7 เม.ย. 2021 เวลา 04:58 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง A Sun ทาง Netflix หลังจากที่ดูจบแล้ว รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีความตรงกับความเป็นจริงของหลาย ๆ เคสที่มารับการปรึกษา ก็เลยอยากจะหยิบยกเอามาเขียนโพสต์สักหน่อยค่ะ
.
A Sun เป็นหนังจากประเทศไต้หวัน เนื้อหาทั้งเรื่องเล่าถึงการดำเนินชีวิตของครอบครัวหนึ่งที่มีพ่อแม่และลูกชาย 2 คน ซึ่งดูเผิน ๆ ก็เหมือนครอบครัวทั่ว ๆ ไป พ่อแม่ไปทำงาน ลูก ๆ ไปเรียน ลูกมีเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวก็มีบุคลิกภาพส่วนตัวที่ต่างกันไป
.
เพื่อไม่เสียอรรถรสในการดูหนังของคนที่ยังไม่ได้ดู จะขอข้ามการสปอยล์เนื้อเรื่องไปเลย แล้วจะพูดถึงเฉพาะบทเรียนชีวิตที่ได้จากหนังเรื่อง A Sun เลยนะคะ
.
#บทเรียนชีวิต จากหนังเรื่อง A Sun
1. "ฉกฉวยวันเวลาและเลือกเส้นทางของตัวเอง"
ประโยคนี้เป็นประโยคที่จะขึ้นมาบ่อย ๆ ในหนัง ซึ่งในหนังไม่ได้เฉลยว่ามันเกี่ยวอะไรยังไง แต่หลังจากที่ดูจบ ก็รู้สึกว่าหนังต้องการที่จะสื่อให้รู้ว่า แม้คุณจะมีคติพจน์ประจำใจที่สวยหรูแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่ลงมือทำตามคติพจน์ของคุณ ประโยคที่สวยหรูนั้นก็สูญเปล่า กลายเป็นเพียงความย้อนแย้งในตัวของคุณเองที่พูดอย่างทำอย่าง วันเวลานั้นมีคุณค่า สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่อาจย้อนคืนมา คุณต้องเร่งฉกฉวยวันเวลาที่คุณมีอยู่เอาไว้ และคำว่า "เลือกเส้นทางของตัวเอง" นั้น ไม่ใช่เพียงใช้พูดกับตัวเอง แต่ควรให้โอกาสคนรอบข้างได้มีโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเองอย่างแท้จริงไปด้วยกัน
.
2. ไม่มีใครเดาใจคุณออกและคุณก็เดาใจคนอื่นไม่ได้ด้วย
ในเรื่องนี้จะเห็นถึงความผิดพลาดของคนในครอบครัวนี้ก็คือ สมาชิกในครอบครัวจะไม่มีการสื่อสารกัน และตลอดเวลาที่ไม่สื่อสารกัน มันก็มีรอยร้าวที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นวันละเล็กละน้อย การคิดแทนคนอื่นหรือการพยายามเก็บงำความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเอาไว้ ก็คือการสะสมรอยร้าวในครอบครัว เมื่อเกินขีดจำกัดที่จะรับไหว จากที่ร้าวมันก็จะกลายเป็นแตก ดังนั้น หากคุณต้องการให้ครอบครัวอบอุ่นมีความสุข ควรฝึกการสื่อสาร ฝึกการรับฟังกันและกัน ไม่คิดแทนคนอื่น และไม่คิดว่าคนอื่นควรจะเดาใจคุณออก
.
3. ภายใต้คำว่า "ไม่มีอะไรหรอก" มันมักจะ "มีอะไร" เสมอ
ในหนังจะแสดงให้เห็นว่า สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะติดพูดว่า "ไม่มีอะไรหรอก" แม้จะมีปัญหาที่ใหญ่โตแค่ไหน ก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้กับตัวเอง ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อข้างบนคือ คิดแทนคนอื่นว่าถ้ามารู้ปัญหาของฉัน มันจะทำให้เขาเป็นกังวล เมื่อเชื่อเช่นนั้น เวลามีปัญหาอะไรจึงเลือกที่จะคิดเองทำเองแก้ปัญหาเอง แต่คิดหัวเดียวมันก็สู้หลายหัวไม่ได้ แต่ทั้งนี้ กว่าที่จะกลายมาเป็นแพทเทิร์นคำพูดติดปากว่า "ไม่เป็นไร" ที่แสดงถึงลักษณะที่ชอบเก็บซ่อนความรู้สึกตัวเองเอาไว้ ก็อาจจะมาจากเคยพูดไปแล้วไม่มีใครฟัง หรือเคยเล่าไปแล้วคนในครอบครัวแสดงท่าทีที่ทำให้เรียนรู้ว่าทีหลังอย่าพูดไปเลยดีกว่า ซึ่งหมายความว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวมันแย่มาก ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรบางอย่าง ความสัมพันธ์อาจจไปถึงจุดที่แย่จนครอบครัวล่มสลายเลยก็ได้
.
4. รักลูกเท่ากันแต่แสดงออกกับลูกต่างกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับรักลูกไม่เท่ากัน
มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า พ่อแม่มักจะแสดงออกต่อลูกแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะลูก ๆ มีบุคลิกภาพแตกต่างกันไป ลูกคนไหนที่เชื่อฟังพ่อแม่ก็อาจจะได้รับคำชมหรือแสดงท่าทีรักใคร่มากกว่าลูกที่ดื้อ หรือลูกที่ดูแลพึ่งพาตัวเองได้ก็จะไม่ค่อยได้รับการใส่ใจจากพ่อแม่เท่าลูกที่ดูอ่อนแอ แม้ว่าลึกลงไปพ่อแม่จะรักลูกเท่ากันหรือเกือบเท่ากัน แต่เมื่อพ่อแม่ปฏิบัติต่อลูกแต่ละคนไม่เหมือนกันอย่างแตกต่างกันมากเกินไป ลูกก็จะตีความไปว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ในบางครอบครัวพบว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากันจริง ๆ อย่างครอบครัวในหนังเรื่อง A Sun พ่อจะมีความรักต่อลูกชายคนโตมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และมักจะตำหนิลูกคนเล็กว่าไม่เอาไหน รวมถึงไม่ยอมรับลูกชายคนเล็กอย่างออกหน้าออกตา
.
5. ความรักของพ่อแม่เปรียบได้ดั่งแสงอาทิตย์
หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า A Sun ซึ่งในเนื้อเรื่องจะมีฉากหนึ่งที่กล่าวถึงดวงอาทิตย์ว่าเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก แสงอาทิตย์ก็จะสาดส่องให้แต่ละส่วนของโลกมีความมืดและความสว่างอย่าเท่าเทียมกัน แต่ในบางวัน แสงอาทิตย์ก็เจิดจ้าจนสัตว์ต่าง ๆ ต้องหาร่มเงาเพื่อหลบความเจิดจ้านั้น แสงอาทิตย์ทำให้อบอุ่นและทำให้ถูกเผาไหม้ ตีความความได้ว่า ความรักของพ่อแม่ก็เหมือนแสงอาทิตย์ บางเวลาก็ทำให้ลูกอบอุ่น แต่บางเวลาก็ทำให้ลูกรู้สึกทุกข์จนอยากจะหลบหน้าจากพ่อแม่ หากมีที่กำบังก็ยังพอจะทนทานไหว แต่ถ้าไม่มีที่กำบังและไม่รู้ว่าจะหลบเร้นจากพ่อแม่ได้เลย ทางเลือกเดียวที่มีอยู่ก็อาจจะเป็นทางเดียวกับที่ลูกชายคนโตเลือกกระทำ ซึ่งสุดท้ายทางเลือกนั้นก็ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของครอบครัวนี้
.
สำหรับใครที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่อง A Sun ก็สามารถดูได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ทาง Netflix นะคะ ส่วนใครที่ดูแล้ว แวะมาแลกเปลี่ยนมุมมองกันบ้างนะคะ เราอาจจะได้ข้อคิดที่แตกต่างกันไป
#คุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษา #ปัญหาในครอบครัว
โฆษณา