Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อยากทำไป-มด
•
ติดตาม
22 มี.ค. 2021 เวลา 23:58 • นิยาย เรื่องสั้น
นิยาย 20 ตอน เรื่อง
"See you at the finish line - พบกันที่เส้นชัย"
ตอนที่ 2 - ผีเสื้อที่บินอยู่เต็มท้อง
โค้ชเปอร์และฝนพากันเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนนักวิ่ง ที่ตอนนี้แยกย้ายกันไปฝึกซ้อมเป็นสองทีม ได้ยินเสียงโค้ชส้มซ่าและทีมงานอธิบายดังอยู่ไม่ไกล
“ผมถือว่าคุณไม่จบสามนาที ไปรวมกลุ่มกับทางด้านนู้น” โค้ชพูดไม่มองหน้าเธอ แต่ชี้มือไปทางกลุ่มนักวิ่งที่มีเปรียวและคู่แฝดสาวยืนอยู่ จากนั้นเดินแยกไปหาอีกทีม
“คุณฝนเป็นยังไงบ้าง อยากพักก่อนมั้ย” โค้ชส้มส่งเสียงทักทายเมื่อเธอเดินไปถึง
“สบายค่ะพี่ส้ม แค่เข่าถลอกเองพี่ เส้นไม่ได้พลิกอะไรเลย ล้างแผลปิดพลาสเตอร์เรียบร้อย” ฝนชี้มือให้ดูเข่า พร้อมยิ้มสดใส
“โอเค งั้นเดี๋ยวมาเข้าแถวรวมกับเพื่อน ๆ เลย จะได้ฝึกดริลกัน” โค้ชพยักหน้าให้ฝน หลังจากนั้นโค้ชส้มก็อธิบายหลักพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่จำเป็นสำหรับการวิ่งเทรล ศัพท์เทคนิคทางการวิ่งเรียกกันว่า “ดริล” ซึ่งจะแตกต่างไปจากที่ฝนเคยรู้มาเล็กน้อย โดยปกติเธอเองก็วิ่งแต่ทางราบ ลงงานวิ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นวิ่งถนน เพิ่งมีช่วงสองสามเดือนหลังที่เข้าสู่การวิ่งเทรล เธอรู้สึกว่ามันท้าทายกว่ากันมากทีเดียว
การสาธิตและฝึกฝนจากโค้ชส้มเป็นไปด้วยบรรยากาศสดชื่นและกันเอง หลายคนสนุกกับวิธีการดริลที่เหมือนการวิ่งกระต่ายขาเดียว โค้ชส้มให้แข่งกันว่าใครจะกระโดดได้ไกลกว่ากัน จึงมีการท้าทายและเสียงหัวเราะอยู่ตลอดเวลา
ฝนมองไปทางอีกกลุ่มที่กำลังฝึกลากยางบรรทุก โดยใช้เชือกผู้ติดกับเอวเพื่อลากยางเส้นยักษ์ขึ้นเขาอยู่ห่างออกไป รู้สึกโชคดีมากที่ไม่ต้องไปทำอะไรโหดสาหัสแบบนั้น เธอมองเห็นนัทนักวิ่งหนุ่มผู้ที่เอาชนะออฟฟิซซินโดรมมาได้แล้ว กำลังวิ่งขึ้นเขาด้วยหน้าตาเหยเก แต่พอมองเลยไปหน่อย ก็เห็นโค้ชเปอร์มองตรงมาที่เธอ ฝนหลบตาวูบใจเต้นประหลาด ไม่แน่ใจว่าเธอควรรู้สึกอย่างไร กลัวอย่างนั้นเหรอ?
4
“ดีจังเนอะที่เราไม่ต้องไปลากยาง” เสียงกระซิบจากเปรียว เธอเองก็มองไปยังอีกกลุ่มเช่นกัน ฝนหันมายิ้มรับชื่นบาน แต่พลันก็ต้องหุบยิ้ม แล้วร้องลั่นเมื่อโค้ชส้มประกาศว่า
“พักดื่มน้ำกันยี่สิบนาทีนะคะ แล้วสลับที่กับอีกทีม” เสียงร้องฮือฮารับเมื่อโค้ชส้มจบประโยค
“พี่โส้มมมม เราต้องไปเทรนกับโค้ชเปอร์เหรอพี่” พลอยหนึ่งในแฝดโอดโอย
“ใช่ซี ไม่ยาก ไม่ยาก เรามองอยู่ทางนี้เหมือนยากใช่มั้ยล่ะ เดี๋ยวพอลองดูแล้วจะรู้” อะไร ๆ สำหรับโค้ชส้มดูง่ายไปหมดซะทุกอย่าง การมองโลกแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ปลอบประโลมใจเหล่านักวิ่งได้ไม่นาน ต่างรู้ดีว่าไม่ยากของโค้ชส้มนั้นไม่มีจริง เมื่อหมดเวลาพัก ทุกคนพยักหน้าให้กันแล้วเดินตรงไปยังโค้ชเปอร์ที่ยืนเท้าเอวหนึ่งข้าง ส่วนอีกมือหนึ่งถือขวดน้ำไว้ในมือ ขาข้างหนึ่งหย่อนสบาย ๆ สายตาเหม่อมองไปยังกลุ่มไม้ใหญ่ เป็นท่าทางที่แม้มองจากที่ไกล ๆ ฝนก็รู้สึกว่า
“โค้ชเปอร์แม่งเท่ชะมัด” เสียงกวี หนุ่มนักวิ่งหน้าใส เอ่ยออกมาแทนความคิดของเธอ
“เหอะ!! เดี๋ยวจะรอดูว่าจบจากลากยางแล้วจะยังชื่นชมอยู่รึเปล่า” แพรว หนึ่งในแฝดสาวหันไปพูดกับกวี
“พี่แพรว แค่ลากยางแค่นี้เอง โค้ชไม่เอาเราถึงตายหรอกน่า” กวียังคงรู้สึกคึกคักมีพลังเพราะเพิ่งได้พักไปหยก ๆ
“พวกคุณรู้รึเปล่าว่าผมจะให้เราลากยางขึ้นเขาไปทำไม” โค้ชเอ่ยขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อทุกคนเดินมาถึง
“สร้างกล้ามเนื้อน่อง กล้ามเนื้อต้นขารึเปล่าครับโค้ช” กวีตอบด้วยความมั่นใจ โค้ชพยักหน้ายิ้มรับที่มุมปาก
“ถูกส่วนหนึ่ง แต่สำหรับจุดประสงค์ในวันนี้ ผมอยากให้คุณลิ้มรสความเหนื่อยสาหัส ในวันที่คุณลงสนามจริง คุณวิ่งมาแล้วสามสิบกิโล และนี่คือเขาลูกสุดท้ายก่อนที่จะถึงเส้นชัย นั่นคือตอนที่คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า คุณมาวิ่งทำไม??” โค้ชร่ายยาวด้วยเสียงหนักแน่นเข้มแข็ง
“หลายคนท้อกับความท้าทายสุดท้ายนี้แล้วยกเลิกกลางคัน แต่หลายต่อหลายคนก็ไปต่อ ซึ่งคนที่ไปต่อทุกคนตอบคำถามในใจได้ว่า เป้าหมายคืออะไร เส้นชัยจำเป็นขนาดนั้นจริงรึเปล่า ไม่มีใครโห่ร้องแสดงความยินดีกับคุณนักหรอกเมื่อถึงเส้นชัย แต่ทำไมทุกคนถึงยังไปต่อ ทำไม?!! คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ ถ้าตอบไม่ได้ การลากยางขึ้นเขาวันนี้อาจจะช่วยคุณ”
ฝนก้มหน้าสายตาจับอยู่เพียงเชือกรองเท้า ฟังโค้ชพูดจนจบด้วยใจที่เต้นแรง เธอไม่ต้องเงยหน้าก็รู้ได้แน่ชัดว่าโค้ชมองเธออยู่ เธอไม่ต้องถามใครก็รู้ได้แน่ชัดว่าโค้ชพูดถึงเธออยู่ แต่ใจที่เต้นแรงนี่คืออะไรกัน?
พระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว ทุกคนแยกย้ายไปอาบน้ำและเตรียมมาพบกันในเวลาทุ่มครึ่ง ด้านล่างที่เคยเป็นลานโล่งนั่งสนทนากัน ตอนนี้ถูกปรับให้เตรียมพร้อมสำหรับสถานที่รับประทานอาหาร โต๊ะยาวตัวใหญ่ถูกตั้งวางกลางพื้นที่ ทีมงานง่วนอยู่กับการจัดวางสำหรับอาหาร ฝนได้กลิ่นข้าวที่หุงสุกใหม่ ๆ กลิ่นกระเทียมเล่นล้อกับน้ำมันร้อน หอมฉุนขึ้นมาเตะจมูกพลันน้ำลายก็ขึ้นมารออยู่ในกระพุ้งแก้ม เธอกลืนน้ำลายกลับไปอย่างรวดเร็ว
“เอ้า มายืนกลืนน้ำลายอยู่ได้ รีบไปอาบน้ำสิฮะ” ฝนหันไปก็เจอนัท ส่งยิ้มล้อเลียน
“ถ้าไม่ต้องอาบน้ำได้จะดีมาก หิวจนจะกินควายได้แล้ว นัทไม่เหนื่อยเลยเหรอ” เธอเลิกคิ้วถาม
“โอ๊ย ใครไม่เหนื่อยล่ะฮะฝน ฝึกหนักทั้งวันแบบนี้ ดีนะที่ได้สลับไปสลับมาระหว่างโค้ชส้มกับโค้ชเปอร์ ไม่งั้นผมว่าแรงจะกินข้าวก็ไม่น่าจะเหลือ ทุกคนสลบหมดแน่" นัทตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะวิ่งขอตัวไปอาบน้ำ
เธอมีโอกาสได้คุยกับนัทบ้างเล็กน้อยตอนพักเบรกเล็ก ๆ เขาอายุไล่เลี่ยกับเธอคือยี่สิบปลาย ๆ ทำงานด้านไอทีอยู่ธนาคารแห่งหนึ่ง เพิ่งลงวิ่งเทรลได้ไม่นานเช่นเดียวกัน อัธยาศัยไมตรีแบบสุภาพที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป ทำให้ฝนรู้สึกสบายใจที่จะคุยด้วย
ฝนเดินเรื่อย ๆ กลับขึ้นไปยังห้องพัก ซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ด้านบนอาคาร ฟูกถูกวางเรียงต่อกัน มันเป็นที่นอนง่าย ๆ ที่เธอเองและเหล่านักวิ่งที่เข้าร่วมอบรมก็ไม่ได้คาดหวังให้มันสบายมากกว่านี้ ทุกคนได้รับข้อมูลแล้วว่า เราจะได้ฝึกอะไร พักแบบไหน กินอาหารชนิดใด นอนอย่างไร และฝึกกับใคร เธอชะงักให้กับความคิดนี้
ฝึกกับใคร? ใช่!! ฝึกกับโค้ชเปอร์ยังไงล่ะ!! เธอตอบตัวเอง โค้ชเปอร์เป็นโค้ชที่มีชื่อเสียงในเรื่องการดึงศักยภาพนักวิ่ง มีชื่อเสียงในเรื่องการจัดตารางซ้อมที่โหด รีดเค้นเหงื่อทุกหยาดหยดของนักวิ่งออกมา หลายคนพัฒนาความเร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อได้รับตารางซ้อมจากโค้ช เธอตัดสินใจเข้าแคมป์นี้ก็เพราะชื่อเสียงของเขา แต่แล้วทำไมตอนนี้ แค่นึกถึงชื่อโค้ชเปอร์ ใจมันต้องหวิวแปลก ๆ ทุกที … รึอาจจะเพราะกระแสไฟประหลาดนั้น!?
“ฝน ห้องน้ำว่างแล้วนะ” เปรียวเดินขึ้นมาพร้อมใบหน้าที่สดใส พราวน้ำยังเกาะอยู่ที่ลูกผม เธอเป็นหญิงร่างสูงแต่ไม่โปร่ง ท้วมเล็กน้อย แต่ก็สมส่วน อายุมากกว่าฝนสองปี แต่ก็ตกลงว่าจะไม่ใช้สรรพนามนับพี่น้องกัน เรียกขานด้วยชื่อเหมาะกว่า
เธอเป็นหมอฟันของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เริ่มวิ่งเพราะอกหัก แฟนบอกเลิกเพราะเธออ้วนคนไม่เหลือเค้าเดิม ฝนมองดูแล้วก็นึกไม่ออก เค้าเดิมของเปรียวน่าจะผอมแห้งมากล่ะอย่างนั้น เพราะปัจจุบันนี้ แม้จะไม่ลีนมาก แต่ก็ดูทะมัดทะแมง คล่องแคล่ว ไขมันที่ยังมีอยู่บ้าง ทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง เป้าหมายของเธอคือ ต้องกลับมาผอมเหมือนเดิมให้แฟนเก่าเสียดาย แต่ถ้าถามฝน แบบที่เธอเป็นตอนนี้มันโอเคแล้ว
ฝนกอดเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำไว้แนบอก ทางเดินค่อนข้างสลัว ไฟฟ้าส่องสว่างแค่ทางเดินหลักบางช่วง แม้จะมีคบไฟปักไว้ห่าง ๆ ตลอดในแค้มป์ แต่ก็ไม่ได้สว่างเจิดจ้าทั่วไป เธอเดินผ่านพลอยแพรว ฝาแฝดที่กำลังหัวเราะคิกคักกับเรื่องอะไรบางอย่าง ต่างส่งยิ้มให้กัน กำลังจะเลี้ยวหัวมุมอาคารเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดอาบน้ำ ก็พลันชนเข้ากับหน้าอกใครคนหนึ่ง เสื้อสีแดงแบบนี้ ยี่ห้อนี้ตรงหน้าอกที่เธอเห็นมาทั้งวัน
เธอรู้สึกว่าเขาจับต้นแขนเธอไว้ทั้งสองข้าง กระแสไฟอ่อน ๆ แล่นเข้ามาสู่ตัวเธอ นี่มันอะไรกันอีกแล้ว เมื่อเงยหน้าก็เห็นสายตาดุคมมองลงมา เธอประสานตาคู่นั้นเพียงแว่บเดียวแล้วเมินหนี ใจฝนเต้นโครมครามเหมือนมันจะหลุดออกมาข้างนอกเสียให้ได้
“ขอโทษค่ะโค้ช” เขาปล่อยมือจากต้นแขนเธอ ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินหลีกมุ่งไปอีกทาง คราวนี้เขาไม่ได้แสดงท่าทางรับรู้ของกระแสไฟใด ๆ แต่เธอแน่ใจว่ามันมีกระแสไฟบางอย่างแล่นมาที่เธอตอนที่เขาจับต้นแขนสองข้าง มันคืออะไร และทำไมหัวใจเต้นประหลาดแบบนี้ เธอรู้สึกมวนท้องไปหมด
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วโค้ชส้มให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน “การนอนให้พอ คือการฟื้นฟูสภาพร่างกายและกล้ามเนื้อที่ดีที่สุด พรุ่งนี้จะมีเรื่องสนุก ๆ ให้ทุกคนได้เรียนรู้อีกมากค่ะ วันนี้ถือเป็นการวอร์มอัพนะคะ” ประโยคปิดท้ายของโค้ชส้มเรียกเสียงฮือฮาให้ทุกคนอีกแล้ว เปรียวหันมาพยักพเยิดกับคำว่า เรื่องสนุก ๆ ของโค้ชส้ม
“ไม่รู้ใครสนุกนะพี่ส้ม พวกเราหรือโค้ชกันแน่” พลอย แฝดสาวถามกลั้วหัวเราะ
“สนุกทั้งสองฝ่ายแหละพลอย พี่รับประกันเลย พรุ่งนี้พลอยสนุกตั้งแต่เช้าจรดเที่ยงคืนแน่นอน" ซึ่งนี่ไม่ใช่คำทำนายของโค้ชส้ม แต่เป็นคำบอกใบ้กลาย ๆ ว่าพรุ่งนี้ระยะเวลาซ้อมจะยาวนานไปจนถึงเที่ยงคืน ฝนฟังแล้วก็รู้สึกทั้งตื่นเต้นทั้งน่าสนุก เธอยังไม่เคยลองวิ่งเทรลกลางคืนมาก่อน มันจะเป็นยังไงกันนะ
เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้นบนซึ่งเป็นเขตที่พักเฉพาะผู้หญิง เปรียวนอนอยู่บนฟูกเรียบร้อย เธอวางโทรศัพท์ลงข้างหมอน โบกมือให้แล้วยกผ้าห่มคลุมโปง ฝนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า ตั้งแต่มาถึงที่นี่เธอยังไม่ได้จับมันเลย เพราะตั้งใจว่าจะโฟกัสให้เต็มที่กับการฝึกอบรม เมื่อเปิดดูจึงเห็นข้อความหลายสิบจากไลน์กลุ่มบริษัท และอีกหลายสิบจากไลน์กลุ่มเพื่อนสนิท เธอกำลังจะเปิดขึ้นมาอ่าน ก็ได้ยินเสียงกระซิบจากป้าปุ้ม นักวิ่งวัยสี่สิบแต่แข็งแรงเว่อร์
“น้องฝน พี่ขออนุญาตปิดไฟสักดวงสองดวงก่อนได้มั้ยคะ” ฝนฟังเสียงกระซิบอย่างเกรงใจนั้นแล้วมองไปรอบ ๆ ทุกคนนอนอยู่บนฟูกกันเกือบหมดแล้ว แม้บ้างบางคนยังคงนอนยกมือถือขึ้นมาจ่ออยู่ตรงหน้า แต่คล้ายว่าทุกคนพร้อมหลับได้ทุกเมื่อ
“โอ๊ะ ตายจริงพี่ปุ้ม ฝนขอโทษค่ะ ปิดไฟหมดได้เลยค่ะพี่” ฝนระล่ำระลัก พลางก้มหัวขอโทษขอโพย พี่ปุ้มปิดไฟหมดทุกดวงเรียบร้อย ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืด มีแสงไฟสว่างวอมแวมจากโทรศัพท์บางเครื่องเท่านั้น ฝนหยิบโทรศัพท์ติดมือแล้วย่องออกนอกห้องไป เธอเดินลงไปยังด้านล่าง ตั้งใจจะรีบตอบไลน์แล้วกลับขึ้นไปนอนตามคำแนะนำของโค้ชส้มเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์พร้อมรับการฝึกวันพรุ่งนี้
ทีมงานด้านล่างยังคงเก็บสถานที่กันอย่างขะมักเขม้น ฝนเดินเลี่ยงออกมาอีกทางที่มีม้าหินอ่อนตั้งอยู่เป็นกลุ่ม ไฟจากด้านล่างอาคาร และคบไฟน้อยส่องแสงสลัวทำให้บริเวณนี้ไม่มืดเกินไป ยังไม่ทันที่เธอจะตอบไลน์ สายเรียกเข้าก็ส่งสัญญาณดังขึ้น ฝนมองแว่บเดียวเห็นเป็นชื่อเพื่อนสนิทจึงกดรับทันควัน เอาโทรศัพท์ขึ้นแนบหูก็ได้ยินเสียงแว้ดดังเข้ามา
“อีโฝนนน!!! โอ๊ยรับซะที กูโทรเป็นร้อยสายแล้วมั้ย มึงจะเงียบหายเหมือนตายแบบนี้ไม่ได้ มึงไปต่างจังหวัดทุรกันดารแบบนั้น มึงต้องส่งข่าวเพื่อนสิ!!" เสียงเจนเพื่อนรักระรัวเร็ว โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอโต้ตอบ
“ขอโทษอ่ะมึง กูวางโทรศัพท์ไว้ในห้อง” ฝนส่งเสียงอ่อนเอาใจ
“แล้วเป็นไง สนุกมั้ย โหดอย่างที่คิดเลยมั้ย” เจนถามเสียงกระตือรือร้น
“โหดแหละมึง โค้ชเปอร์เนี่ยจ้องจะแดกหัวกูอยู่คนเดียว” ฝนโอดโอย
“โธ่ฝน เลิกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางซะที เค้าก็คงโหดตามมาตรฐานเค้าแหละ” เจนผู้รู้จักเธอดีมาเป็นสิบปี แย้งอย่างผู้รู้ลึกรู้จริง
“นั่นแหละ แต่กูคิดว่าเค้าแซะกู คืองี้…” ฝนเล่าถึงข้อกังขาและรายละเอียดที่เธอรู้สึกให้เจนฟัง
“มึงคิดมาก ประโยคแบบนั้นมันก็ธรรมดาที่คนเป็นโค้ชต้องพูดเพื่อปลุกใจป่าววะ มึงไม่ใช่เด็กอายุสิบสองที่คิดแต่ว่าคนทั้งโลกจ้องมองมึงนะอีฝน โตค่ะ โตแล้ว จะสามสิบแล้วอีนี่” เจนให้โอวาทยืดยาว
“เอ่อออ มีอีกเรื่องนึงว่ะเจน กูไม่รู้จะเล่าดีมั้ย” ฝนเบาเสียงลงจนเกือบกระซิบ
“กระซิบทำไมอีฝน อีเวร ถ้าไม่รู้จะเล่าดีมั้ยมึงอย่าเปิดเรื่อง ถ้าเปิดแล้วมึงต้องเล่าเท่านั้น เอ้า ว่ามา” เจนตวาดแหว
“ไฟมันช็อตอ่ะมึง ตอนที่กูไปโดนมือเค้า หรือเค้ามาโดนตัวกู สองรอบแล้วอ่ะวันนี้" ฝนเล่าเท้าความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งตอนสาย และเมื่อเย็นที่ผ่านมา เจนนิ่งไปอึดใจก็ตอบกลับด้วยเสียงครุ่นคิด
“ไฟฟ้าสถิตป่าวมึง แบบมือมึงแห้ง ๆ อะไรงี้อ่ะ เอ๊ะ!! หรือมึงปิ๊งโค้ชเข้าแล้ว” เจนคาดคั้น
“กูอ่ะเหรอปิ๊งโค้ช?? ไม่ใช่มั้งมึง คือเค้าก็เท่ดี แต่ …. อืมม … ไม่รู้ว่ะ ใจมันเต้นแปลกๆ” ตอบเจนไปด้วยความลังเล
“ใจเต้นแปลก ๆ ยังไงวะ แบบหวิว ๆ มวน ๆ ท้องงี้เปล่าวะ … อีฝนมึงไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว เคยมีแฟนมาก็ตั้งสองสามคน มึงตอบตัวเองไม่ได้เหรอวะ ว่าสปาร์คกับโค้ชเค้ารึเปล่า” เจนส่งเสียงไม่สบอารมณ์
“ไม่รู้โว้ย มันรวดเร็วจนกูตั้งตัวไม่ทัน นึกไม่ออกว่ะ ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย เอาเหอะมึง กูไปนอนละไว้ส่งข่าว” ฝนตัดบทกับเจนเมื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ กดปิดหน้าจอมือถือ เลื่อนการตอบไลน์ไปพรุ่งนี้ ไม่ว่างานหรือเพื่อนล้วนรอได้ แต่นอนไม่พอไม่ได้
ฝนลุกขึ้นจากม้าหินอ่อน หมุนตัวกลับเพื่อรีบไปเข้านอน พลันใจหายวาบ ตรงหน้าเธอคือโค้ชหนุ่มร่างสูงยืนกอดอกแบบสบาย ๆ เงาสลัวของพุ่มไม้ที่ทาทับช่วงบนของเขาไว้ ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าดวงตาประกายวาววับที่มองตรงแน่วแน่ที่เธอหมายถึงอะไร รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ค่อย ๆ คลี่ออกมา สร้างความปั่นป่วนมวนท้องให้เธออีกครั้ง
1
ทั้งสองยืนจ้องประสานตาในความสลัวลาง สรรพเสียงดูจะพร้อมใจกันดับลง ฝนรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ถึงกระนั้นเธอก็อยากเอื้อนอะไรออกไปเพื่อทำลายบรรยากาศประหลาดนี่เสีย แต่โค้ชหนุ่มก็หันหลังกลับเดินหายลับไปเสียแล้ว
🏃♀️🏃❤️
บันทึก
14
30
6
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
นิยาย - พบกันที่เส้นชัย
14
30
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย