5 เม.ย. 2021 เวลา 01:30 • ธุรกิจ
ถกเถียงกันอย่างไรให้สร้างสรรค์?
หลีกเลี่ยงการใช้ “ตรรกะวิบัติ” ที่ส่งผลเสียมากกว่าผลดี
ใครที่ชอบอ่านการถกเถียงบนโลกออนไลน์น่าจะเคยได้ยินคำว่า ‘ตรรกะประหลาด’ หรือ ‘ตรรกะวิบัติ’ กันมาบ้าง เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งที่การถกเถียงเริ่มคุกรุ่น ก็จะเริ่มมีสองคำนี้โผล่ขึ้นมาให้เห็นเพราะต่างคนต่างต้องการโจมตีอีกฝ่าย โดยต้องการจะสื่อว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมานั้นใช้ไม่ได้เอาซะเลย
แต่การรู้จักแยกแยะว่าตรรกะแบบไหนดีแบบไหนไม่ดีไม่ได้มีประโยชน์แค่เอาไว้เถียงให้ชนะบนโลกออนไลน์ เพราะในชีวิตการทำงานเราทุกคนก็ต้องมีการประชุมหารือกันอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ทำงานหรือเพื่อหาข้อสรุปว่าก้าวต่อไปขององค์กรจะเดินต่อไปในทิศทางไหน
1
ซึ่งถ้าเรารู้จักหลีกเลี่ยงการใช้ตรรกะวิบัติในที่ทำงาน ก็จะทำให้การประชุมแต่ละครั้งเป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพและไม่รู้สึกเสียเวลาไปเปล่าๆ
#ตรรกะวิบัติคืออะไร?
คำว่า ‘ตรรกะ’ เฉยๆ นั้นหมายถึงการให้เหตุผล ส่วนตรรกะวิบัตินั้นคือการให้เหตุผลที่ไม่มีน้ำหนักมาสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองพูด บางครั้งตรรกะวิบัติก็มาในรูปแบบที่เราเห็นได้ชัดเจนว่ามันไม่สมเหตุสมผล แต่บางครั้งมันก็มาในรูปแบบที่อ่านผ่านๆ แล้วดูดี ดูน่าเชื่อถือ แต่หากพิจารณาดีๆ แล้วก็จะเห็นว่ามันไม่มีน้ำหนักอะไรเลย
ลองมาดูกันว่า ตรรกะวิบัติที่พบเจอได้บ่อยๆ มีแบบไหนบ้าง
#เบี่ยงประเด็น (Straw Man)
การเบี่ยงประเด็น คือการตั้งใจบิดเบือนคำพูดอีกฝ่ายเพื่อให้ตัวเองโจมตีเหตุผลของอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น การเบี่ยงประเด็นนั้นมีชื่อเรียกอีกแบบหนึ่งว่าตรรกะวิบัติแบบหุ่นฟาง เพราะหุ่นฟางนั้นมีรูปร่างเหมือนคน แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ทำด้วยฟาง ซึ่งไม่ได้มีความแข็งแรงอะไร การโจมตีมาที่ ‘หุ่นฟาง’ จึงง่ายกว่าการโจมตีคำพูดที่ไม่ถูกบิดเบือน
ตัวอย่างเช่น:
A: ผมคิดว่า B ควรได้เลื่อนตำแหน่งเพราะเขาเป็นนักบัญชีที่เก่ง
C: นายกำลังจะบอกว่านักบัญชีคนอื่นของเราไม่เก่งงั้นเหรอ? คิดแบบนี้ไม่ดีเลยนะ
จะเห็นว่าประเด็นหลักของ A คือ B เป็นคนเก่ง แต่ C เลือกที่จะมุ่งเป้าไปที่คำว่านักบัญชี ซึ่งเป็นการพูดกันคนละประเด็น
#มองว่าทุกอย่างมีแค่สองทางเลือก (False Dilemma)
การมองว่าทุกอย่างมีแค่สองทางเลือก ก็เหมือนการมองโลกแบบมีแค่สีขาว-สีดำแค่สองสี ไม่มีการไล่เฉดสีเทาจากอ่อนไปเข้ม ทั้งที่ในความเป็นจริงเราอาจมีทางเลือกมากกว่านั้น
ปัญหาของการบีบให้เหลือแค่สองทางเลือกคือความสุดโต่งเกินจำเป็นในสถานการณ์ที่อาจจะมีทางเลือกที่ประนีประนอมได้มากกว่านี้
ตัวอย่างเช่น: “เราควรลดราคาสินค้าลง เพราะถ้าไม่ตัดราคาก็จะสู้คู่แข่งไม่ได้” เป็น False Dilemma เพราะวิธีการที่เราจะสู้กับคู่แข่งได้นั้นมีมากมาย เช่น การปรับปรุงคุณภาพสินค้า แต่ผู้พูดเลือกที่จะตีกรอบเหลือแค่ตัดหรือไม่ตัดราคาเพื่อบีบให้มองว่าตัดราคาดีกว่าไม่ตัดราคา
#ด่วนสรุป (Hasty Generalization)
การด่วนสรุป คือการที่เราเจอสิ่งที่สนับสนุนข้อโต้แย้งเราปุ๊บก็สรุปทันทีว่าเหตุผลของเราถูก ทั้งๆ ที่ถ้าหากหาข้อมูลลึกลงไปอีกก็อาจจะเจอกรณีที่เหตุผลของเราใช้ไม่ได้
ตัวอย่างเช่น: “น้อง A คิดว่าวัฒนธรรมองค์กรของเราดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปรับ”
ปัญหาของตรรกะแบบนี้คือการมองแต่กรณีที่สอดคล้องกับความคิดตัวเองและมองข้ามกรณีอื่นๆ จึงถือเป็นข้อสรุปที่มองไม่รอบด้าน
#อ้างคนที่ดูน่าเชื่อถือโดยไม่คิด (Appeal to Authority)
การอ้างอิงคำพูดจากแหล่งที่น่าเชื่อถือนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ใช่ว่าเราจะอ้างอิงคำพูดใครก็ได้ที่ ‘ดู’ น่าเชื่อถือ อย่างเช่น ในประเทศไทยอาชีพหมอเป็นอาชีพที่ได้รับการยกย่องจากคนทั่วไปเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น ต่อให้แสดงความเห็นในประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการแพทย์ก็ยังมีคนมองว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องและมีเหตุผลอยู่ดี
สิ่งที่เราควรทำหากต้องการจะอ้างอิงคำพูดของคนที่ดูน่าเชื่อถือก็คือ เขากำลังแสดงความเห็นในสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ ก็อาจนำมาอ้างอิงได้ แต่ถ้าไม่ใช่ คำพูดของเขาก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับการนำมาสนับสนุนเหตุผลของเรา
#โจมตีตัวบุคคลมากกว่าเหตุผล (Ad Hominem)
ตรรกะวิบัติสุดคลาสสิกก็คือการที่เราโจมตีตัวคนพูดมากกว่าเหตุผลที่เขาใช้ ตัวอย่างง่ายๆ คือ สมมติว่าเรามีอคติต่อคนในที่ทำงานคนหนึ่ง ต่อให้เหตุผลของเขาดีแค่ไหน เราก็อาจจะไม่อยากเห็นด้วยกับเขาเท่าไร เพราะเราไม่ชอบตัวเขา
การไม่ถูกชะตากับใครเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อต้องมาทำงานด้วยกัน สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือผลลัพธ์ของการตัดสินใจที่สามารถส่งผลกระทบต่อองค์กร ไม่ใช่ความอยากเอาชนะส่วนตัว
#คิดไปเรื่อยจนหลุดประเด็นไปไกล (Slippery Slope)
ตรรกะวิบัติแบบ Slippery Slope คือการอ้างไปเรื่อยๆ ว่า เมื่อ A เกิดขึ้นแล้ว B ก็จะเกิดขึ้น แล้ว C ก็จะเกิดขึ้นจนสุดท้ายแล้ว D ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ตัวอย่างเช่น: “ถ้าปล่อยให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน พนักงานก็จะไม่ตั้งใจทำงาน พอพนักงานไม่ตั้งใจทำงาน ผลประกอบการของบริษัทก็จะไม่ดี พอผลประกอบการของบริษัทไม่ดี บริษัทก็จะเจ๊ง”
1
ผู้พูดสรุปว่าถ้าปล่อยให้ Work From Home บริษัทก็จะเจ๊ง แต่ปัญหานั้นอยู่ตรงที่ว่า เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทุกเหตุการณ์ที่อ้างมาจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน?
ลองพิจารณาจากเหตุการณ์แรกไปเหตุการณ์ที่สองก่อนก็ได้ จริงอยู่ที่การปล่อยให้ Work From Home ก็อาจมี ‘โอกาส’ ที่พนักงานจะไม่ตั้งใจทำงานจริงๆ ถ้าพนักงานคนนั้นไม่ได้เป็นคนมีความรับผิดชอบสูงตั้งแต่แรก
แต่ในขณะเดียวกันมันก็มี ‘โอกาส’ ที่พนักงานจะตั้งใจทำงาน แม้จะไม่มีใครคอยคุมเหมือนที่ออฟฟิศ ถ้าพนักงานคนนั้นรู้จักหน้าที่ตัวเองหรือบริษัทสร้างระบบที่มีความโปร่งใสทำให้สามารถรับรู้ความคืบหน้าของพนักงานคนนั้นได้
แค่เหตุการณ์ลำดับที่สองก็มีโอกาสไม่เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเรารู้จักหาวิธีป้องกัน เพราะงั้นถ้าเราแก้ปัญหาพนักงานไม่ตั้งใจทำงานได้ เหตุการณ์ต่อๆ มาก็จะไม่เกิดขึ้น
จากตัวอย่างที่ยกมาน่าจะช่วยให้เห็นภาพชัดแล้วว่า ถ้าเราใช้ตรรกะที่วิบัติในการให้เหตุผลก็จะสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด ข้อสรุปที่ผิดเพี้ยน ไปจนถึงการทะเลาะเบาะแว้งที่ไม่มีฝ่ายไหนได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น เรามาพยายามหลีกเลี่ยง 'ตรรกะวิบัติ' เหล่านี้กันดีกว่า
#careerfact
………………
Career Fact เพราะทุกอาชีพ... มีเรื่องราว
พูดคุยเรื่องการงาน ถกประเด็นต่างๆ แบ่งปันความรู้
เข้าร่วมกลุ่ม อู้งานมาคุย by Career Fact
โฆษณา