคนมีสีหน้าเบี้ยวและเหยเกเมื่อต้องวิ่งขึ้น และบางคนเริ่มเซไม่ตรงทางเมื่อวิ่งลง
“เพิ่งผ่านไปหนึ่งนาทีเท่านั้น!! ถ้าใครไม่ไหวก็ออกมา วิ่งให้เร็ว!! วิ่งให้เร็ว!!” เสียงโค้ชเปอร์ดังก้องไปทั้งถนน
ฝนคิดว่าไม่มีใครอยากวิ่งช้า แต่เมื่อผ่านไปสิบกว่ารอบขามันไม่เชื่อฟังคำสั่งแล้ว เธอพยายามกัดฟันคงความเร็วให้เท่าเดิม แต่ความล้าของกล้ามเนื้อทำให้มันเร็วไม่ได้เท่าใจนึก หัวใจเต้นแรงเร็วระรัว ลมหายใจติดขัด จังหวะที่ยืนรอแม้จะยาวนานขึ้นเพราะอีกทีมเริ่มล้าเช่นกัน ก็ไม่พอที่จะทำให้หายเหนื่อย
เปรียวยกมือขอออกจากการทดสอบเป็นคนแรก สองสาวฝาแฝด พลอยและแพรว ยกมือออกตาม ฝนถามตัวเองว่าจะออกด้วยดีมั้ย เสียงตวาดก้องของโค้ชเปอร์ก็ดังขึ้นว่า
“อย่าหยุด!!” เมื่อฝนหันไปมอง ก็รู้ว่าโค้ชเปอร์หมายถึงเธอ คนในทีมของเธอออกวิ่งไปแล้ว ฝนจึงถีบเท้าพาตัวเองวิ่งตามออกไป เธอตกใจเสียงของโค้ชจนลืมความล้าของขา
“ทำได้แค่นี้ใช่มั้ย!! เหนื่อยแค่นี้ทนไม่ไหวแล้วใช่มั้ย!! นี่เรียกว่าวิ่งเร็วแล้วรึไง!! ถ้าอย่างนั้นก็ออกมา” โค้ชยังคงส่งเสียงตวาดดังลั่น ยังเหลือคนอยู่ในการทดสอบเกินครึ่ง ฝนมองไปยังกลุ่มที่ยกธงขาวและรวมกลุ่มอยู่กับโค้ชส้มซ่า เห็นเปรียวสบตามองกลับมาและปรบมือให้เบา ๆ เธอทำปากขยับโดยไม่มีเสียง “สู้ ๆ”
1
“ผมบอกแล้วใช่มั้ย ถ้าคุณไม่รู้ว่าวิ่งไปเพื่ออะไร คุณจะตอบคำถามของความเหนื่อยไม่ได้ มึงทำไปทำไม!! มึงหยุดดีมั้ย!!” เสียงเร่งเร้า โวยวายของโค้ชเปอร์อาจจะปลุกพลังให้กับหลายคน แต่สำหรับฝน มันทำให้เธอโกรธ เธอรู้ว่าโค้ชเปอร์กำลังประชดเธอ ก็มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่ตอบว่าไม่รู้ว่า วิ่งไปทำไม??
แรงฮึดมาจากไหนไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ขาสองข้างเริ่มประท้วง เหงื่อที่ไหลโทรมเต็มหลัง เหงื่อที่หน้าเปียกชุ่มจนเข้าปากเข้าตา ฝนยกแขนขึ้นปาดเหงื่ออย่างลวก ๆ แล้วสับขาวิ่งลงมาเร็วกว่าเดิม เธอไม่ทันเห็นว่าเชือกรองเท้าข้างนึงลื่นหลุดออกมา และเหยียบมันลงไป เท่านั้นเองแรงโน้มถ่วงของโลกก็ดึงเธอให้ล้มอย่างหมดท่า หัวเข่ากระแทกครูดไปกับก้อนหิน ข้อศอกไถลพรืดไปกับกรวดรายทาง เธอรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้างอยู่สักครู่ ก่อนจะเห็นดวงหน้าตระหนกของโค้ชใกล้เข้ามาหาเธอ
“ทุกคนวิ่งต่อไป อย่าหยุด ผมดูทางนี้เอง โค้ชส้มจับเวลาต่อ” แม้จะตกใจ แต่โค้ชเปอร์ก็ยังคงสติดีเยี่ยม เขาวิ่งเข้าไปหาฝน แต่ก็ไม่ลืมตะโกนบอกทุกคนให้ดำเนินการต่อ
โค้ชเปอร์คุกเข่าลงเพื่อสำรวจอาการบาดเจ็บ กางเกงขาสั้นที่ฝนใส่ทำให้การมองปราด ๆ สามารถระบุบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว หัวเข่าขวาแตกเล็กน้อยมีเลือดออกซิบ ๆ หน้าแข้งซ้ายมีรอยครูดยาวแต่ไม่มีเลือด โค้ชยื่นมือมาให้เธอจับเพื่อพยุงตัวขึ้น แต่เมื่อฝนยันตัวขึ้นก็รู้สึกเจ็บแปล๊บบริเวณหัวเข่า “โอ๊ะ”
“คุณเจ็บข้อเท้ามั้ย หรือว่าเอ็นพลิก” โค้ชหนุ่มขมวดคิ้วถามเสียงเครียด
“เจ็บแผลเฉย ๆ ค่ะโค้ช” ฝนตอบเสียงอ่อย พลางยืดตัวขึ้นยืนตรง
“ไปทำแผลกับผมก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาฝึกใหม่ เดินไหวนะ” ฝนพยักหน้าพลางคิดในใจ
อะไรนะ?? นี่ฉันหูฝาดไปรึเปล่า โค้ชบอกว่าเดี๋ยวค่อยกลับมาฝึกใหม่ใช่มั้ย ?
“โค้ชส้ม ผมจะพาคุณฝนไปทำแผลก่อน คุณฝึกซ้อมตามแผนได้เลย เดี๋ยวผมมา" โค้ชส้มซ่าพยักหน้ารับ ตอนนี้การทดสอบได้สิ้นสุดลงแล้ว เธอไม่ทันมองว่ากลุ่มที่ทำจนครบสามนาทีมีกี่คน แต่เห็นนัทยืนรวมอยู่ในนั้นด้วย
ทั้งสองคนเดินกลับไปยังอาคารที่พักชั้นล่างที่เปิดโล่ง มุมด้านหนึ่งมีกระเป๋าปฐมพยาบาลเปิดอ้าไว้ สตาฟของแคมป์ขึ้นไปรวมกลุ่มอำนวยความสะดวกให้นักวิ่ง ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ เมื่อเห็นโค้ชหันรีหันขวางฝนจึงเอ่ยขึ้นว่า
“โค้ชไปเถอะค่ะ เดี๋ยวฝนทำเองได้ แค่เข่าถลอกแค่นี้เอง” โค้ชขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ตอบกลับ เดินหนีไปอีกฝั่งของอาคาร แล้วยกเก้าอี้มาวางตรงหน้า
“คุณนั่งลงก่อน” เสียงห้วนแกมดุ ทำให้เธอหน้าจ๋อยนั่งลงช้า ๆ และเผลอสูดปากเบา ๆ เพราะตึงบริเวณแผล
โค้ชคุกเข่าหนึ่งข้างลงตรงหน้าเธอยื่นมือไปที่เชือกรองเท้าเพื่อจะผูกให้กระชับแน่นขึ้น ฝนมองตามมืออันหนาใหญ่นั้นไป สมองประมวลผลรวดเร็ว รองเท้าที่บัดนี้ขมุกขมอมเคลือบไปด้วยฝุ่นดิน เธอเกรงใจโค้ชขึ้นมาฉับพลัน ก่อนที่โค้ชจะจับมาที่เชือกรองเท้า เธอจึงก้มลงเอื้อมไปจับมือโค้ชไว้ทัน เพื่อจะบอกว่าเดี๋ยวเธอผูกเอง ก็พลันเกิดกระแสไฟฟ้าประหลาดช๊อตมือเธอจนสะดุ้ง เธอปล่อยมือโค้ชทันควัน ตาเบิกโพลง
โค้ชเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ ใช่แล้ว โค้ชก็รับรู้ถึงกระแสไฟฟ้านั้นเช่นกัน
🏃‍♀️🏃❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา