Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สมองไหล
•
ติดตาม
3 เม.ย. 2021 เวลา 09:03 • ธุรกิจ
หากคุณมีความฝันอยากทำธุรกิจ งานประจำคือโรงเรียนที่ดีที่สุด
เพราะนอกจากคุณจะไม่ต้องจ่ายค่าหน่วยกิตแล้ว คุณยังได้รับเงินค่าจ้างอีกต่างหาก แถมยังได้เรียนรู้ภาคปฏิบัติจริงอีกด้วย ที่สำคัญมันคือพื้นที่ให้คุณได้ทดลองในมุมมองของผู้ประกอบการว่าคุณชอบทำธุรกิจนั้นจริงๆ หรือเปล่า โดยที่ไม่ต้องเสี่ยงใช้เงินลงทุนด้วยตัวเองเลยสักบาท
ดังนั้น หากใครคิดจะทำธุรกิจ ผมอยากแนะนำให้ไปลองทำงานประจำดูก่อน เพราะในมหาวิทยาลัยคุณอาจจะต้องศึกษาบทเรียนก่อนถึงจะได้ลงมือทำ แต่ในชีวิตการทำงานประจำคุณต้องลงมือทำก่อน ถึงจะได้รับบทเรียน
การทำงานประจำ กับ การทำธุรกิจ มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าเปรียบเทียบกับฟุตบอล การทำงานประจำเราจะเล่นเหมือนตัวผู้เล่น สมมติคุณเล่นเป็นกองหน้า คุณก็ต้องทำงานแค่ตำแหน่งกองหน้า หน้าที่ของคุณคือยิงประตู คุณก็ต้องทำงานตรงนั้นให้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าผู้รักษาประตูเขาทำงานอย่างไร กองหลังเล่นกันแบบไหน และ คนอื่นเขาฝึกซ้อมกันอย่างไร
แต่การทำธุรกิจคุณจะเหมือนโค้ช แน่นอนถ้าให้ไปเตะฟุตบอลแข่งกับนักกีฬาคุณอาจสู้นักกีฬาไม่ได้ หรือ คุณอาจจะเคยมีทักษะในตำแหน่งกองกลางที่เก่งกาจก็จริง แต่คุณจำเป็นต้องรู้ว่าแต่ละตำแหน่งทำงานกันอย่างไร สื่อสารกันแบบไหน และมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าใครเหมาะสมกับตำแหน่งไหน เวลาทำธุรกิจจะได้เลือกวางตำแหน่งคนถูก ดังนั้น การทำธุรกิจจะ “รู้ลึก” อย่างเดียวไม่ได้ เพราะการ “รู้กว้าง” ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากเช่นกัน การมีความรู้แบบตัว T จึงสำคัญที่สุด
ในองค์กรหลักๆ จะมีการทำงานอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ กองหน้า กองกลาง และ กองหลัง ในส่วนของกองหน้าที่เห็นชัดเจนก็จะเป็นฝ่ายขาย ที่เปรียบเหมือนผู้ทำประตูให้กับทีม ส่วนกองกลางจะเป็นฝ่ายการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายปฏิบัติการ เปรียบเหมือนคนที่คอยปั้นเกมและวางกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนทีม และสุดท้ายคือกองหลัง ซึ่งจะมีหลายแผนกหน่อย เริ่มจากฝ่ายบริการลูกค้า ฝ่ายบัญชี ฝ่ายบริการหลังการขาย เปรียบเหมือนคนที่คอยตั้งรับทุกอยย่างที่เข้ามา ซึ่งนอกจากผู้เล่นในสนามแล้วก็ยังมีตำแหน่งที่เปรียบเหมือนสต๊าฟนอกสนามที่คอยดูแลเรื่องอื่นๆ เช่น ฝ่ายทรัพยกรบุคคล ฝ่ายจัดซื้อ และฝ่ายคลังสินค้าอีกด้วย แต่บังเอิญผมโชคดีได้ทำงานในแผนกพัฒนาธุรกิจ ซึ่งเปรียบเหมือนผู้ช่วยโค้ชที่จะได้ทำงานกับผู้เล่นในทุกตำแหน่ง
การทำงานประจำจะทำให้คุณเข้าใจมุมมองของพนักงานที่มีต่อองค์กร และ หัวหน้า ว่าหัวหน้าแบบไหนที่ถ่วงความเจริญขององค์กร เช่น ถือความคิดเห็นตัวเองเป็นใหญ่, การขโมยเครดิตลูกนัอง, โยนความผิดให้ลูกน้อง, ดุลูกน้องตัวเองต่อหน้าลูกค้า, หัวหน้าที่ไม่ยอมตัดสินใจ บ้า KPI เเบบไร้สติไม่มีการยืดหยุ่น หรือแม้แต่หัวหน้าที่อยู่ด้วยแล้วลูกน้องไม่กล้าพูด จงเรียนรู้ว่าการกระทำเหล่านี้มันส่งผลเสียอะไรกับองค์กรบ้าง เมื่อถึงเวลาที่คุณก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้าคนจะได้เข้าใจมุมมองเหล่านี้ หัวหน้าแบบไหนที่คุณไม่ชอบตอนเป็นลูกน้อง เมื่อถึงวันที่คุณก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้าจะได้ไม่ทำแบบนั้น เพราะคนเกินครึ่งที่ตัดสินใจ
ลาออกจากงานนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากงานหรอก เเต่มีสาเหตุมาจาก "คน" โดยเฉพาะกับหัวหน้ามากกว่า อย่างคำกล่าวที่มา “คนส่วนใหญ่เข้าทำงานเพราะองค์กร แต่ลาออกเพราะเจ้านาย” นั่นแหละ ความรู้เหล่านี้จะทำให้คุณเข้าใจคนมากขึ้น และสามารถบริหารคนด้วยมุมมองที่รอบด้านมากขึ้น
การทำงานในองค์กรขนาดเล็กที่มีความคล่องตัวสูงแบบสตาร์ทอัพ จะมีข้อดีในการเรียนรู้ระบบธุรกิจมากกว่าองค์กรขนาดใหญ่ตรงที่มีระบบการทำงานแบบทีมเล็ก คุณจะมีโอกาสได้ทำงานทุกอย่างเกือบทุกแผนก แต่ถ้าเป็นองค์กรใหญ่คุณจะได้เรียนรู้ความเป็นมืออาชีพในงานนั้นๆ เหมือนทีมฟุตบอลทีมเล็ก โค้ชจะให้โอกาสคุณไปลองเล่นในตำแหน่งอื่นๆ บ้าง แต่ถ้าเป็นทีมใหญ่ การจะให้กองกลางไปเล่นกองหลังเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะเดิมพันมันสูงหากเกิดความผิดพลาด
เมื่อได้เข้าไปทำงานแล้วพยายามเรียนรู้ทุกตำแหน่ง ว่าเขาทำงานกันอย่างไร สื่อสารกันอย่างไร เวลาไปทานข้าวกลางวันก็ลองพูดคุยถึงการทำงานของเขาในเชิงคุยเล่น (แต่เราเก็บข้อมูลจริง) ถ้าสามารถช่วยงานอะไรได้แล้วไม่กระทบกับหน้าที่ของตัวเองก็ช่วยไปเถอะ อย่าคิดว่า “ทำงานมากขึ้น ได้เงินเดือนเท่าเดิมฉันไม่ทำ” เพราะความรู้และประสบการณ์ที่ได้มามีค่ามากกว่าเงินหลายเท่า ตอนผมทำงานประจำผมเคยไปลองเป็น เทเลเซลล์ ขายของให้ลูกค้า เดินไปแจกใบปลิวลูกค้าหน้างาน นั่งแพ็คของกับฝ่ายคลังสินค้า ไปออกบูธตามงานจัดแสดงสินค้า ไปวางกลยุทธ์การตลาด ไปนั่งคุยกับบัญชีเรื่องการเงินและภาษี รวมถึงเข้าไปนั่งในห้องประชุมฟังซีอีโอเจรจาธุรกิจกับคู่ค้า พูดง่ายๆ คือ ผมพยายามเรียนรู้ทุกอย่างทุกแผนกที่มีโอกาส ที่สำคัญคือ ผมจดทุกรายละเอียดลงสมุดบันทึกว่าเขาทำงานกันอย่างไร มีรายละเอียดอะไรบ้าง
อีกข้อดีขององค์กรขนาดเล็ก คือ จะมีข้อจำกัดด้านเงินทุน เพราะฉะนั้น เวลาเขาจะออกสินค้าหรือบริการแต่ละอย่าง เราจะได้เรียนรู้วิธีการพลิกแพลงค่อนข้างเยอะ ยิ่งระบบการทำงานแบบสตาร์ทอัพส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่ด้วยแล้ว เราจะเห็นวิธีการทำงานแบบแปลกๆ หรือ การจับแพะชนแกะต่างๆ เพื่อให้สามารถทำโปรเจคงานนั้นได้ด้วยเงินทุนที่น้อยแต่ได้ผลมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับคนส่วนใหญ่ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจแต่ไม่มีเงินทุนมากมายนัก โดยส่วนตัวผมสามารถสร้างธุรกิจขึ้นมาได้ ก็ด้วยการนำวิธีคิด และ โมเดลธุรกิจ จากงานประจำมาใช้นี่แหละ
ใครอยากจะสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
โดยใช้ต้นทุนจากงานประจำ สามารถนำวิธีของสมองไหลไปใช้ได้ง่ายๆ
เพียงสั่งจอง PRE-ORDER
หนังสือ งานประจำสอนทำธุรกิจ พร้อมลายเซ็นต์เจ้าของเพจสมองไหล
หนังสือที่ถ่ายทอดเทคนิคจากประสบการณ์จริงของเจ้าของเพจสมองไหล ที่เริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์ โดยทำเป็นงานเสริมควบคู่กับงานประจำ
แต่ในขณะเดียวกันก็นำความรู้จากงานประจำมาใช้เสริมสร้างธุรกิจจนเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนรายได้แซงงานประจำ 6 เท่า ก่อนจะตัดสินใจลาออกหลังจากทำงานประจำไปได้เพียง 1 ปี
พิเศษ !! รับส่วนลด 10% เพียงแชร์โพสต์นี้เป็นสาธารณะ
จากราคาปกติ 245 บาท > เหลือเพียง 220 บาท เท่านั้น !!
ค่าส่งเหมาๆ สั่งกี่เล่มก็ 60 บาท
ด่วน !! หนังสือพร้อมลายเซ็นต์มีจำนวนจำกัด และ เปิดจองเพียงรอบเดียวเท่านั้น !!
วิธีการสั่งซื้อ
1.กดลิงก์
https://m.me/432860907260347?ref=sale_pYgxqDgb
2.กด “สั่งซื้อ”
3.เลือก “จำนวน” และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”
จากนั้น ชำระเงิน ตามเลขบัญชีที่ให้ไว้ใน Inbox
ปล. เริ่มจัดส่งหนังสือวันที่ 15 เมษายน 2021
5 บันทึก
12
2
5
12
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย