6 เม.ย. 2021 เวลา 01:08 • นิยาย เรื่องสั้น
3.5. มังกรในสระน้อย
หัวขบถเกงจิ๋ว ชัวมอ - ชัวฮูหยิน - เตียวอุ๋น
ที่เมืองซินเอี๋ย หลายปีมานี้ นอกจากการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของสามพี่น้องที่ถือเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว เล่าปี่ล้วนประสพแต่เรื่องน่าผิดหวัง และความวุ่นวายทั้งสิ้น ตั้งแต่การล่มสลายของพันธมิตรอ้วนเสี้ยว การอพยพหลบหนีโจโฉจากเมืองชีจิ๋วท่าทีที่เมินเฉยของรัชทายาทเล่าเปียว ตลอดจนความสัมพันธ์ของคนรอบข้างที่แปรเปลี่ยนไป จนน่ากลัดกลุ้มใจยิ่งนัก
เริ่มจากภรรยาทั้งสอง กำฮูหยินกลับกลายเป็นคนเศร้าซึมอมทุกข์ระทม คล้ายเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง อาจจะเป็นเพราะปัญหาคาใจที่แท้งบุตรไปในคราก่อน ส่วนบิฮูหยิน ตั้งแต่กลับมาจากเมืองหลวง ก็ไม่เคยกลับมาเป็นคนเดิม คล้ายเป็นคนขวัญอ่อนหวาดระแวง ขลุกอยู่แต่ห้องนอนกับห้องพระเท่านั้น
ขุนพลคนสนิททั้งหลายเล่า กวนอูก็ดูเหินห่างมึนตึงไปไม่เหมือนแต่ก่อน เอาแต่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง แต่นับว่าฝีมือรุดหน้าขึ้นไม่น้อย ส่วนเตียวหุยก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวสุงสิงกับใคร และมักจะหายหน้าไปล่าสัตว์นอกเมืองบ้าง อ้างว่าไปเยี่ยมญาติบ้าง ครั้งละหลายวัน
คงเหลือแต่จูล่ง องครักษ์ข้างกายที่ดูมีท่าทางเป็นปกติกว่าคนอื่นอยู่ได้บ้าง แต่ก็ยังมีร่องรอยความหดหู่ ซึมเซาให้เห็นเนืองๆ คล้ายคนอกหัก อาลัยถึงคนรัก
หากจะมีกลุ่มคนที่เป็นสุขมากที่สุด ก็คงจะเป็นพวกคนสายบุ๋นอย่างบิต๊ก บิฮอง ซุนเขียน กันหยง กับสหายใหม่ อีเจี้ย ที่เพลิดเพลินกับชีวิตราชการในเมืองน้อย แสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากสำนักหอสมุดใต้หล้าบ้าง กอดคอร่วมดื่มกินกันในยามค่ำคืนบ้าง ไม่มีความทะยานอยาก ไม่มีปณิธานสูงส่งให้เป็นภาระทางจิตใจ
ทั้งหมดนี้ เล่าปี่คาดเดาเอาเองว่า สาเหตุหลักมาจากการที่ตนเองพลาดท่าซ้ำซ้อนหลายครั้ง และหมดสิ้นหนทางอยู่ที่เมืองน้อย จนทำให้แต่ละคนเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน สิ้นหวังกับอนาคตทางการเมืองของตนเอง หันไปพึงพอใจในชีวิตสามัญกันไปแล้ว จึงได้แต่ตำหนิตนเองเรื่อยมา ไม่ทันระแวงไปในเรื่องอื่นใด
ในเมื่อสามพี่น้องเริ่มมีความในใจเป็นความลับต่อกัน จนคล้ายหมางเมิน ไม่สนิทใจเหมือนแต่ก่อน มันจึงได้แต่พาจูล่งไปเป็นเพื่อนติดตามไปในการประชุมปรึกษาราชการกับขุนพลชัวมอที่เมืองเกงจิ๋ว และแวะดื่มสุราแก้กลุ้มในเหลากลางเมืองจนกลายเป็นกิจวัตรประจำเดือน
ตั้งแต่เล่าปี่เข้ามาขออาศัยในขุมกำลังเกงจิ๋ว เล่าเปียวเอาแต่หลีกเลี่ยงไม่เคยพบปะพูดคุยกันกับตนเองเลยแม้สักครั้งเดียว ทำให้เล่าปี่ยิ่งมายิ่งท้อแท้ บั่นทอนความภาคภูมิใจในความเป็นรัชทายาทที่กษัตริย์เหี้ยนเต้เคยเปิดเผยจนแทบหมดสิ้น หรือว่า มีใครไปเปิดเผยความลับเรื่องชาติกำเนิดกับบุคคลเหล่านี้แล้ว ทำให้พวกสกุลเล่าต่างเมินเฉยต่อตนเองไปพร้อมเพรียงกันเช่นนี้ ดูช่างผิดวิสัยของคนที่สมควรพึ่งพาอาศัยกันยิ่งนัก
แต่ยังดีที่เล่ากี๋ คุณชายใหญ่วัยสิบเจ็ดปี ยังพอไว้หน้าให้เกียรติอยู่บ้าง เล่าปี่จึงพออดทนกล้ำกลืนได้อยู่ โดยที่เล่ากี๋มักอ้างถึงสุขภาพร่างกายของเล่าเปียวที่ไม่ใคร่จะดีนัก สามวันดีสี่วันไข้ด้วยความสูงวัย แต่คนวัยหกสิบต้นๆที่ผ่านการดูแลร่างกายมาอย่างดีตลอดทั้งชีวิต ก็ไม่สมควรจะทรุดโทรมไปรวดเร็วถึงเพียงนี้
อันที่จริง ความผิดปกติเรื่องนี้ อยู่ในความคิดของนางแอ่น เตียวหุยมาตั้งแต่แรกแล้ว เชื้อพระวงศ์อาวุโสที่เคยร่ำลือกันว่า เป็นบุคคลที่โอบอ้อมอารี คนหาคนเก่งมีความสามารถไปทั่วทั้งแผ่นดินจนเป็นที่เลื่องลือมานานหลายปี ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะหลีกเลี่ยงการพบปะเพื่อสานสัมพันธ์ทางการเมืองกับรัชทายาทพลัดถิ่นอย่างเล่าปี่ที่มีทั้งขุนพลมีชื่อเสียง และขุนนางที่มีอนาคตไกลอยู่ในกำมือ นอกเสียจากว่า เกิดเหตุการณ์อันใดร้ายแรงอยู่เบื้องหลัง
หากแต่ยังมีกระแสข่าวรั่วไหลว่า เล่าเปียวป่วยไข้ด้วยโรคทางผิวหนังเรื้อรัง มิอาจพบปะผู้คนด้วยความละอาย ทำให้กิจการทั้งหลายต้องดำเนินการผ่านชัวมอหรือนางชัวฮูหยินที่เป็นเครือญาติกันเท่านั้น
นางจึงอาศัยความมืดยามราตรี ลอบเข้าไปค้นหาเบาะแสความลับ จนพบว่า ที่แท้ เล่าเปียวนอนป่วยเป็นอัมพาตติดเตียงมานานสักระยะหนึ่งแล้ว และเป็นชัวเตี๋ย-ชัวฮูหยินกับชัวมอ สองพี่น้อง ปกปิดความจริง เพื่อควบคุมอำนาจการบริหารบ้านเมืองเอาไว้เสียเอง
อีกทั้ง ทั้งสองยังปั่นหัวกดดันให้เล่ากี๋ ทายาทคนโตที่ยังเยาว์วัย กลายเป็นคนอ่อนไหว สูญเสียความมั่นใจในตนเองไปด้วย ในขณะที่เร่งเร้าผลักดันให้เล่าจ๋องผู้น้อง ก้าวขึ้นมาแข็งแกร่งในเวลาอันสั้น
เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ นางแอ่นย่อมคิดเสริมเติมได้เองว่า ฝีมืออันชั่วร้ายที่ทำให้เล่าเปียวเป็นอัมพาต ก็น่าจะมาจากหญิงร้ายชายโฉดคู่นี้ด้วยเช่นกัน แต่จะเชื่อมโยงไปถึงผู้ใดอื่นอีกบ้าง กลับไม่อาจคาดเดาได้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะของสมาชิกหน่วยปักษาสวรรค์ ย่อมไม่อาจฝืนฟ้าเปลี่ยนชะตากรรมของผู้คนเมืองเกงจิ๋ว ปัญหาของเล่าเปียวกับครอบครัวจึงถูกละเลยไว้เช่นนั้น รวมทั้งปัญหาชีวิตของเล่าปี่และสมุนคู่ใจด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง
จูล่งเองก็เริ่มท้อแท้กับแผนการของพรรคฟ้าเหลืองที่ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า การผิดใจแตกหักกับอ้วนเสี้ยว จนอ้วนเสี้ยวย่อยยับไปนั้น ยิ่งทำให้วันเวลาของมันทอดไกลออกไป เพราะเล่าปี่ก็มาได้แค่อาศัยอยู่กับเล่าเปียวไปวันๆเท่านั้น ยังไม่มีหนทางขยับขยายอำนาจให้รุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน
ส่วนเครือข่ายของมันนั้น ยิ่งเนิ่นนานก็ยิ่งเหินห่าง จนมันเองก็ไม่แน่ใจว่าใครบ้างที่อาจจะเปลี่ยนใจไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มสายลับที่แฝงตัวอยู่อย่างสุขสบายในขุมกำลังต่างๆ ชีวิตคนที่สูงวัยขึ้น มีความเป็นอยู่แบบขุนนางที่ฟุ้งเฟ้อหรูหราย่อมสามารถลดทอนปณิธานคนได้ง่ายดายนัก
เมื่อคนกลัดกลุ้มสองคนอยู่ในวงสุรา จึงเมามายได้อย่างรวดเร็ว เล่าปี่ฟุบหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ จูล่งตาปรือ กลับนึกอยากระบายความในใจ จึงหยิบเอาพู่กันจุ่มหมึกตวัดตัวอักษรเป็นลวดลายศิลป์ไว้บนผนังเหลา
“เป็นมังกรซ่อนกายในสระน้อย เฝ้ารอคอยวันสดชื่นคืนเวหา
จักปกครองทั่วทั้งแคว้นพสุธา ไม่นำพาคนแก่หนุ่มที่ขวางทาง
เป็นมังกรซ่อนกายคล้ายสิ้นหวัง ฟื้นกำลังขึ้นเมื่อไรได้สะสาง
ตัดสิ้นญาติกวาดล้างมิตรจากใจกลาง จักก่อร่างสร้างประเทศขอบเขตตน”
เขียนเสร็จแล้วมันจึงโยนพู่กันทิ้ง และหลับใหลไปด้วยฤทธิ์สุราอยู่ข้างกายเล่าปี่นั่นเอง เตียวจูล่ง เจ้าลูกมังกร ประมุขพรรคฟ้าเหลืองและผู้นำขุมกำลังสัตตดารา
...
ชัวมอ ขุนพลผู้รักษาการแทนเจ้าเมือง น้องเขยของเล่าเปียว มีความไม่พอใจกับพวกเล่าปี่ที่เข้ามาอาศัยในเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เพียงแต่ไม่กล้าหักหาญเพราะเกรงใจต่อหลวงจีนเภาเจ๋งและจูกัดกุ๋ย ผู้เป็นเจ้านายสายตรง
แต่ครั้งนี้ เผอิญมาพบทั้งสองที่ยังเมามายไม่ได้สติพร้อมบทกลอนบนผนังเป็นหลักฐานชัดแจ้ง เห็นเป็นโอกาสจัดการขั้นเด็ดขาด จึงสั่งให้ลูกสมุนตรงเข้าจับกุมตัวทั้งสองคนไว้ทันที เพื่อพาตัวกลับไปลงโทษยังที่ว่าการเมือง
ยังดีที่นายทหารหนุ่มอุยเอี๋ยนซึ่งได้รับคำสั่งมาจากบังทอง ให้มาแฝงตัวมาเป็นหัวหน้าทหารประจำการภายในเมืองได้สักพัก ผ่านมาพบเหตุการณ์เข้าพอดี จดจำใบหน้าบุคคลสำคัญได้ จึงขบคิดทบทวนสถานการณ์หาทางแก้ไขอย่างว่องไว
มันรีบแอบอ้างคำสั่งเจ้าเมืองเล่าเปียว ส่งสัญญาณให้ทหารในสังกัด ลงมือช่วยเหลือเล่าปี่กับจูล่งจากการโดนจับกุม แล้วผลักดันให้เล่าปี่ขึ้นม้าขาวเต๊กเลาคู่ใจหลบหนีไปก่อน โดยมีเพียงชัวมอ และสมุนไม่กี่คน ขี่ม้าไล่ล่าตามติดไปห่างๆ พร้อมยิงเกาทัณฑ์โจมตีเป็นพักๆ
เล่าปี่เพิ่งงัวเงียสร่างเมา จึงไม่ทันสังเกตทิศทางใดๆ กลับขี่ม้ามาทางท่าเรือที่มีสายน้ำใหญ่ขวางกั้น ไร้สิ้นหนทางอื่นให้หลบหนี นอกเสียจากการล่องเรือข้ามฟากไปให้ได้ จึงได้แต่ลองเสี่ยงให้ม้าโผนทะยานข้ามฝั่งไป ปรากฏว่า ม้าเต๊กเลาลอยตัวขึ้นได้ไกลกว่าม้าทั่วไป แต่ก็ยังไม่พ้นสายน้ำอันกว้างใหญ่อยู่ดี
และแล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อม้าเต๊กเลาหล่นลงกลางกระแสน้ำ จนจมไปกว่าครึ่งตัว โผล่มาแค่คอม้า แต่ยังฝืนว่ายน้ำฝ่ากระแสน้ำต่อไปได้จนถืงฝั่งตรงข้าม ทิ้งให้ชัวมอและสมุนตื่นตะลึงที่เกิดเหตุประหลาด “ม้ากาลีว่ายน้ำข้ามฟากได้” และรีบหาทางอ้อมเส้นทางเพื่อไล่ล่าต่อไป
เล่าปี่สังเกตเห็นรอยสีแดงฉานเป็นหย่อมๆตามร่างกายของม้าเต๊กเลา จึงคิดว่าเป็นเลือดม้าที่ถูกอาวุธของฝ่ายตรงข้าม ทำให้เศร้าเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงบังคับม้าให้วิ่งพ้นไปจากที่นั้นโดยเร็ว หลบหนีผ่านป่าเขาจนไปพบกระท่อมน้อยที่มีบัณฑิตเฒ่าคนหนึ่งยืนรอต้อนรับอยู่โดยบังเอิญ เป็นสุมาเต๊กโช ซินแสคันฉ่องวารี
สุมาเต๊กโชสังเกตเห็นรอยแดงตามร่างกายของม้าเต๊กเลา ก็กริ่งเกรงว่าแผนจะเสีย จึงรีบเอ่ยปากแนะนำตัว และชักชวนเล่าปี่เข้าไปพักด้านในกระท่อมวิเวก ปล่อยให้เหยี่ยวดำที่ปลอมตัวเป็นคนรับใช้ นำม้าเต๊กเลาไปจัดการทำบาดแผล ซึ่งที่จริงก็คือการสับเปลี่ยนตัวม้ากลับคืนสู่ตำแหน่งดั้งเดิม
ที่แท้ ม้าตัวนี้ คือ ม้าเซ็กเทาสีแดงฉานของกวนอู ที่นางแอ่นกับเหยี่ยวดำลอบนำมาสับเปลี่ยนตัวในยามที่เล่าปี่จูล่งดื่มสุรากันอยู่ด้านบนเหลา พละกำลังจึงเข้มแข็งเหนือกว่าม้าเต๊กเลา และยิ่งได้ความช่วยเหลือจากหน่วยปักษา ช่วยกันทำสะพานไม้แผ่นกว้าง วางพาดไว้บนเสาไม้ซ่อนอยู่ใต้สายน้ำ จัดวางในตำแหน่งที่เป็นโตรกน้ำช่องแคบ ประเมินว่า เล่าปี่ต้องลองเสี่ยงกระโดดหนีในจุดนี้ จึงทำให้อาชาแสนรู้วิ่งบนแผ่นกระดานใต้น้ำข้ามฝั่งได้ไม่ยาก
เพียงแต่เมื่ออาชาชั้นดีโดนน้ำไปมาก ทำให้สีขาวปลอมเริ่มหลุดลอกให้เห็นสีแดงภายในนั่นเอง ซึ่งเล่าปี่ในยามตื่นตระหนก จึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติ กลับนึกไปว่า ม้าเต๊กเลา ที่แผลงฤทธิ์ช่วยชีวิตตนไว้นั้น ได้รับบาดเจ็บตามผิวกาย
สุมาเต๊กโชจึงใช้เวลาไปในการสาธยายสถานการณ์บ้านเมือง และอธิบายให้เล่าปี่แยกแยะคนสายบุ๋นระหว่างนักปกครองอย่างเซียวเหอ กับนักกลยุทธ์อย่างเตียวเหลียงในยุคสมัยปฐมกษัตริย์ฮั่นโกโจ เล่าปังในอดีต โดยสุมาเต๊กโชยกย่องผู้นำปัจจุบันที่ใช้นักกลยุทธ์การทหาร หรือ กุนซือ ได้เป็นอย่างดีคือ โจโฉที่มีกาเซี่ยง สุมาอี้ ตันกุ๋น รวมถึง ซุนฮก กุยแก ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นอาทิ และสุดท้าย ปราชญ์สูงวัยจึงเอ่ยถึงสุดยอดกุนซือรุ่นใหม่ให้สองคน นั่นคือ มังกรและหงส์
ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ชีซี หรือ "ตันฮก" บัณฑิตยากไร้แวะมาเยี่ยมเยียนสุมาเต๊กโช และพำนักอยู่ในบริเวณนั้น จึงถูกเรียกตัวเข้ามา ให้ทำความรู้จักกับเล่าปี่ พอเล่าปี่ได้ยินว่าเป็นนักกลยุทธ์ชั้นเยี่ยมคนหนึ่ง จึงรีบทาบทามให้มาเข้าพวกทันที
เนื่องจากสุมาเต๊กโชมองว่า รอบกายเล่าปี่ มีแต่นักรบ และนักปกครอง ไม่รู้จักการใช้กุนซือ จึงสร้างสถานการณ์จัดฉากส่งตันฮกเข้าไปก่อน เพื่อแทรกซึมขุมกำลังใหม่นี้ แล้วค่อยหาทางส่งคนอื่นเข้าไปเพิ่มเติมในภายหลัง โดยตามแผนการที่สร้างไว้ ทั้งหมดจะไม่เปิดเผยว่าเป็นลูกศิษย์ในสังกัดของตน
...
ฝ่ายจูล่ง เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากอุยเอี๋ยน จนหนีรอดออกจากเมืองมาได้พร้อมกันทั้งคู่ แต่ต่างฝ่ายต่างยังระแวงกันอยู่ด้วยไม่รู้จักคุ้นเคยกัน จึงแยกย้ายกันออกตามหาเล่าปี่ จูล่งเป็นฝ่ายได้พบเล่าปี่ที่กระท่อม จึงชักชวนกลับเมืองซินเอี๋ยด้วยกัน พร้อมกับกุนซือใหม่ ชีซี แม้ว่าจูล่งจะมีความสงสัยในตัวชีซีเช่นกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นปราชญ์ใหญ่สายเต๋าฝากฝังมาด้วยตนเอง
ระหว่างเดินทางกลับ เล่าปี่ยังสำนึกขอบคุณต่ออุยเอี๋ยนไม่หยุดปาก ทำให้จูล่งเกิดความสนใจในตัวของอุยเอี๋ยนเป็นยิ่งนัก เพราะอาจจะเป็นกำลังสำคัญให้กับพรรคฟ้าเหลืองได้อย่างมากในอนาคต เพียงแต่ไม่รู้ว่า อุยเอี๋ยนหายไปที่ใดแล้ว เห็นทีเขาจะต้องช่วงชิงบุคคลผู้นี้มาเข้าพรรคของตนเองให้ได้
ส่วนเล่าปี่นั้น ภายหลังที่ได้ยินคำเล่าขานถึงสาเหตุการจับกุมว่า มาจากบทกวี “มังกรในสระน้อย” ก็ยังคับแค้นใจ บอกกับคนรอบข้างว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีจากชัวมอ เพราะตนเองไม่ชำนาญเรื่องการแต่งโคลงกลอนแม้แต่น้อย จึงทำให้จูล่งได้แต่ลอบเยาะเย้ยอยู่ในใจ “ข้านี่แหละ มังกรในสระน้อย ผู้ร่ายบทกวีนั้น”
ในขณะที่จูล่งลอบครุ่นคิดวุ่นวายในใจ กลับมีคนผู้หนึ่งแอบตื่นตระหนกอยู่ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรื่องราววุ่นวายยุ่งเหยิงในค่ำคืนวันนั้น
เป็นคืนวันทืี่เล่าปี่ จูล่ง และเตียวหุย บังเอิญไม่อยู่ในจวนที่พักอย่างพร้อมเพรียงกัน เหลือเพียงตัวมันกับอาซ้อทั้งสอง
กวนอูพบว่า ตนเองอยู่ห่างไกลสองฮูหยิน กำฮูหยิน บิฮูหยิน เพียงแค่ช่วงตึกคั่น อดนึกถึงช่วงเวลาเสพสุขกันที่เมืองหลวงไม่ได้ จึงลอบเข้าไปหากำฮูหยิน หวังจะสะสางปัญหาค้างคาใจให้เสร็จสิ้น มันพร้อมที่จะสละลาภยศชื่อเสียง นำพาสาวคนรักหลบหนีไปใช้ชีิวิตอิสระเสรี
กวนอูจึงค้นพบว่า สาเหตุที่กำฮูหยินกลายเป็นคนเหม่อลอย และบิฮูหยินกลายเป็นคนหวาดระแวง เพราะการกระทำนอกลู่นอกทางในเมืองหลวงครั้งนั้น และท่าทีอันเย็นชาของเล่าปี่นับตั้งแต่กลับจากเมืองหลวง แสดงว่า ที่จริง เล่าปี่ก็นึกระแวงต่อกวนอูไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่กล้าเปิดโปงฉีกหน้ากันอย่างตรงไปตรงมา
ดังนั้น เมื่อคู่รักเปิดใจต่อกัน กวนอูจึงแอบชดเชยส่วนที่ขาดให้กับกำฮูหยินที่มีใจให้กับตนแล้ว และสกัดจุดสลบใส่บิฮูหยินไว้เป็นการปิดปาก ทำให้จิตใจของกำฮูหยินเริ่มดีขึ้น หากแต่อาการทางจิตของบิฮูหยินคล้ายกลับย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
บิต๊ก บิฮอง สองพี่น้องผู้มีศักดิ์เป็นญาติฝ่ายภรรยา อาศัยอยู่ในจวนที่พักเดียวกัน เมามายกลับมาจากโรงเตี๊ยมเจ้าประจำ พบเห็นร่องรอยความเคลื่อนไหวของกวนอูกับฮูหยินทั้งสองโดยบังเอิญ ในใจ นึกเจ็บแค้นขุ่นเคือง แต่ก็หวาดกลัวในฝีมือ ไม่กล้าบอกกับเล่าปี่เตียวหุย จึงพากันปิดปากเงียบ ภายหลัง จึงคิดหาทางรักษาบิฮูหยิน น้องสาว ให้ได้โดยเร็ว หวังให้เป็นพยานปากเอก
คราก่อน ฮ่วมอา ศิษย์เอกของหมอเทพยดาฮัวโต๋ที่เดินทางมารักษาน้องสาว เคยฝากเทียบยา และแนวทางการรักษาเอาไว้ให้ใช้สอยต่อเนื่อง แต่ครั้งนี้ คนไข้เกิดอาการคลุ้มคลั่งรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ให้หนักหน่วงขึ้นบ้าง คิดไม่ถึง บิต๊กบิฮองบังอาจจัดยาแทนหมอตัวจริงเสียแล้ว
พอจัดตัวยาให้เกินขนาด ออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป บิฮูหยินยิ่งกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน หลงๆลืมๆ คุ้มดีคุ้มร้าย ยิ่งทำให้พี่ชายทั้งสองเศร้าเสียใจ เคียดแค้น โยนความผิดไปที่ กวนอู ผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวมากยิ่งขึ้น และพลอยชิงชังกำฮูหยินที่มีพฤติกรรมสมรู้ร่วมคิดไปด้วยอีกคนหนึ่ง
...
ทางด้านอุยเอี๋ยนตามหาเล่าปี่ไม่เจอ อยู่เกงจิ๋วต่อก็ไม่ได้แล้ว กลับกังตั๋งก็ไม่เกิดประโยชน์ จึงหลบหนีภัยการเมืองลงทางใต้ไปที่เมืองเตียงสา เพื่อฝากตัวฝึกวิชาการต่อสู้จากฮองตง จ้าวแห่งเกาทัณฑ์ที่เคยได้รับน้ำใจจากเศรษฐีอุยหอง บิดาตนมาก่อน ซึ่งตนได้ยินข่าวคราวว่าฮองตงถอนตัวจากวงการราชการนานแล้ว และเพิ่งหันมาเปิดสำนักถ่ายทอดวิชาเพื่อเลี้ยงชีพเมื่อไม่นานมานี้เอง
ส่วนฮองตงเองเห็นว่า อุยเอี๋ยนเป็นลูกของผู้มีพระคุณ และจดจำได้ว่าเคยต่อสู้ร่วมกันมาในกระท่อมรังนกของหมอฮัวโต๋ จึงยอมรับอุยเอี๋ยนให้เข้าสำนัก ต่อมา ยังยกอุยเอี๋ยนขึ้นเป็นลูกศิษย์สายในเพียงคนเดียวของสำนัก และถ่ายทอดวิชาฝีมือให้อย่างเต็มที่ หวังว่าจะได้อาศัยพึ่งพาในอนาคตต่อไป
ที่แท้ ฮองตงที่ขอเข้ารับการรักษาฟื้นฟูพลังยุทธ์จากหมอฮัวโต๋จากไข้ป่าเรื้อรังและพิษร้ายสะสมในร่างกายในครั้งนั้น กว่าจะสามารถแก้ไขอาการเบื้องต้นด้วยการเปลี่ยนถ่ายโลหิตเป็นพิษ และอบแช่น้ำยาสมุนไพรมาได้ก็กินเวลานานร่วมปีแล้ว แต่วิทยายุทธ์ยังต้องใช้เวลาฝึกปรืออีกสักระยะหนึ่งจึงฟื้นคืนได้เต็มที่ด้วยข้อความบางส่วนจากเคล็ดวิชาผลัดเปลี่ยนเส้นเอ็น
 
ภายหลัง หมอฮัวโต๋จึงฝากฝังฮองตงให้มาเป็นขุนพลในสังกัดของฮันเหียน เจ้าเมืองเตียงสาในกองกำลังเกงจิ๋ว แต่ฮันเหียนเหมือนเป็นไก่ได้พลอย มักพูดเสียดสีฮองตงอยู่เนืองๆด้วยมองเห็นเป็นแค่ขุนพลแก่ชรา ไม่เคยเห็นพลัังฝีมือที่แท้จริง
ฮองตงเบื่อหน่ายผู้นำเหลวไหล จึงประกาศลาออกจากตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง มาเปิดสำนักวิทยายุทธ์ให้พอเลี้ยงชีวิต เพื่อรอวันให้พลังฝีมือฟื้นคืนกลับมาดังเดิม และยังคงวนเวียนไปเยี่ยมเยือนกระท่อมรังนกอยู่เป็นประจำ
นี่เป็นฝีมือการเลี้ยงไข้ ดึงฮองตงไว้ใกล้ตัวของหมอฮัวโต๋ นกฮูก ทำให้ฮองตงเป็นคนกึ่งพิการจนต้องถอนตัวจากวงการ แต่ก็ทำให้มันอยู่รอดปลอดภัยจากศึกสงครามในช่วงแรก มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยอุปนิสัยของขุนพลสูงวัย เห็นทีต้องร่วมผาดโผนในสมรภูมิรบไปหลายครั้งแล้ว
เป็นอีกครั้งที่หน่วยปักษาสวรรค์แทรกแซงหน้าประวัติศาสตร์อย่างแนบเนียนไร้รอยต่อ มิเช่นนั้น คนมากฝีมือขนาดฮองตงคงโดนผลักดันให้เข้าไปโลดแล่นอยู่ในวังวนศึกสงครามก่อนยุคสามก๊กแล้ว
...
สำหรับอุยเอี๋ยนวัยหนุ่มเอง ยังมิได้ละเลยความสามารถของบังทองที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์คนแรก หมั่นเพียรศึกษาตำราพิชัยสงครามที่ได้จากบังทองรอคอยเวลาทำการใหญ่ต่อไป
ในยามที่อุยเอี๋ยนติดขัดปัญหาใดๆเกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม ก็ยังอาศัยการติดต่อสื่อสารทางนกพิราบไปสอบถาม จนกระจ่างแตกฉานในกลศึกทั้งหลาย เสมือนเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองในระยะไกล แต่ปกปิดเรื่องนี้ไว้ ไม่บอกแม้แต่ฮองตง ผู้เป็นอาจารย์ด้านวิทยายุทธ์
นับว่าอุยเอี๋ยนเข้าใจใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ได้ศึกษาความรู้จากบังทอง ผู้เป็นปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์ และศึกษาวิชาการต่อสู้จากฮองตง ผู้เป็นปรมาจารย์ด้านวิทยายุทธ์ด้วยอีกคนหนึ่ง หลอมรวมสุดยอดบุ๋น-บู๊ไว้ในคนเดียว จึงเป็นเพชรน้ำงามที่รอคอยวันได้ส่องแสงประกายเจิดจ้าโดยแท้
มังกรในสระน้อย ช่างมีมากมายหลากหลายนักที่ยังซุกซ่อนตัวอยู่ รอวันปรากฏกาย และคงแล้วแต่ผู้คนจะค้นพบแล้ว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา