5 เม.ย. 2021 เวลา 01:31 • นิยาย เรื่องสั้น
3.4. กำเนิดชนเผ่าโบราณ
ขงเบ้ง มังกรซ่อน - ขงหยง ปราชญ์จริยะ - จูกัดกุ๋ย ขบวนการฟ้าดิน
สำหรับจูกัดเหลียงเอง ก็กลับมาอาศัยที่หมู่บ้านในหุบเขามังกรซ่อนใกล้กับเมืองเกงจิ๋วที่จูกัดจิ๋นทำเตรียมไว้ให้ เพื่อศึกษาค้นคว้าตำรามากมายที่ได้มาใหม่ และใช้ชีวิตร่วมกับฮองเย่อิง ซึ่งที่จริงก็ถือว่าเป็นสาวสวยสะคราญตาในรูปแบบหนึ่ง
หากแต่สาวผมน้ำตาลเหลือง ผิวดำเข้ม ย่อมเป็นที่สะดุดตาเกินไป และไม่ตรงความคุ้นชินของชาวจีนเท่านั้นเอง จูกัดเหลียงจึงเกลี้ยกล่อมให้นางซ่อนตัวในที่พักตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ข่าวคราวไปถึงหูของศัตรูทางความรักให้สืบสาวมาถึงตัวได้โดยง่าย และให้จูกัดจิ๋นเฝ้าระวังคนแปลกหน้าอย่างเข้มงวดอีกชั้นหนึ่ง
หมู่บ้านหุบเขามังกรซ่อนภายใต้การดูแลโดยจูกัดจิ๋น น้องชาย ถึงกับพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เคยผ่านการสู้รบในศึกสงคราม ทหารบาดเจ็บพิการ รวมทั้งนักสู้พเนจร นักรบไร้สังกัดที่เคยร่วมอยู่ในชุมโจรฟ้าเหลืองทางเหนือ ต่างหลั่งไหลเข้ามาเป็นสมาชิกกันอย่างคับคั่ง ปลอมแปลงตนเองเป็นชาวบ้านทำไร่ทำนา ใช้ชีวิตดั่งสามัญชนตามป่าเขา หากแต่กลับมีการฝึกปรือฝีมือการต่อสู้ไม่หยุดยั้ง เพื่อให้พร้อมที่จะใช้งานได้ทุกรูปแบบ
หากเปรียบกับชุมโจรกองทัพภูตมรณะแดนทะเลทรายของพรรคฟ้าเหลืองในอดีต หมู่บ้านหุบเขามังกรซ่อนกลับมีจำนวนคนมากกว่า และเก็บงำประกายได้แนบเนียนกว่ามากนัก เพราะถึงกับปลอมแปลงให้เป็นกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นที่มุ่งหวังแต่ทำการค้าขาย และป้องกันตัวเองจากภัยรุกรานเท่านั้น จึงนับว่า จูกัดจิ๋นก็มีฝีมือการจัดการที่โดดเด่นไม่น้อยเลย
ที่จริง กองกำลังดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่มณฑลเกงจิ๋ว เล่าเปียวสมควรไม่ยินยอมพร้อมใจ หากแต่ตัวมันเองก็เป็นเพียงประมุขหุ่นเชิด ไม่มีอำนาจใดๆในมือ และจูกัดจิ๋นก็อาศัยช่องทางของชัวฮูหยินกับขุนพลชัวมอที่เป็นพรรคพวกเดียวกัน จัดการกับเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ก็ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไปได้แล้ว
หมู่บ้านหุบเขามังกรซ่อน จึงกลายเป็นปราการด่านสำคัญ และอาณาจักรส่วนตัวขนาดย่อมให้กับพวกสกุลจูกัด ซึ่งที่จริงแล้ว จูกัดกุ๋ย อดีตวิญญูชนนครหลวง แห่งขบวนการฟ้าดินต่างหากที่เป็นผู้บงการตัวจริง
คนอีกกลุ่มหนึ่งที่จูกัดเหลียงจำต้องหลอกลวง ก็คือ เครือข่ายสุมา ในเมื่อมันได้วิชาการล้ำหน้ามามากมาย อันเป็นความได้เปรียบยิ่งใหญ่เหนือกว่าทายาทมังกรคนอื่นๆ มันจึงไม่คิดที่จะแบ่งปันความได้เปรียบเหล่านี้กับใคร และต้องการเวลาว่างช่วงหนึ่งในการศึกษาตีความด้วย
มันจึงสร้างเรื่องแจ้งต่อสุมาเต๊กโช ผู้เป็นอาจารย์ว่า มันเดินทางไปศึกษาภูมิประเทศทางดินแดนเสฉวน จนเกิดป่วยไข้กระทันหัน บังเอิญได้สาวชาวดอยนามฮองเย่อิงช่วยชีวิตของมันไว้ในป่าเขา มันจึงได้แต่งงานเพื่อจะรับตัวมาเลี้ยงดูเป็นการทดแทนบุญคุณ และเนื่องจากมีอาการเจ็บป่วยต่อเนื่องเรื้อรัง จึงต้องพักรักษาตัวอยู่แต่ภายในหุบเขาไปอีกสักระยะหนึ่งแล้ว
ซึ่งเหตุผลนี้เอง กลับเป็นสิ่งที่ทำให้จูกัดเหลียงหลีกเลี่ยง ไม่ได้ไปพบปะกับพรรคพวกดั่งแต่ก่อน จึงไม่ได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงของสุมาเต๊กโชผู้เป็นอาจารย์ มิเช่นนั้น ด้วยความละเอียดถ้วนถี่ของมันที่มีเหนือกว่าทายาทมังกรคนอื่นๆ อาจจะจับผิดตัวปลอมของสุมาเต๊กโชได้บ้าง
ในทางกลับกัน สุมาเต๊กโชปลอมก็ไม่มีโอกาสใช้พลังจิตตรวจสอบความคิดของจูกัดเหลียงด้วยเช่นกัน จึงกลายเป็นช่องโหว่รูรั่ว และเป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาดในแผนการของหน่วยปักษาสวรรค์ในอนาคต
นอกจากนั้นแล้ว ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งที่ต้องขออนุญาตต่อสุมาเต๊กโช ก็คือ การเปลี่ยนชื่อแซ่ตัวเอง ด้วยการอาศัยศักดิ์ฐานะของนายใหญ่แห่งหุบเขามังกรซ่อน ขอซื้อความสัมพันธ์เป็นบุตรบุญธรรมของขงหยง หัวหน้ากลุ่มเจ็ดนักปราชญ์เจี้ยนอาน และดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำลัทธิขงจื้อ
หลายปีมาแล้วที่ขงหยงโยกย้ายตนเองจากเมืองหลวง เพื่อลดแรงเสียดทานทางการเมืองกับขุมกำลังของโจโฉ มากินตำแหน่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในสังกัดเล่าเปียว ดำเนินภารกิจการก่อตั้งที่ทำการใหญ่ของสำนักหอสมุดใต้หล้าขึ้น
ดังนั้น พอกาลเวลาเนิ่นนาน ทุนรอนย่อมร่อยหรอลง และรัฐบาลก็ไม่แสดงทีท่าสนับสนุนตามสมควร ทำให้ขงหยงต้องอาศัยการบริจาคเงินทองจากคนสายขงจื้อมาแบ่งเบาเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง ซึ่งข้อเสนอของจูกัดเหลียงเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในยุคสมัยโบราณช่วงนั้น โดยเฉพาะแซ่หรือตระกูลของคนดังอย่างเช่น ปราชญ์คนสำคัญ ขงจื้อ ย่อมเป็นที่ปรารถนาของผู้คนที่กระหายชื่อเสียง
จาก จูกัดเหลียง จึงกลายเป็น ขงเบ้ง ทางหนึ่งเพื่อยกระดับตัวเองทางสังคมให้มีเชื้อสายคนดังที่มีคนยอมรับนับถือมากมาย อีกทางหนึ่งก็เพื่อตัดความสัมพันธ์ของตนกับตระกูลจูกัดออกไปชั่วคราว แต่นับว่า เป็นการเดินหมากที่พิสดาร เพราะตนเองเติบโตมาทางสายเต๋า กลับคำนับรับเอาคนสายขงจื้อมาเป็นบิดาบุญธรรม กลบเกลื่อนร่องรอยความเป็นมาของตนเองอย่างซับซ้อนยิ่งนัก
ในอนาคต มันคิดปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันมองเห็นแผ่นดินแตกแยกเป็นสามฝ่าย โดยจะผลักดันให้จูกัดกิ๋น พี่ชาย ไปเป็นขุนนางใหญ่ในฝ่ายซุนกวนแห่งกังตั๋ง จูกัดเอี๋ยน ลูกผู้น้อง ไปเป็นขุนนางใหญ่ในฝ่ายโจโฉแห่งฮูโต๋ ส่วนมันเองเป็นขุนนางใหญ่ในฝ่ายเล่าปี่ที่เสฉวน พลังพี่น้องสามเส้าในขุมกำลังใหญ่สามฝ่าย ย่อมจะแข็งแกร่งและเป็นประโยชน์ต่อมันได้ดีขึ้นกว่าแผนการเดิมแล้ว
“ต้องไม่ให้ใครล่วงรู้ว่า เราแซ่จูกัด จะได้ไม่เชื่อมโยงไปถึงพี่น้องเราได้อีก” ขงเบ้งวางแผนไว้ในระยะยาว ป้องกันผู้คนไม่ให้หวาดระแวงต่อสกุลจูกัด
คำว่า “เบ้ง” นั้น จูกัดเหลียงตั้งขึ้นให้แสดงถึงปัญญาที่ยิ่งใหญ่ของตน และพ้องเสียงกับเบ้งเฮ็ก ศัตรูคนใหม่ที่เพิ่งพบพานมา เพื่อให้ตนเองรำลึกถึงความอาฆาตแค้นของเบ้งเฮ็กที่คล้ายดั่งระเบิดที่รอคอยการพบกันอีกครั้งในสนามรบ
“เวลาในการพบกันคงอีกไม่นานนัก เราจะสร้างกองทัพอันเกรียงไกรให้กับเล่าปี่ และยืมไปบดขยี้พวกเบ้งเฮ็กให้สิ้นซากทั้งชนเผ่าเลยทีเดียว การล้างแค้นนี้ สิบปีก็ไม่สายหรอก” ขงเบ้ง หรืออดีตจูกัดเหลียง จดจำความแค้นในแดนเถื่อนเอาไว้อย่างแม่นยำ ทั้งๆที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นเลยสักครา
ผลพวงของพิษร้ายจากแดนเถื่อน เริ่มต้นจากเถาวัลย์มีพิษที่มันยินยอมเสี่ยงชีวิตเอง ภายหลังยังมีพิษร้ายที่สาวกคนสนิทของเบ้งเฮ็กแอบวางยาซ้ำ แม้ว่าจะถูกฮองเย่อิงช่วยเหลือแก้ไขไปมากแล้ว แต่ก็ทำให้พลังยุทธ์ของมันลดทอนลงไปหลายส่วน และยังเป็นอาการเรื้อรังจนร่างกายอ่อนแอลง ไม่สะดวกในการตรากตรำร่างกายแบบชาวยุทธ์ทั่วไป ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของมันที่เคยเข้มแข็งสมบูรณ์เพียบพร้อมทั้งบู๊และบุ๋น
ความแค้นจากการพ่ายแพ้แบบแสนสาหัสครั้งแรกในชีวิตนี้ ยิ่งตอกย้ำให้จูกัดเหลียง หรือขงเบ้งในชื่อใหม่ มุ่งหวังนำเล่าปี่ไปยึดครองเสฉวนจากเล่าเจี้ยงให้จงได้ และใช้กองกำลังของเล่าปี่นี่แหละเป็นรากฐานในการล้างแค้นกับเบ้งเฮ็ก ผู้นำแห่งชนเผ่าแดนใต้ ให้พินาศลงไป
จูกัดกุ๋ยต้องการหลบซ่อนตัวตนจากผู้คน จึงปล่อยข่าวว่า เดินทางพเนจรตั้งเนิ่นนานอยู่ก่อน แม้ว่า ฮองเย่อิงจะแต่งเข้ามาในสกุล ยังไม่ยอมเปิดเผยตัวให้เห็นหน้า
มันเองรู้สึกกลัดกลุ้มใจแทนบุตรชายที่หมายมั่นให้เป็นผู้สืบทอด จึงค้นคว้าตำราแพทย์เพิ่มเติม พบพานว่า ดินแดนนอกด่านฟากตะวันตกอาจจะมีหนทางพอนำมาแก้ไขอาการเรื้อรังนี้ได้ จึงถือโอกาสที่ตัวเองต้องการหลบซ่อนตัว ออกเดินทางไกลไปต่างแดนด้วยตนเองจริงๆ โดยไม่คาดคิดว่า การตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้มันเสียเวลาไปอีกหลายปีเลยทีเดียว
บัวหิมะพันปีแห่งเทือกเขาเทียนซานอาจจะเป็นพืชสมุนไพรที่เสาะหายากยิ่งสำหรับคนธรรมดา หากแต่ชนชั้นจอมยุทธ์ อาจจะร่นระยะเวลาค้นหาได้ช่วงหนึ่ง อาจบางที พอจะทันเวลาที่กลับมารักษาบุตรชาย และร่วมก่อการใหญ่ตามแผนการที่วางไว้ อย่างน้อย จูกัดเหลียงจะไม่กลายเป็นคนพิการไปตลอดทั้งชีวิต
...
สุมาเต๊กโช หรืออินทรีพลังจิต รับรู้ถึงการกลับมาของจูกัดเหลียง ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นขงเบ้งด้วยความโล่งใจและยินดี มันมองดูการเคลื่อนไหวของเหล่าทายาทมังกร ราวกับเป็นหมากในกระดานที่กำลังดำเนินไปตามบทบาทที่ได้บันทึกไว้ แต่ที่จริง กลับซุกซ่อนความผันแปรที่อาจจะเกินขอบเขตกำหนดไปได้ทุกเมื่อ
นี่แหละจึงสมควรเป็นภารกิจที่หน่วยปักษาสวรรค์ต้องก้าวเข้าไปจัดการ และทุกอย่างดูเหมือนจะง่ายดาย เพราะมันสามารถเข้าใจความคิดของคนอื่นได้ทั้งหมดด้วยพลังจิตชั้นสูง เพียงแค่สัมผัสผู้คน ก็ล่วงรู้ถึงจิตใจ และอดีตความเป็นมา
อย่างเช่น ผู้เฒ่าผิวดำลึกลับที่ปรากฏกายขึ้นในหมู่บ้านใกล้เคียงกับหุบเขามังกรซ่อน ซึ่งเป็นที่พักพิงของขงเบ้ง ที่ชื่อ ฮองเสงหงัน ตามความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์แล้ว เขาน่าจะเป็นบิดาของฮองเย่อิง และมีฐานะเป็นพ่อตาของขงเบ้ง
แต่ดูเหมือนการปรากฏกายของเขากลับมีท่าทีประสงค์ร้ายต่อชีวิตของขงเบ้งเสียมากกว่า ลูกเขยกับพ่อตาคู่นี้ คงจะมีความสัมพันธ์ที่เลวร้าย มิน่า ตามหนังสือที่มันเคยอ่านผ่านตา ฮองเสงหงันถึงได้ลงมือช่วยลกซุนจากกับดักค่ายกลในอนาคต
สุมาเต๊กโชจึงชิงลงมือสยบฮองเสงหงันไว้ในยามค่ำคืนขณะที่ไม่ทันระวังตัว และใช้วิชาอ่านความคิดเพื่อสืบย้อนความเป็นมาของชนเผ่า ซึ่งดูคล้ายฮองเสงหงันจะงุนงงและตื่นตระหนกอย่างรุนแรง
แต่แล้ว สิ่งผิดปกติก็บังเกิดขึ้น กระแสความคิดของฮองเสงหงันกลับมีปัญหา กระแทกกลับเข้าใส่สุมาเต๊กโชจนสมองคล้ายว่างเปล่า เกิดแสงสว่างวาบไปชั่ววูบหนึ่ง ส่วนฮองเสงหงันถึงกับหมดสติไปในทันที
“ความสามารถในการอ่านความคิดของเราสูญสิ้นไปแล้ว” นั่นคือสิ่งที่สุมาเต๊กโชรับรู้ในทันที “หรือว่านี่คือฟ้าลิขิต โชคชะตากลั่นแกล้ง”
เรื่องที่ถือสาที่สุดในการอ่านความคิด คือ การต่อต้านด้วยพลังจิตกับคนที่มีวิชาการอ่านความคิดได้เหมือนกัน ซึ่งมันคงจะประมาทเกินไป จนไม่ได้คาดฝันว่าจะพบคนโบราณที่เป็นวิชาเดียวกันในยุคนี้ แสดงว่าฮองเสงหงันเองต้องมีวิชานี้อยู่ และเกิดเป็นแรงต่อต้าน ทำให้พลังของทั้งสองคนหักล้างกันอย่างรุนแรง
“คนหนึ่งสูญเสียวิชา คนหนึ่งสูญเสียความทรงจำ” ตำราระบุไว้เช่นนั้น ในเมื่อเขาสูญเสียวิชาการอ่านจิตใจ ฮองเสงหงันคงต้องสูญสิ้นความทรงจำไปแล้ว แต่จากการอ่านความคิดของฮองเสงหงันที่ได้รับรู้มาเป็นครั้งสุดท้าย ปริศนาความสงสัยต่างๆก็พลันคลี่คลายได้ในทันที
ที่แท้ บรรพบุรุษของชนเผ่าโบราณนี้ จะต้องเป็นสมาชิกดั้งเดิมขององค์กรย้อนเวลาทะลุมิติอย่างแน่นอน บันทึกรายงานขององค์กรเคยระบุไว้ว่า สมาชิกชุดแรกที่ประกอบด้วยกลุ่มคนอาสาสมัครที่มีหลากหลายเชื้อชาติ ถูกทดสอบการย้อนเวลาด้วยการกลับไปยุคสมัยสงครามเล่าปัง – เซี่ยงหยี่ แล้วกลับหายสาบสูญไป ไม่ได้ย้อนกลับมาตามกำหนดเวลา ทำให้มีความพยายามในการส่งตัวชุดที่สอง และสาม ไปยังจุดแห่งกาลเวลาเดียวกัน เพื่อหาทางแก้ไข ด้วยการนำตัวกลับคืนมาในเวลาปัจจุบัน หรือนำแนวทางการดำรงอยู่ในยุคสมัยโบราณไปให้ปฏิบัติตาม
ปฏิบัติการครั้งนั้น ทำให้องค์กรสูญเสียสมาชิกสามชุดแรกเริ่ม รวมแล้วสามสิบคน ไม่มีใครกลับไป และไม่ปรากฏผลกระทบใดๆในประวัติศาสตร์ พวกเขาอาจจะตายไปอย่างเงียบงัน หรือดำรงอยู่อย่างไร้ร่องรอยไปแล้ว มันจึงคาดไม่ถึง ร่องรอยของกลุ่มผู้บุกเบิกยุคแรกๆนั้นจะมาปรากฏอยู่ตรงหน้านี้เอง
ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็คือ ผู้นำของชุดแรก พบเห็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงอดีต เช่นเดียวกันกับอ้วนเสี้ยว นกกระสา หากแต่การตอบสนองนั้นผิดแผกกัน กระสาต้องการเข้าควบคุมแทนที่ ในขณะที่ผู้นำกลุ่มแรกนี้ เลือกที่จะถอนตัว หลบหนีออกไปจากความยุ่งเหยิงทั้งปวง
เมื่อมีชุดที่สอง ที่สาม ติดตามมาในภายหลัง การต่อสู้ขัดขืนย่อมเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของพวกเดียวกันเอง บ้างจึงโดนเกลี้ยกล่อม และบ้างก็โดนกำจัดทิ้งไป ทำให้ไม่มีผู้ใดกลับคืนสู่ยุคสมัยเพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชนชั้นผู้นำกลุ่มแรกยังคงควบคุมความคิดหัวขบถเอาไว้ได้ และยิ่งหนีหายไปจากการติดตามตัวกลับคืน
ศาสตร์ต่างๆของชนเผ่าโบราณนี้ จึงล้ำสมัย แปลกประหลาด นั่นคงเป็นการผสมผสานภูมิปัญญาจากอนาคตให้เข้ากันกับข้อจำกัดทางวิวัฒนาการของยุคสมัย ผ่านระยะเวลาอันยาวนานนับร้อยปีที่ผ่านมา ซึ่งคำสั่งเสียของบรรพบุรุษจึงให้ละเว้นการยุ่งเกี่ยวกับชนเผ่าอื่น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบรุนแรงอันใดต่อประวัติศาสตร์นั่นเอง
การใช้ประโยชน์จากความรู้เกินยุคสมัยจึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะถูกดัดแปลงให้กลมกลืนไปกับยุคสมัยไปได้ มิเช่นนั้น การกระทำหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ผิดเพี้ยน อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ไม่สิ้นสุด
หากแต่เบ้งเฮ็ก ซึ่งเป็นผู้นำคนปัจจุบันของชนเผ่าโบราณ หรือทายาทของสมาชิกองค์กรรุ่นบุกเบิกนั้น กำลังจะละเมิดคำสั่งเสียของบรรพบุรุษด้วยการรวบรวมขุมกำลังยิ่งใหญ่จากชนเผ่าท้องถิ่นเผ่าม่าน และก่อสร้างเป็นกองทัพให้เพียงพอที่จะเข้าบดขยี้แผ่นดินจีน เพื่อล้างแค้นต่อจูกัดเหลียงเพียงคนเดียว โดยไม่คำนึงว่า อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วทั้งแผ่นดินแล้ว
สุมาเต๊กโช นึกถึงคำสั่งลับสุดยอดที่องค์กรระบุไว้ หากพบเห็นเรื่องราวแบบนี้ นั่นคือ ต้องขัดขวางและทำลายสมาชิกหรือทายาทของสมาชิกที่อาจจะเป็นภัยต่อประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะสมาชิกรุ่นบุกเบิกนี้ ซึ่งหายสาบสูญไปอย่างไม่ได้คาดคิด
ดังนั้น ภารกิจกวาดล้างชาวม่านทั้งเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ คงจะกลายเป็นงานใหญ่อีกงานหนึ่งสำหรับหน่วยปักษาสวรรค์ไปแล้ว
การจัดการกับผู้คนในประวัติศาสตร์สามก๊กยังซับซ้อนเกินคาดหมาย แล้วการลงมือกับชนเผ่าโบราณที่มีวิชาสุดยอดอยู่ในมือ จะยุ่งยากสักเพียงไร แค่นึกถึงเรื่องราวเช่นนี้ อินทรีพลังจิตก็ทอดถอนหายใจ เกรงว่า ภารกิจของหน่วยงานจะเกินกว่าสมาชิกเพียงสิบคนจะรับไหว
ความคิดเรื่องกระท่อมรังนกพลันผุดขึ้นมาในหัวสมอง หรือว่า แนวคิดบุกเบิกของนกฮูกจะเป็นทิศทางที่เหมาะสมกับปัจจัยเหล่านี้ หรือแม้แต่ความคิดหัวขบถของกระสาจะถูกต้อง อนาคตยังคงไม่แน่นอน หรือมันควรเป็นผู้ลิขิตอนาคตในรูปแบบใหม่ขึ้นมาเสียเอง โดยอาศัยกำลังพลของคนโบราณสังหารชนเผ่าผิดยุคสมัย
...
ต่อมา ผู้เฒ่าฮองเสงหงันปรากฏตัวขึ้นที่ละแวกหมู่บ้านหุบเขามังกรซ่อนตามลำพัง ประกาศตัวเพื่อเยี่ยมเยียนฮองเย่อิง บุตรสาว แต่พอพบหน้ากันแล้ว กลับแจ้งเจตนาใหม่ จะขอใช้ชีวิตวัยชรามาอยู่อาศัยในละแวกใกล้เคียงเสียเลย ไม่คิดย้อนกลับไปดินแดนเถื่อนทางใต้อีกแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดเบาะแสให้ค้นพบตัวบุตรี
เรื่องราวความอาฆาตแค้นหรือความขุ่นเคืองใดๆ อันเกิดจากการลักลอบหลบหนีมาจากแดนใต้ของขงเบ้งกับเย่อิง กลับไม่ได้พบเห็นเลยจากใบหน้าที่เหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันเบิกบานนั้นเลย ขงเบ้ง ฮองเย่อิง ไม่อาจปฏิเสธคำขอดังกล่าว จึงจำยอมจัดหาที่พักอาศัยให้อยู่ในหุบเขาได้ตามสมควร
ฮองเสงหงันใช้เวลาไปในการค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติป่าเขา และสนทนาพูดคุยกับเพื่อนบ้าน ไม่กล้าเหยียบย่างออกมาภายนอก ทำตัวประหนึ่งนักปราชญ์วัยชราที่ซึมซับความสงบสุขในบั้นปลายชีิวิต แต่ก็พร้อมที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับคนรอบข้าง จนบางครั้ง ขงเบ้งติดขัดปัญหาข้องใจในตำราวิเศษ ยังนำเรื่องราวไปไต่ถาม นานไป ฮองเสงหงันจึงกลายเป็นอาคันตุกะุผู้คุ้นเคยของบ้านขงเบ้ง
“ไม่เข้าถ้ำเสือ ไหนเลยจะได้ลูกเสือ” ฮองเสงหงันคิดอยู่ในใจ
คนสูญเสียความทรงจำย่อมไม่มีความคิดอ่านเช่นนี้ได้ ถ้าเช่นนั้น “ฮองเสงหงัน” ผู้นี้ คงจะมีปัญหาเสียแล้วกระมัง
“เบาะแสร่องรอยของตาเฒ่าขาดหายไปในพื้นที่นี้ เห็นทีจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดีเสียแล้วกระมัง” คนร่างท้วมใหญ่ในชุดนายพรานกล่าวขึ้น
“มันหลบหนีออกมาจากชนเผ่า เพราะต้องการตามหาตัวลูกสาวที่หนีตามคนอื่น การหายไปในที่นี้ ก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอก เพราะป่านนี้ มันคงเกรงกลัวความผิด จึงไม่กล้ากลับออกมาภายนอกแล้วล่ะ" คนร่างบึกบึนแข็งแรงในชุดประมงตอบ
“ถ้าเช่นนั้น ก็ส่งข่าวบอกกับนายท่านไปเช่นนี้ เราเองก็ไม่ควรเสี่ยงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกไป มิฉะนั้น จะสูญเสียเวลาแทรกซึมตั้งหลายสิบปีมานี้ไปโดยเปล่าประโยชน์ พ่อลูกแซ่ฮองเป็นแค่เรื่องยิบย่อย ไม่สมควรทำให้เสียงานใหญ่ของพวกเรา นายท่านสมควรจะเข้าใจได้” คนชุดพรานสรุป “กลับกันเถอะ เจ้ากิ้งก่า”
“นานแล้วที่ไม่ได้เรียกขานกันเช่นนี้ เฒ่าคางคก” คนชุดประมงแย้มยิ้ม “พบหน้ากันบ่อยครั้ง แต่กลับไม่อาจสนิทสนม ช่างน่าลำบากใจนัก ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ชีวิตของสายลับจารชนมักจะเป็นเช่นนี้เอง เอาเถอะ เรามาดื่มกินกันให้เต็มที่สักรอบ ค่อยจากลากันไป” คนชุดพรานทิ้งท้าย
บทสนทนาของสองจารชนสายลับสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ ชีวิตในวันหน้าของนักปราชญ์ผู้เฒ่าแห่งชนเผ่าโบราณคงไม่มีใครอื่นให้ความสนใจอีกต่อไปแล้ว หากแต่ว่า ขุมกำลังใดหนอที่ตกเป็นเป้าหมายของจารชนแดนใต้กลุ่มนี้
ฮองเย่อิงมองดูบิดาฮองเสงหงันที่กำลังเดินเล่นอยู่ทางด้านหน้าหุบเขาด้วยความรู้สึกแปลกใจ ปกติ บิดาเป็นคนรักการอ่าน วันๆเก็บตัวอยู่กับกองหนังสือ ไหนเลยจะมามีจิตใจชื่นชมธรรมชาติป่าเขาเช่นนี้
หากแต่คิดไปว่า เป็นเพราะชีวิตดั้งเดิมที่ชนเผ่าคงน่าเบื่อหน่ายเกินไป พอได้มาอยู่ในดินแดนแปลกใหม่ ไม่มีภาระใดๆต้องรับผิดชอบ บิดาจึงเปลี่ยนไป เฉกเช่นเดียวกันกับนางเองที่รู้สึกเหมือนเติบโตขึ้นกว่าเดิมมากนัก
เช่นนี้เอง คนที่หลบหนีออกจากเผ่า ได้รู้สึกถึงความเป็นอิสระ จึงมิได้มีความคิดหวนคืน ที่จริง พวกนางก็มิใช่คนแรกที่หลบหนี หากแต่ยังมีญาติสนิทอีกคนที่เคยสร้างปัญหาเช่นนี้มาแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน ตั้งแต่นางยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา