5 เม.ย. 2021 เวลา 12:50 • กีฬา
โธมัส ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ : กัปตันทีมชาติเยอรมันที่ทำให้โลกรู้จักและยอมรับนักเตะ LGBTQ | MAIN STAND
"ผมพูดออกมาให้ทุกคนรู้ว่าแท้จริงแล้วผมเป็นอะไรมันอาจจะทำให้ผมเจ็บปวด แต่ผมคิดว่าคนที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนของตัวเอง น่าจะเป็นคนที่ต้องเจ็บปวดมากกว่า"
ว่ากันว่าฟุตบอลคือกีฬาของผู้ชาย เข้าปะทะ ชิงไหวชิงพริบ และใช้สัญชาตญาณความเป็นผู้ชนะเข้าห้ำหั่นกันตลอด 90 นาที ... แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงแม้แต่น้อย
นี่คือเรื่องราวของ โธมัส ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ นักเตะที่เคยสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ และประกาศตัวเองว่าเขาคือชาว "LGBTQ" ในยุคที่การเหยียดเพศและเหยียดผิวดุเดือดกว่าปัจจุบันนี้มาก
เขาประกาศตัวเพื่อให้ตัวเองลำบากกว่าเดิม และต้องการเป็นเป้าสายตาเพราะโดนมองว่าเป็นนักฟุตบอลที่ "ผิดปกติ" ทำไม ?
ติดตามได้ที่นี่
แกไม่มีแฟนเหรอวะ ?
ตำนานเล่าว่า พระเจ้าคือผู้สร้างมนุษย์ 2 คนแรกบนโลก นั่นคือ อดัม กับ อีฟ ... คนหนึ่งเป็นผู้ชาย คนหนึ่งเป็นผู้หญิง นี่คือหนึ่งตัวอย่างของความเชื่อที่ทำให้คนที่ดูแตกต่างจาก ผู้ชาย และ ผู้หญิง ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด
Photo : mspmag.com
เรื่องเพศที่ 3 ในยุคสมัยก่อนเป็นเรื่องที่เอาออกมาพูดคุยและถกเถียงได้ยากกว่าสมัยนี้มาก ย้อนกลับไปสัก 30 ปี เพศที่ 3 หรือ ชาว LGBTQ มักจะโดนเรียกชื่อด้วยคำนามที่ถูกคิดค้นมาใหม่เพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ แม้จะไม่รู้ว่าใครคือคนที่คิดค้นคำนามที่ไว้ใช้แดกดันหรือล้อเลียนขึ้นมา แต่ที่แน่ ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยได้ผ่านการยอมรับจากชาว LGBTQ แม้แต่น้อย พวกเขาต้องทนรับคำพูดเหล่านั้นโดยที่ยากจะเอ่ยปากเถียง และเหนื่อยที่จะอธิบายเพราะสิ่งเหล่านี้ฝังรากในทุกสังคมทั่วโลก ... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "นักฟุตบอล" เพราะเคยมีนักฟุตบอลที่เคยฆ่าตัวตายเพราะการประกาศตัวตนมาเเล้วในอดีต(จัสติน ฟาชานู)
โธมัส ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ คือเด็กชายที่เติบโตมากับฟุตบอลตั้งแต่ยังเด็ก เขาเอาจริงเอาจังกับฟุตบอลมาตลอดและเป็นเด็กเก่งระดับแถวหน้าของประเทศเลยด้วยซ้ำ เขาสามารถคัดตัวเข้าระบบเยาวชนของทีมที่ดีที่สุดในประเทศอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ก่อนที่จะย้ายออกมาอยู่กับ แอสตัน วิลลา ในพรีเมียร์ลีกเพื่อโอกาสการลงสนามและพิสูจน์ตัวเองให้มากขึ้นกว่าที่เคย และเมื่อมาถึงอังกฤษเขาก็ได้รับโอกาสนั้นจริง ๆ
ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ขึ้นมาเป็นตัวหลักของ วิลลา ในฐานะกองกลางตำแหน่งห้องเครื่องที่เล่นได้ดุดันและมีไหวพริบในการออกบอล ทว่าจุดเด่นที่สุดของเขาคือ "การยิงที่รุนแรง" เท้าซ้ายของเขาทรงพลังจนถึงขั้นมีแฟนบอลตั้งฉายาให้เขาว่า "เดอะ แฮมเมอร์" (หนักเหมือนกับค้อนปอนด์) เลยทีเดียว เขาทำสิ่งเหล่านี้ได้เพราะความกล้าหาญที่จะออกมาเผชิญโลกกว้าง และเขาเรียกมันว่าทัศนคติของผู้ชนะ
Photo : www.birminghammail.co.uk
"แอสตัน วิลลา คือสถานที่ที่พิเศษ ผมโตขึ้นมากในการย้ายมาที่นี่ ครั้งหนึ่งในการแข่งกับ คาร์ดิฟฟ์ ผมที่เป็นน้องใหม่ย้ายมาจาก บาเยิร์น มิวนิค เดินทางไปเล่นเกมเยือนโดยไม่ได้พกชุดแข่งไปเพราะผมไม่รู้ว่าต้องเอาไปเองด้วย เกมนั้นผมต้องยืมเสื้อของเพื่อนอีกคน ยืมกางเกงของเพื่อนอีกคน เอามารวมร่างเพื่อให้ใส่ลงแข่งขันได้ จากนั้นผมลงไปแข่ง และนั่นคือเกมที่ดีที่สุดที่ผมเคยเล่นให้วิลล่า"
"การย้ายทีมครั้งนั้นทำให้ผมถามตัวเอง ผมเข้าห้องอาบน้ำและถามตัวเองอีกครั้งว่า 'ฉันมาที่นี่เพื่ออะไร' ผมโตมากับอคาเดมีของ บาเยิร์น และมาแย่งตำแหน่งตัวจริงที่ วิลล่า มันเป็นโลกที่แตกต่างกันมาก มันลำบาก แต่มันช่วยผมได้จริง ๆ นักเตะอายุน้อย ๆ ควรกล้าที่จะทำสิ่งนี้ นั่นคือการเผชิญหน้ากับความกลัวให้เร็วที่สุด"
ช่วงเวลากับ วิลล่า คือช่วงเวลาที่น่าจดจำ มันทำให้เขาปีกกล้าขาแข็งและกลับไปเล่นที่เยอรมันอีกครั้งกับ สตุ๊ตการ์ท และการที่ทัพม้าขาวได้จอมทัพอย่างเขาไปร่วมทีม คือช่วงเวลาทองของสโมสรแห่งนี้ มันคือช่วงที่ ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ประสบความสำเร็จมากที่สุด ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเยอรมันเมื่อปี 2007 เขาจดจำความหอมหวานของการชูถาดแชมป์บุนเดสลีกาได้ดี มันคือโมเมนต์สำคัญของชีวิต ... ทว่าในขณะเดียวกันเขากลับพบว่า ถาดแชมป์ที่ถืออยู่ไม่ใช่สิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา
Photo : www.swr.de
เขาคิดเสมอว่าตัวเองยังกล้าไม่พอ ... ไม่ใช่ในฐานะนักเตะคนหนึ่ง แต่มันคือฐานะ "มนุษย์คนหนึ่ง" เพราะ ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ต้องเก็บงำความลับที่บอกใครไม่ได้มาโดยตลอด เขาอาจจะเตะฟุตบอลทุกเมื่อเชื่อวันตั้งแต่ 6 ขวบ พูดคุยเรื่องความฝันและความหวังที่จะเป็นแชมป์มากมาย แต่สิ่งที่เขาไม่เคยบอกเลยคือการประกาศให้เพื่อนร่วมทีมรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว "เขาเป็นเกย์"
"แกไม่มีแฟนกับเขาบ้างหรอวะ ?" นี่คือประโยคที่เขามักจะถูกถามเป็นประจำโดยเพื่อน ๆ ในห้องแต่งตัว นักฟุตบอลทั่วไปควงสาวสวย ขับรถหรู และมีชีวิตแบบผู้ชายในฝันของใครหลาย ๆ คน ทว่า ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ไม่เคยกล้าบอกความจริงเลยสักครั้ง จนกระทั่งเวลาที่เหมาะสมมาถึง
STAND OUT SPEAK OUT
ช่วงเวลาในช่วงยุค 2000s เป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ คือช่วงเวลาที่กระแสของโลกใบนี้หลายอย่างเปลี่ยนไป ทุกสิ่งหมุนเร็วขึ้น แนวคิดและค่านิยมถูกเขย่าอย่างรุนแรง เมื่อโลกทั้งใบเชื่อมต่อกันด้วยอินเตอร์เน็ต ยุคที่ทุกคนสามารถเปิดเผยสิ่งที่ตัวเองคิด และได้รู้จักกับคนที่มีความชอบในด้านเดียวกัน จนกลายเป็นสังคมที่แข็งแกร่งพอที่จะประกาศตัวเองออกมาให้โลกได้รู้
มันคือช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะสำหรับ ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ในการจะพูดอะไรมากสิ่งออกมาจากหัวใจของตัวเอง ตอนนั้นโลกเปิดกว้างแล้ว เสรีทางความคิดได้รับการยอมรับหากไม่ทำร้ายใคร เช่นเดียวกับในโลกฟุตบอลที่ ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ นั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นนักฟุตบอลแถวหน้า ไม่ว่าจะด้วยการเป็นแชมป์ลีก หรือแม้กระทั่งการติดทีมชาติเยอรมันไปมากกว่า 50 เกม ... นี่คือช่วงเวลาที่ทุกคนพร้อมจะฟัง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาก็ตาม
Photo : www.swr.de
หลังจากจบภารกิจสั้น ๆ กับ เอฟเวอร์ตัน ในปี 2013 ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ก็ประกาศแขวนสตั๊ด จากนั้นหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเก็บเอาไว้อย่างยาวนานก็ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ
วันที่ 8 มกราคม 2014 เขาให้สัมภาษณ์กับสื่ออันดับ 1 ของเยอรมันอย่าง Bild เพื่อยอมรับถึงรสนิยมทางเพศของตัวเอง เขาประกาศอย่างเป็นสาธารณะว่า เขาคือชาว LGBTQ และเริ่มเล่าถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงต้องมาบอกเอาในวันที่ตัวเองประกาศเลิกเล่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะใน อังกฤษ อิตาลี หรือเยอรมัน การเป็น LGBTQ นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปแล้ว ผมสังเกตได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องแต่งตัวในสมัยที่ผมยังเล่นอยู่" เขาเริ่มกล่าวถึงช่วงเวลาเปลี่ยนชีวิต
"ประการแรก ผมเองไม่เคยอายเลยสำหรับตัวตนที่ผมเป็น แต่คุณต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ชาย 20 คน ซึ่งแต่ละคนก็มักจะเล่าเรื่องตลกในแง่มุมของชายชาตรี คุยเรื่องหัวข้อความเป็นชาย ... ทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่ผมรับได้ ตราบใดที่เรื่องตลกเหล่านั้นไม่ได้ดูถูกกันเกินไป"
Photo : www.dfb.de
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อผู้ชายรวมตัวกัน 20-30 คน หรือเป็นแก๊งเป็นกลุ่มใหญ่ ก็มักจะมีเรื่องราวคะนองปาก แซวกันแรง ๆ พูดจาทะลึ่งสองแง่สองง่ามเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อว่าคือหนึ่งในการพิสูจน์ความเป็นชายของตัวเอง ซึ่งหลายครั้งมันอาจจะมีบางบทสนทนาที่อาจจะทำให้ "คนที่มีรสนิยมแตกต่าง" กลายเป็นคนที่ต้องหวานอมขมกลืนกับสิ่งเหล่านั้น
ฮิตสเซิลสแปร์เกอร์ เล่าว่าสิ่งที่เขาเจอประจำในห้องแต่งตัวคือการเรียกใครสักคนว่า "ไอ้ตุ๊ด" หากว่ามีการเล่นที่เหยาะแหยะไม่แข็งแรง ซึ่งเขาเชื่อว่านั่นคือความคิดที่โบราณสิ้นดี ตัวของเขาเคยสวมปลอกแขนกัปตันทีม มีวิธีการเล่นที่ดุดันหนักหน่วง และมันทำให้เขามั่นใจว่าเมื่อมีโอกาสที่เขาจะได้พูดถึงเรื่องนี้ เขาจำเป็นจะต้องพูดมันออกมา เพื่อให้นักฟุตบอลที่เป็นชาว LGBTQ ไม่ต้องเจอกับสถานการณ์อันแสนอึดอัดเหมือนกับเขาเมื่อครั้งอดีต
"เกย์ไม่ใช่เรื่องที่ถูกเพิกเฉยในวงการฟุตบอลหรอกนะ มีหลายคนพยายามรณรงค์นั่นนี่มากมาย แต่ปัญหาของมันคือนั่นมันแค่เปลือก ในห้องแต่งตัวต่างหากที่คุณจะเห็นสิ่งนี้ได้ชัด"
"พวกเขามักจะคุยกันในห้องแต่งตัวและเชื่อมโยงคาแรคเตอร์ที่อ่อนแอกับการเป็นเพศที่ 3 ซึ่งผมว่านั่นมันโบราณคร่ำครึเกินไป ผมว่าใครที่เคยได้ดูผมเล่น เห็นสไตล์การเล่นของผม พวกเขาคงไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ"
เขาพยายามจะสื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า "ฟุตบอลไม่ใช่เล่นได้เฉพาะแค่ผู้ชายเท่านั้น" ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม คุณสามารถเป็นนักฟุตบอลที่ดีได้ ผ่านการฝึกซ้อม ทุ่มเท และการพยายามเป็นผูัชนะ ไม่ใช่แค่เกิดมาเป็นผู้ชายชาตรีเท่านั้นจึงจะเป็นแชมเปี้ยนได้
Photo : www.dfb.de
สิ่งที่เขาคิดเกิดขึ้นกับตัวเอง ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ โดนหัวโขนของการเป็นนักฟุตบอลครอบงำมาโดยตลอด เขาอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยผู้ชาย โดนยัดเยียดความคิด โดนปิดไม่ให้รู้สึกถึงความเป็นตัวเองด้วยความกลัวเพราะตัวเองคือคนที่แตกต่าง เขามีความลับในใจมานานพอสมควรจนกว่าจะรู้ใจตัวเองและกล้าพูด เพื่อให้ทุกอย่างถูกต้องและฟุตบอลเป็นเรื่องของความเท่าเทียม
ก่อนที่เขาจะประกาศตัวตนและเปลี่ยนแปลงโลกฟุตบอลนั้น ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ เคยคบหาดูใจกับแฟนสาวนานถึง 8 ปี แบบไม่ออกหน้าออกตา จนกระทั่งก่อนถึงวันแต่งงานแค่เดือนเดียวพวกเขาก็แยกทางกัน ... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ เล่าว่าหลังจากเลิกกันกับแฟนสาวคนนั้น เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายเหมือนกับเพื่อนร่วมทีมอีก 20-30 คนที่อยู่รายล้อมตัวเองมานานหลายปี
"เป็นช่วงเวลาที่ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี มันคือช่วงเวลาที่ยากและยาวนาน ในการคิดและทบทวนสิ่งที่อยากบอกให้ทุกคนได้รู้ ความรู้สึกของผมมันบอกตัวเองมาได้สักพักแล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของผมคือการมีความรัก สร้างครอบครัว และอยู่เคียงข้างกับผู้ชายสักคน" ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ กล่าวกับ The Guardian ซึ่งเขารู้ดีว่าการจะเอ่ยคำนี้คือสิ่งที่ยากยิ่ง และลำบากใจอย่างที่สุด
เหตุผลที่ควรบอก
การประกาศตัวของ ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ในวันนั้นไม่ได้นำพาเรื่องเลวร้ายมาให้เขาเลย เขาเองก็พบว่า นั่นไม่ใช่เรื่องยากอะไรกับการยืนยันถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นในยุคที่สังคมเปิดกว้างขึ้นมาก เขายังคงได้รับความเคารพจากคนอื่น ๆ และความเคารพนั้นเกิดจากสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมด ความสำเร็จในวันที่เป็นนักฟุตบอล และความกล้าหาญที่ออกมาเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคนที่ยังปกปิดตัวตนอยู่
"ชีวิตของผมเปลี่ยนไปเมื่อผมพูดถึงตัวตนของตนเองต่อสาธารณะ ผมคิดว่ามันเป็นไปในทิศทางทีดีขึ้นนะ" ฮิตเซิลสแปร์เกอร์เผย
Photo : www.spox.com
คำว่าดีขึ้นในที่นี้ หมายถึงความสบายใจ ไม่ต้องปิดปกปิด และหลายคนในสังคมยังให้การยอมรับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด หากไม่มองอย่างโลกสวยจนเกินไปนัก ยังมีคนอีกหลายจำพวกที่ยังดูถูกเพศสภาพคนอื่น ๆ และพร้อมจะพูดหรือพิมพ์สิ่งที่ไม่ถูกกาลเทศะต่อชาว LGBTQ ซึ่งตัวของ ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ก็เจอสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขามองข้ามและไม่ให้ราคากับคำพูดเหล่านั้น เพื่อเป็นการตัดปัญหาทั้งหมด ไม่เอาส่วนน้อย มาทำให้ส่วนมากพัง นั่นคือแนวคิดที่เขาเป็นมาเสมอจนกระทั่งทุกวันนี้
"ในโซเชียลมีเดียนั้น ยังมีคนดูถูกผมเยอะแยะมากมาย พวกเขาพิมพ์แบบคึกคะนองปรักปรำกัน และพยายามสร้างความเจ็บปวด พวกเขาอยากจะให้ผมเห็นและให้ผมรู้สึก แต่ต้องขอโทษจริง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกอะไรได้อีกต่อไป ผมมั่นใจในตัวเองมากพอ และแข็งแกร่งเกินกว่าที่คำพูดเหล่านั้นจะผ่านกำแพงของผมได้"
หัวใจและความคิดคือสิ่งสำคัญ เมื่อแข็งแกร่งพอ ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ก็เหมือนมีกำแพงที่ไม่ปล่อยให้สิ่งแย่ ๆ ทะลุผ่านได้ เขาต้องการให้ชาว LGBTQ ทุกคนบนโลกใบนี้กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนและใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง โดยเฉพาะในวงการฟุตบอลที่จำเป็นจะต้องอาศัยความกล้าเป็นอย่างมาก เพื่อจะบอกเพศสภาพของตัวเองเหมือนกับที่เขาทำ
Photo : www.theguardian.com
"ตอนนี้โลกของเรารุดหน้าไปมากแล้ว สำหรับคนที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตน ไม่ได้บอกเพื่อน และครอบครัวของพวกเขา มันคือเรื่องที่น่าเจ็บปวด และแน่นอนในโลกฟุตบอล สิ่งเหล่านี้ยังต้องการความกล้าหาญอย่างมาก เพราะมีอีกหลายเหตุการณ์ที่นักฟุตบอล LGBTQ ได้รับการเลือกปฏิบัติ พวกเขาต้องกล้า และต้องการคนที่ยืนหยัดอยู่ข้าง ๆ คนที่เป็นเพศอะไรก็ได้ไม่สำคัญ แต่เป็นคนที่กล้าบอกว่า 'พวกเราไม่ยอมรับสิ่งนี้' (การเหยียดเพศ)"
ทุกวันนี้ ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ เผชิญหน้ากับความจริงและมีความสุขดีกับทุกวันในชีวิต เขากลายเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของสโมสรสตุ๊ตการ์ท อดีตต้นสังกัดของตัวเอง โดยเขาทำหน้าที่พัฒนานักเตะเยาวชนในอคาเดมี เพื่อให้ก้าวตามรอยนักเตะรุ่นพี่เก่ง ๆ อย่าง โยชัว คิมมิช, แซร์จ นาร์บี้, แบรนด์ เลโน และอื่น ๆ อีกมากมาย
ซึ่งหากจะกล่าวว่าสิ่งสำคัญที่เขามักจะสอนเด็ก ๆ เป็นประจำคือเรื่องอะไร ? ... แน่นอนมันต้องเป็นเรื่องที่เขาสามารถเป็นตัวอย่างให้กับเด็ก ๆ เหล่านั้นได้ นั่นคือความกล้าหาญนั่นเอง
"ถ้าผมจะขอให้ใครสักคนกล้าหาญ ผมจะต้องกล้าหาญให้พวกเขาเห็นเป็นตัวอย่าง" ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ กล่าวกับ The Athletic
เด็ก ๆ ของ สตุ๊ตการ์ท ต้องการความกล้าหาญในการปกป้องความฝันของตัวเอง กล้าหาญที่จะปฏิเสธสิ่งที่จะนำมาซึ่งการถอยหลังของอาชีพ และแน่นอน คือการกล้าหาญพอที่จะเชื่อว่าตัวเองจะกลายเป็นนักเตะที่ดีได้ ด้วยการกระทำ ไม่ใช่แค่คำพูด
Photo : www.sport.de
"สมัยก่อนผมเคยเป็นนักเตะที่บอกเสมอว่า 'ดูสิฉันยอดเยี่ยมขนาดไหน' มาโดยตลอด ซึ่งผมพบว่ามันไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเลย ทุกวันนี้ผมเห็นเด็ก ๆ หลายคนไม่เต็มที่และไม่พร้อมสำหรับการทำงานหนัก ผมประหลาดใจที่นักเตะไม่กี่คนที่พร้อมจะสู้มากกว่าคนอื่น ๆ เพื่อจะกลายเป็นผู้เล่นชั้นยอด"
"นักเตะหลายคนมีข้ออ้างมากมาย และมันง่ายกว่าที่ชี้นิ้วไปที่คนอื่นและโทษอีกคน ผมเคยมีประสบการณ์นั้นมาแล้ว และผมจะบอกเด็ก ๆ ทุกคนว่า แท้จริงแล้วตัวเราเองต่างหากที่ควรพูดถึงมากที่สุด ไม่ต้องไปถามใคร ... เรารู้ดีว่าปัญหาของเราคืออะไร และเราต้องแก้ไขมันอย่างอย่างไรให้ถูกต้อง"
ไม่ว่าจะในฐานะนักเตะหรือมนุษย์คนหนึ่ง สิ่งที่ ฮิตสเซิลสแปร์เกอร์ กล่าวมาล้วนแต่นำมาปรับใช้ได้ทั้งนั้น ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเอง จะสูงต่ำก็อยู่ที่ทำตัว จะได้รับการยอมรับก็อยู่ที่ผลงาน และการไปถึงความสำเร็จนั้นไม่ทางอ้อมและข้ออ้าง สิ่งดี ๆ รออยู่ข้างหน้าเสมอถ้ารู้จักตัวเองมากพอ และให้เกียรติตัวเองในแบบที่ควรจะเป็น ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร หรือจะมีตัวตนแบบไหนก็ตาม ...
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา